คุมเชิง โดย ProjectZyphon

เว่ยจิ้นถามยิ้มๆ “เจ้าใช่คนผู้นั้นจากสำนักโม่หรือไม่?”

สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ค่อยน่าดูนัก ในใจคิดว่าผู้อาวุโสอาเหลียงท่านพูดชื่อสักชื่อหนึ่งมันยากนักหรือไง?

เขาพูดกับเว่ยจิ้นว่า “รอสักครู่”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันหน้าไปมองผีสาวที่ซ่อนตัวอยู่ในกรอบป้าย ขมวดคิ้วพูด “ฉู่ฮูหยิน เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าช่วยแสดงความจริงใจบ้างได้หรือไม่?”

ผีสาวที่ซ่อนวิญญาณอยู่ในกรอบป้ายอักษรทองพยักหน้า จากนั้นม่านฟ้าก็ค่อยๆ หายไป นี่คือปรากฎการณ์ที่ขอบเขตภูเขาและแม่น้ำกำลังจะถอยหาย คล้ายคลึงกับการเปิดประตูต้อนรับแขกของชาวบ้านทั่วไป

ต่อให้นางจะแยกตัวอยู่อย่างสันโดษแค่ไหน แต่ก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมหัศจรรย์มากมายของคนผู้นี้ เกิดมาในสายของจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีพร้อมกับจวี้จื่อท่านหนึ่งของสำนักที่มีฐานะเลื่องลือ จึงถูกฮ่องเต้ต้าหลีปรนนิบัติเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ตอนนี้มีฐานะสำคัญเป็นถึงหนึ่งในผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงต้าหลี คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สามารถสยบขวัญกองกำลังบนภูเขาของต้าหลีได้ ว่ากันว่าหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง ทุกครั้งที่เห็นความมหัศจรรย์ของภูเขาและแม่น้ำก็จะจับมาผสานให้เป็นปณิธานกระบี่ของตน

เมื่อเป็นเช่นนี้ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มปรากฏตัว หลางจงของกรมพิธีการกับเทพแม่น้ำซิ่วฮวาที่อยู่บนถนนใหญ่ต่างก็หันมากุมมือคารวะเขา ฝ่ายหลังทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของคนผู้นี้ในต้าหลีสูงส่งเพียงใด

เทพหยินตนนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ปราณดุร้ายท่วมเทียมฟ้า เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะทุ่มตบะทั้งหมดของตนโดยไม่เสียดายเพื่อตัดขาดรากฐานของภูเขาลูกนี้อย่างเด็ดเดี่ยว หมายจะใช้วิธีปลาตายตาข่ายขาด (เปรียบเปรยว่าต่อสู้จนตายตกไปตามกัน) กับผีสาวสวมชุดแต่งงาน หากรากฐานของภูเขาแตกทลายก็หมายความว่ายันต์คุ้มกันกายของผีสาวไม่เหลืออยู่อีกแล้ว และนางจะต้องสูญเสียความมั่นใจในการต้านทานกับนักพรตขอบเขตสิบไปอย่างสิ้นเชิง

แขนข้างหนึ่งขาวนวลงดงามเหมือนหยกมันแพะยื่นออกมาจากกรอบป้าย ชุดเจ้าสาวที่อยู่บนพื้นขยับเคลื่อนลอยล่องเข้าหากรอบป้าย เมื่อผีสาวมุดออกมาจากกรอบป้ายก็สวมชุดเจ้าสาวชุดนี้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้เรือนกายถูกสองกระบี่ของเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนผ่าออกเป็นสี่ท่อน ทว่าต่อให้นางตกอยู่ในอันตรายจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังไม่ลืมรักษาความสมบูรณ์แบบของชุดเจ้าสาวชุดนี้ เห็นได้ชัดว่าความทะนุถนอมที่นางมีต่อชุดนี้แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายึดติดอย่างไร้สติ

หลังจากผีสาวพลิ้วกายลงบนพื้นก็เหลือบไปเห็นหีบหนังสือด้านหลังเด็กๆ เหล่านั้น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา กลิ่นอายของความดุร้ายทั่วร่างทะยานพรวดพราด แม้ว่าจะพยายามข่มกลั้นเอาไว้แล้ว แต่ความผิดปกติของผีสาวก็ยังเปิดเผยออกมาอย่างปิดไม่มิดอยู่ดี

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถอนหายใจมองไปยังเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เคยมีโอกาสได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งบนแม่น้ำซิ่วฮวา กล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าสามคนช่วยเก็บหีบหนังสือลงไปก่อนได้หรือไม่ ความอาฆาตที่ฉู่ฮูหยินผู้นี้มีต่อคนเรียนหนังสือก็เป็นปมทางใจที่ปีนั้นนางละทิ้งตำแหน่งเทพภูเขาและแม่น้ำ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ยากจะอธิบายให้กระจ่างเพียงประโยคเดียว เฉินผิงอัน หวังเพียงพวกเจ้าจะแสดงความเมตตา เห็นแก่ที่เรื่องราวยังไม่ร้ายแรงบานปลาย ปล่อยผ่านความแค้นครั้งนี้ไป ได้หรือไม่?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นไปได้ แค่อนุญาตให้ข้าร่ายใช้เวทอำพรางตาก็พอ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ”

เพียงไม่นานหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กสามใบก็หายไปจากสายตาของทุกคน แน่นอนว่าหากผู้ฝึกลมปราณเพ่งสมาธิมอง พวกมันก็จะปรากฎให้เห็น

สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันไปมองเว่ยจิ้น นักพรตห้าขอบเขตบนที่หนุ่มที่สุดของบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการต่อสู้สามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้นผู้นี้

อายุไม่ถึงสี่สิบก็เป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าจะนำไปวางไว้ที่ทวีปใหญ่ใดๆ ต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ที่มากพอจะทำให้ผู้คนครั่นคร้ามเพียงแค่ได้ยินชื่อแล้ว

เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีถือเป็นหยกคู่เหนือใต้ของกลุ่ม “คนหนุ่ม” ตามคำเรียกขานของนักพรตบนภูเขา ตอนนี้คนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ฝ่าขอบเขตที่สิบเลื่อนสู่ขอบเขตที่สิบเอ็ด อีกคนหนึ่งคือขอบเขตที่สิบที่เรียกว่าขอบเขตปลายทางของวิถีการต่อสู้ในตำนาน ช่างไม่ทำให้คนผิดหวังเลยจริงๆ

คนทั้งสอง “หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊” ความสำเร็จในอนาคตล้วนไม่อาจประเมิน

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถามยิ้มๆ “ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่เว่ยเดินทางมาต้าหลีครั้งนี้ นอกจากคลี่คลายมรสุมในวันนี้แล้ว ยังมีความคิดอื่นอีกหรือไม่?”

เซียนกระบี่ชุดขาวที่ท่องอยู่ในยุทธภพด้วยฐานะของจอมยุทธ์มาโดยตลอดคลี่ยิ้มถามกลับ “หากไม่มีความคิดอย่างอื่นจะเป็นอย่างไร แล้วถ้ามี จะเป็นอย่างไร?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากเพียงแค่เดินทางมาชมทัศนียภาพ นอกจากพื้นที่ต้องห้ามของต้าหลีแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนต้อนรับเซียนกระบี่เว่ยให้ไปเยี่ยมเยือน หากไม่รังเกียจ ข้าน้อยยินดีจะเดินทางไปเป็นเพื่อน แต่หากมีเจตนาอื่นเพราะเห็นว่าสถานการณ์ของต้าหลีคลอนแคลน ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยก็จะขวางอยู่ที่นี่ ทดลองด้วยตัวเองว่ากระบี่บินของเซียนกระบี่เว่ยเร็วแค่ไหนกันแน่”

เว่ยจิ้นเก็บกระบี่ในมือที่มีนามว่าเทียนสล้างเอาไปแขวนไว้ข้างเอว “ในศาลลมหิมะ ข้านับถืออาจารย์หร่วนมากที่สุด เพียงแต่ว่าด้วยสาเหตุหลายประการจึงไม่เคยได้พบหน้ากันเสียที คราวนี้พอได้รับข่าวจากป้ายสันติที่อาจารย์หร่วนส่งมาให้จากถ้ำสวรรค์หลีจูจึงรับภารกิจคุ้มครองเด็กๆ เหล่านี้ไปส่งที่ด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลี เพียงแต่ว่าระหว่างทางเจอกับผู้ฝึกกระบี่อาวุโสนามว่าอาเหลียง เขาได้ชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่ข้า ถึงได้มีโอกาสปิดด่านฝ่าขอบเขต ดังนั้นข้าเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้ เจ้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งสิ้น”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝั่งตรงข้ามที่มีเวทกระบี่เลิศล้ำย้ายภูเขาได้ในกระบี่เดียวปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความให้เกียรติ เดิมทีเว่ยจิ้นก็มีนิสัยใจกว้างตรงไปตรงมา จึงไม่ได้มองท่าทีที่ค่อนข้างแข็งกระด้างของเขาเป็นการท้าทาย และตอบด้วยความจริงใจว่า “หากเจ้าคิดจะประลองเวทกระบี่ ข้าเต็มใจอย่างมาก เดิมทีนึกว่าไม่มีความจำเป็นให้ต้องท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิดแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ได้ยินอาเหลียงเล่าถึงเรื่องมากมายเกี่ยวกับภายนอก ข้าจึงอยากจะไปดูที่ภูเขาห้อยหัวสักครั้ง ไปยังสถานที่ที่อาเหลียงฝึกปรือฝีมือเพื่อขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองอย่างแท้จริง”

แล้วก็เพราะเคยไปเยือนมาหลายสถานที่ เคยพบเจอคนหลายคน เว่ยจิ้นถึงได้รู้ดีถึงความล้ำค่าของสองคำว่า “ยืนหยัด”

ผู้เฒ่าตาบอดหาโอกาสสอดปากไม่ได้ แล้วก็ไม่มีความกล้ามากพอให้เอื้อนเอ่ยด้วย

เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือเพียงคนเดียวก็มากพอให้นักพรตเฒ่าที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนนอกทางรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว

นักพรตห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปคือบุคคลที่หายากดุจขนหงส์เขากิเลน ต้องรู้ว่านักพรตขอบเขตสิบถือเป็นเสาหลักของหนึ่งแคว้นแล้ว ไม่มีใครที่ไม่ถูกฮ่องเต้มองเป็นผู้ประคับประคองชะตาบ้านเมือง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนคนใดบ้างที่ไม่ใช่มังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง นั่นคือบุคคลที่มีความสามารถมากพอจะเปิดภูเขาตั้งสำนัก แจกันสมบัติทวีมีราชวงศ์มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า แต่ตระกูลเซียนที่สามารถมีคำว่าสำนักเสริมท้ายมีสักกี่ตระกูลกัน? น้อยจนนับนิ้วได้!

เว่ยจิ้นยกสองมือขึ้นกุมประสาน เอ่ยกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม “ไว้เจอกันใหม่”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเองก็กุมมือคำนับกลับคืน “หวังว่าในอนาคตจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้าที่ส่งมาจากภูเขาห้อยหัว”

ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กัน

คนบางคนคบกันจนผมขาวก็ยังเหมือนคนแปลกหน้า คนบางคนเพียงแค่พบหน้ากลับเหมือนสหายที่สนิทกันมานาน ก็คือหลักการนี้นี่เอง

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ไปกันเถอะ”

หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีพากันพยักหน้ารับ

ผู้เฒ่าตาบอดกัดฟัน ปลุกความกล้าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซียนซือ (คำเรียกขานเซียนที่แสดงถึงความให้เกียรติ) ท่านนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยมีลูกศิษย์อยู่สองคนที่ถูกฉู่ฮูหยินรั้งไว้ให้…เป็นแขกอยู่ในจวน ขอให้นักพรตผู้ต่ำต้อยพาพวกเขาจากไปด้วยได้หรือไม่? นักพรตผู้ต่ำต้อยกลัวก็แต่พวกลูกศิษย์จะเกเรไม่รู้ความ อาจจะทำลายกฎเกณฑ์ของฉู่ฮูหยินโดยไม่ทันระวัง…”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันหน้าไปพูดกับผีสาวชุดแต่งงานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉู่ฮูหยิน ปล่อยพวกเขาได้หรือไม่?”

ผีสาวชุดแต่งงานพยักหน้ารับ “ในเมื่อใต้เท้าออกปากแล้ว เชี่ยเซินจะกล้าไม่ปฏิบัติตามได้อย่างไร”

ผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงที่เก็บซ่อนตัวลึกล้ำดันกระบี่ออกจากฝักเพียงแค่ชุ่นกว่าก็สามารถต้านรับกระบี่ที่สามของเว่ยจิ้นได้แล้ว ฝีมือของเขามีมากน้อยแค่ไหน ผีสาวชุดแต่งงานรู้ดีอยู่แก่ใจตัวเอง แต่สรุปก็คือนางไม่สามารถต้านทานได้ ต่อให้เป็นนางตอนที่อยู่ในสภาวะพร้อมรบสูงสุด ได้รับการปกป้องจากขุนเขาและแม่น้ำที่เป็นถิ่นของตน เกรงว่าก็คงยังไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี

แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังไม่ใช่ขอบเขตสิบอย่างแท้จริง และสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มาจากสายจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ผู้นี้จะใช่เซียนกระบี่พสุธาขอบเขตที่สิบเอ็ดอย่างเว่ยจิ้นหรือไม่

นางหรี่ตามองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะในกลุ่มพวกเขาที่มีคนทำให้ตนจุดโคมไม่ได้ อีกทั้งเห็นสภาพน่ารังเกียจแบกหีบหนังสือออกทัศนาจรของพวกเขา นางจะตกอยู่ในสภาพชวนสังเวชอย่างในตอนนี้หรือ ไม่เพียงแต่ต้องรับสองกระบี่ของเซียนกระบี่เว่ยจิ้น แม้แต่รากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำก็ยังเกือบจะถูกเทพหยินผู้นั้นทำลายล้าง

เว่ยจิ้นจูงลาขาว หันมาถามพวกเฉินผิงอันยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเลยไหม?”

เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่าง

หลังจากมีเซียนกระบี่พสุธามาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มอีกคนหนึ่ง พวกเขาก็เดินจากไปช้าๆ ทั้งอย่างนี้

หลี่เป่าผิงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “อาจารย์อาน้อย”

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทำไมหรือ?”

หลี่เป่าผิงหัวเราะหึๆ “ไม่มีอะไร!”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง

แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงเดินเคียงไปกับเฉินผิงอัน อันที่จริงนางค่อนข้างคิดถึงพี่ชายใหญ่ของตัวเอง

ผีสาวชุดแต่งงานกวักมือหนึ่งครั้งก็กระชากเอาร่างของเด็กหนุ่มขาเป๋และแม่นางน้อยหน้ากลมออกจากสวนดอกไม้ มาโยนลงข้างกายผู้เฒ่าตาบอด

หลังจากนั้นหางตาของนางก็เหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง ผีสาวสวมชุดแต่งงานจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหันหน้ากลับมามองพอดี

ทั้งสองฝ่ายจึงประสานสายตากัน

สายตาเด็กหนุ่มเย็นชา

วินาทีนั้นผีสาวสวมชุดแต่งงานพลันเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในหัวใจ

เพียงแต่ไม่นานนางก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าขำอย่างถึงที่สุด จึงถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่สิ้นเปลืองเวลากับเด็กหนุ่มธรรมดาคนนั้นอีก ผีสาวชุดเจ้าสาวไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงเกิดความคลางแคลงใจเช่นนี้

หลังจากนั้นรอจนนางหันกลับไปมองอีกครั้งเหมือนถูกผีอำ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เดินจากไปก็หันหลังให้นาง ขยับไปอยู่ท้ายสุดของขบวนอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว

……

สี่แซ่สิบตระกูลบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ลำพังเพียงแค่การแก่งแย่งชิงดีกันของเตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่งก็เต็มเปี่ยมไปด้วยกลอุบาย ไม่ขาดกลิ่นคาวเลือด เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อกลายมาเป็นอำเภอหลงเฉวียนอย่างเปิดเผย พวกเขาก็จำเป็นต้องสามัคคีปรองดองกัน ทว่าโดยส่วนตัวแล้วมีใครบ้างที่ไม่แอบติดต่อกับราชสำนักต้าหลี ไม่แอบมีความสัมพันธ์กับกองกำลังตระกูลเซียนทั้งหลายที่ซื้อภูเขาอย่างลับๆ?

ข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันภายนอกเหมือนว่าจะเป็นความจริง แต่อันที่จริงแล้วหนึ่งตรอกหนึ่งถนนนี้กลับไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่บอกว่าสกุลหลี่หนึ่งในสี่แซ่มีมังกรกิเลนหงส์ (สามในสี่สัตว์มงคล เปรียบเปรยถึงความล้ำค่าสูงศักดิ์)  เมื่ออาจารย์ของหลี่เป่าผิง เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้นเสียชีวิตไปอย่างน่าหดหู่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ หันกลับมามองเด็กนักเรียนอายุน้อยหลายคนที่รวมจ้าวเหยาเป็นหนึ่งในนั้น เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีหวังว่าจะกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริงเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่ทุกตระกูลในเมืองเล็กไม่อาจดูแคลนได้ แต่ได้ยินว่าบุตรชายคนที่สองของประมุขสกุลหลี่ หลี่เป่าเจินพบเจอกับผู้สูงศักดิ์ระหว่างเดินทางไปเมืองหลวง จึงได้รับข้อยกเว้นให้กลายเป็นลูกศิษย์ของกั๋วจื่อเจียนโดยตรง ติดตามหลิวเหวินหู่ขุนนางผู้มีชื่อเสียงของราชสำนักปัจจุบันเรียนรู้ “พิธีการใหญ่” เรื่องนี้จึงสร้างมรสุมเล็กๆ ขึ้นมาในเมืองหลวงพักหนึ่ง

ส่วนบุตรชายคนโตของหลี่หง ในความทรงจำของพวกผู้ใหญ่ทุกคนบนถนนฝูลวี่ก็คือหนอนหนังสือที่ดีแต่อ่านหนังสือจนทึ่มทื่อ ส่วนหลี่เป่าผิงบุตรสาวคนเล็กของเขาก็คือเด็กบ้าที่ไม่เคยอยู่ติดบ้านมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นอกจากนี้ก็ไม่มีความมหัศจรรย์ตรงไหนอีก มีเพียงหลี่เป่าเจินเท่านั้นที่พอจะยังความหวังจะสร้างเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลได้บ้าง

ในห้องหนังสือของตระกูลหลี่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้าเย็นชาห่างเหินส่งจดหมายจากเมืองหลวงต้าหลีฉบับหนึ่งให้แก่หลี่หงบิดาของตน

หลี่หงยิ้มเอ่ย “เป่าเจินก็เหมือนกับน้องสาวของเขา ยอมส่งจดหมายมาให้พี่ชายใหญ่อย่างเจ้า แต่ไม่ยอมส่งจะหมายมาหาพ่อแม่ตัวเอง”

เด็กหนุ่มยิ้มขื่น ตอบเบาๆ ว่า “ท่านพ่อโปรดเตรียมใจกับเนื้อหาที่เขียนไว้ในหนังสือสักหน่อย”

สีหน้าของหลี่หงแข็งค้างในชั่วพริบตา หลังจากดึงจดหมายออกมาแล้วก็กวาดตาอ่านถ้อยคำทักทายปราศรัยช่วงตอนต้น แต่ยิ่งขยับมาช่วงท้าย สายตาก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึม บุรุษลุกขึ้นจุดตะเกียงหนึ่งดวง วางไว้กลางอ่างล้างพู่กัน แล้วเผาจดหมายฉบับนี้ทิ้ง ขี้เถ้าค่อยๆ ตกลงในอ่างล้างพู่กันสีเขียวผลลูกเหมยประณีตงดงาม สุดท้ายบุรุษให้ข้อสรุปแบบตอกตะปูปิดฝาโลงแก่การกระทำของลูกชายตัวเองด้วยคำสองคำ “เหลวไหล”

หลี่หงถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไร? จะฟังคำแนะนำจากน้องชายของเจ้า ช่วยเอาสัญญาทาสของบรรพบุรุษพ่อลูกจูเหอจูลู่ที่อยู่ในมือตระกูลหลี่ของพวกเราไปลบทิ้งที่ที่ว่าการอำเภอ ช่วยให้พวกเขากลับมาเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือไม่?”

หากพ่อลูกตระกูลจูสามารถเปลี่ยนสำมะโนครัวได้สำเร็จ ถูกลบสถานะทาสของสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่อำเภอหลงเฉวียนทิ้ง ได้รับสถานะเป็นชาวบ้านทั่วไป นับจากนี้ลูกหลานก็ไม่ต้องตกเป็นบ่าวทุกรุ่นทุกสมัย จะใช้คำว่าปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรมาบรรยายก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าแม้ยามเฝ้าประตูบ้านเสนาบดีก็อาจเป็นขุนนางขั้นเจ็ดได้ ทั้งหมดจึงล้วนต้องดูที่ว่าความสามารถของคนที่จะหลุดจากสัญญาทาสนั้นสูงหรือต่ำ หากเป็นพวกที่ดีแต่ประจบสอพลอ ก็คงต้องพึ่งพาต้นไม้ใหญ่ถึงจะมั่นคงยิ่งกว่าเดิม หากเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ แน่นอนว่าเมื่อตั้งตนเป็นอิสระได้แล้วก็จะยิ่งมีอนาคตยาวไกล

เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อ ท่านตัดสินใจได้แล้ว”

หลี่หงเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง ใช้สองมือนวดคลึงจุดไท่หยาง “แต่ข้ายังอยากจะฟังความเห็นของเจ้า ตระกูลหนึ่งไม่ควรเอาแต่คิดจะแสวงหาความร่ำรวยจากการเสี่ยงภัย”

เด็กหนุ่มนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า “จุดที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่า ไม่ว่าท่านพ่อจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายไหนก็ล้วนทำให้คนของอีกฝ่ายหนึ่งเกิดความห่างเหินต่อตระกูล ดังนั้นครั้งนี้เป่าเจินทำไม่ถูก และการกระทำโดยพลการของเป่าเจินที่ไม่เหลือทางถอยให้กับตัวเองและตระกูลก็ยิ่งทำไม่ถูก ทำแบบนี้ไม่มีคุณธรรม และทำผิดต่อเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นมากที่สุด”

หลี่หงมองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยสายตาซับซ้อน “เป่าเจินมีนิสัยอย่างไร เจ้าที่เป็นพี่ชายจะไม่รู้เชียวหรือ? หากรู้แต่แรกว่าจะต้องตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างในตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไม่ไปเมืองหลวงพร้อมกับเขา?”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ท่านปู่ปิดด่าน เป่าผิงจากบ้านเดินทางไกล บวกกับสถานการณ์ของเมืองเล็กที่พลิกกลับตาลปัตร เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของแต่ละตระกูลใหญ่ในอนาคต สกุลหลี่ของพวกเราไม่อาจทำตัวเป็นเงาใต้โคมไฟ ข้าจากไปคงไม่สบายใจ ต่อให้จะไปก็ต้องรอให้สถานการณ์ทางฝั่งนี้ชัดเจนเสียก่อน หากไม่ได้จริงๆ เรื่องสอบเคอจวี่ก็สามารถปล่อยไปก่อนได้”

ได้ยินคำพูดที่หนักแน่นสุขุมช่วงต้น หลี่หงก็พยักหน้ารับน้อยๆ รอจนบุตรชายคนโตเอ่ยประโยคสุดท้าย หลี่หงพลันร้อนใจ ยืดเอวตั้งตรง เอ่ยเสียงดัง “ไม่ได้เด็ดขาด! สอบเคอจวี่คัดตัวขุนนางคือนโยบายบ้านเมืองที่สำคัญในสำคัญของต้าหลี ไม่เป็นรองเรื่องที่ราชสำนักชักชวนกองกำลังบนภูเขาเลย! หลี่เป่าเจินใจร้อนกว่าเจ้า ก่อนจะจากบ้านไป แม้จะพูดต่อหน้าข้าและท่านปู่ของพวกเจ้าว่าก่อนจะออกจากเมืองเล็ก เขาจะเคารพในกฎเกณฑ์ ใช้แผนการที่ตรงไปตรงมา จะไม่เลือกเดินทางเสี่ยงโดยหวังว่าจะโชคดีเด็ดขาด แต่ผลเป็นอย่างไร เขาก็ยังเลือกจะประหารก่อนค่อยรายงานไม่ใช่หรือ? ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้เขาทำตัวเหลวไหลต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้ายังถ่วงเรื่องการสอบเคอจวี่ออกไป ก็เท่ากับรั้งฝีเท้าของตระกูลให้ก้าวช้าไปอย่างน้อยสามปี!”

เด็กหนุ่มกลืนคำพูดที่มารอตรงริมฝีปากกลับลงไปเงียบๆ

หากเขาพูดออกมาก็หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องชายที่เดิมทีไม่ค่อยดีนักตกวูบลงเหวไปในชั่วพริบตา ซ้ำยังถึงขั้นที่ไม่มีโอกาสจะซ่อมแซมแก้ไขด้วย

อีกอย่างพูดไปแล้วก็ไม่มีความหมาย เพราะลึกๆ ในใจบิดาก็ไม่ได้ปฏิเสธการเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความสูงศักดิ์ของน้องชาย

บนเส้นทางแห่งความผิดพลาด ออกเดินทางล่วงหน้าก่อนสามปี บนเส้นทางแห่งความถูกต้อง อดทนจำศีลรอสามปี ความต่างในการส่งผลกระทบที่ทั้งสองสิ่งมีต่อสกุลหลี่ในอนาคตไปอีกสามสิบปี ไปอีกสองชั่วคนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้

หลังจากที่เด็กหนุ่มออกจากห้องหนังสือ มาเดินเพียงลำพังบนระเบียงกว้างขวางที่สลักรูปดอกไม้งดงาม เขาพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งลมที่แขวนไว้ใต้ชายคา

เขารวบชายแขนเสื้อหลับตา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รับฟังเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังกังวานในอากาศ แล้วพึมพำว่า “คนฉลาดมีมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่อง”

บัณฑิตชุดเขียว นามว่าหลี่ซีเซิ่ง