ฉินมู่ลงเหยียบพื้นพร้อมกับโคลนอันกระเด็นพุ่งไปรอบๆ ตัวเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และหยาดหยดของมันก็เข้าไปผสมกับโคลนเหล่านั้น เส้นผมของเขาลุกโพลงปลิวไปมาจากความพิโรธเมื่อเขาก้าวไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งเพิ่งลุกขึ้นมายืน

“เจ้ามันก็แค่ทหารหนีทัพของสมรภูมินี้ เจ้าไม่มีสิทธิที่จะดูถูกเหยียดหยามใคร!” ฉินมู่ร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัส แต่รัศมีของเขาก็ดูจะดุร้ายยิ่งกว่าเก่า และพลานุภาพในกระบวนท่าของเขาก็ยิ่งน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ

โทสะอัดแน่นเต็มอกเขา เมื่อบรรพชนแรกกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสอง เขาก็รู้สึกว่ากับว่าเลือดในอกทั้งหมดจะระเบิดออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับกายเนื้อจากจุดที่มันยืนอยู่บนแท่นวิญญาณใจกลางสมบัติเทวะของเขา ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมใช้ศีรษะค้ำยันฟ้า และเท้าเหยียบหยัดอยู่บนดิน เขาก็ท่วมท้นไปด้วยไอหมอกแห่งหกทิศอันไหล่บ่ามาจากทุกทิศทาง

ปราณชีวิตของฉินมู่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันได้หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อไปแล้ว และปราณชีวิตก็พุ่งแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย

ทันใดนั้น เขาก็ตรึกตรองเข้าใจประเด็นสำคัญที่สุดของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของบรรพชนแรกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

การโคจรวิชานั้นอาศัยเวลา ทักษะเทวะจึงจะสามารถแผ่พุ่งพลานุภาพออกไปได้ ความแตกต่างนั้นอยู่แค่ว่า ระยะเวลาดังกล่าวจะยาวสั้นแค่ไหน อันนำไปสู่พลานุภาพอันแข็งแกร่งและอ่อนแอ

ด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมตั้งมั่นอยู่ในสมบัติเทวะทั้งหลาย ปราณชีวิตก็จะเข้ามาในร่างกายเขาผ่านทางสมบัติเทวะทั้งหลายโดยตรง ประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการโคจรปราณชีวิต

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และไม่เพียงแค่เพราะว่าทุกส่วนในร่างกายของเขาบรรลุเขตขั้นเทวะ แต่ด้วยการใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมผสานเข้ากับร่างเนื้อ

ในจังหวะนั้น ดาวห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ก็สอดคล้องกับอวัยวะทั้งห้า หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตอันคือไฟ ไม้ ดิน ทอง และน้ำตามลำดับ เทพครองดาวทั้งห้าเคลื่อนที่เข้าไปในหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตของเขา แต่ละอวัยวะในอวัยวะทั้งห้าของเขามีเทพเจ้าสถิตอยู่ในนั้น!

หัวใจของเขานั้นคือสถานที่ที่เทพครองดาวอังคารหัววัวเคลื่อนที่เข้าไป

ตับเป็นสถานที่ที่เทพครองดาวพฤหัสบดีหัวนกเข้าไปครองตำแหน่ง ม้ามคือสถานที่ที่เทพครองดาวเสาร์หัวคนร่างงูเลื้อยเข้าไป ปอดคือที่ซึ่งเทพครองดาวศุกร์หัวเสือเข้าไปนั่ง และไตนั้นคือที่ซึ่งเทพครองดาวพุธผู้มีเกศาสีแดงและร่างงูเข้าไปอยู่

ห้าธาตุและกายเนื้อส่งเสริมซึ่งกันและกัน และพละกำลังของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อันทำให้เขามีพละกำลังพอที่จะซัดบรรพชนแรกซึ่งกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสองกระเด็นไปได้ในหมัดเดียว!

“ใช่ พวกเขาแพ้ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!”

ฝ่ามือของฝ่ามือปะทะกัน และพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่ง หมอกขาวในบริเวณรอบๆ เกิดเสียงหวีดเฉือน เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกันและก่อเป็นคลื่นอากาศ

พลังฝ่ามือราวกับมีดอันคมกล้าไร้ใดเปรียบอันเฉือนตัดหมอกเป็นสองฟากยาวไกลถึงร้อยห้าสิบวา

“พวกเขาได้ทำมัน แต่เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์พวกเขา”

ฉินมู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และปราณชีวิตทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป เส้นเอ็นของเขาขยับอย่างดุเดือดใต้ผิวหนังและผลักปะทะกับบรรพชนแรก ปัง ปัง ปัง ปัง ภายใต้เท้าของพวกเขา พื้นดินระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมันมีพื้นที่โล่งว่างรอบตัวพวกเขารัศมีร้อยห้าสิบวา อันไร้ซึ่งมวลหมอก

ถึงอย่างไร มันก็คือพลังอันกดอัดจากการซัดฝ่ามืออันรุนแรงของฉินมู่ หมอกทั้งหลายจึงไปรวบอัดกันข้างหลังมัน ซึ่งก็คือข้างหลังบรรพชนแรกในตอนนี้

“นอกจากก่อตั้งโถงกษัตริย์มนุษย์ เจ้าได้ทำอะไรอีก” ฉินมู่ถาม และภูเขาไฟก็ระเบิดมาข้างหลังเขา อัคคีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันมาจากเพลงหมัดของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอันรวบรวมเพลิงหฤทัยมาเป็นพลังการระเบิด

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พละกำลังในฝ่ามือของฉินมู่พลันเพิ่มพูนไปหลายเท่าตัว และซัดเขากระเด็นไป

“เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังอยู่บนอากาศ และพลันเห็นฉินมู่เงื้อขาข้างหนึ่งขึ้นมา ร่างของเขาตวัดเตะเป็นวงกลมขณะที่ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธวิญญาณทุกชนิดเข้าไปถล่มเป้าหมาย!

มันคือเวทมนตร์ขัดเกลาอาวุธวิญญาณของกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกวาดแขนเสื้อขึ้นและทำลายอาวุธวิญญาณทั้งหมด แต่ไม่ทันที่เขาจะร่วงลงถึงพื้น เขาก็เห็นฉินมู่ยกนิ้วขึ้นมาทางเขา ภูเขามากมายพลันโผล่ขึ้นมาและโถมทับใส่เขาทั้งหมด

“เชื่อมกำแพงแตะขุนเขาน้ำเงิน!”

“หากว่าพวกเขาด้อยกว่าเจ้า ก็สอนพวกเขาสิ! เจ้าสามารถสอนพวกเขาได้!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหักฝ่ากระบวนท่านี้ด้วยกำลังเถื่อน แต่เขายังไม่ทันตั้งตัว ระฆังยักษ์ก็พุ่งเข้ามาใส่เขา ฉินมู่มาตรงหน้าเขาและโจมตีใส่ระฆัง หมัดและลูกเตะของเขาซัดลงไปบนผนังระฆัง

ระฆังสั่นสะท้าน และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจดุดันมากขึ้นทุกที บางครั้งมันก็เอียง บางครั้งมันก็คว่ำ บางครั้งก็หงาย และบางครั้งปากระฆังก็จ่อตรงไปยังบรรพชนแรก

ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถอยไปอย่างต่อเนื่องขณะที่ฉินมู่พูดใส่เขาอย่างเดือดดาลผ่านเสียงเหง่งหง่างของระฆัง “บรรพชนสองตายอย่างไร จากความชรา!”

ตูม!

ฝีเท้าของกษัตริย์บรรพชนแรกเริ่มพลาดจังหวะ

“บรรพชนสามตายอย่างไร จากความชรา!”

“บรรพชนสี่ตายอย่างไร จากความชรา!”

“พรสวรรค์และปฏิภาณของกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดด้อยกว่าเจ้าหรือ หากว่าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็ควรถ่ายทอดวิชาในการบรรลุเทพให้พวกเขากระทำมันสิ! ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกเขาตายจากความชรา”

ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่คนที่เขาได้ร่ำเรียนมาในยมโลก กษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่ได้ทดสอบพรสวรรค์และปฏิภาณของเขาด้วยทักษะเทวะพวกนี้ แต่ว่าพวกเขามิได้ถ่ายทอดวิชาเต็มๆ หวังให้เขาไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อรับสืบทอดวิชาคำสอนของพวกเขาที่ครบสมบูรณ์

พวกเขาสอนฉินมู่แต่เพียงคร่าวๆ และมิได้คาดหวังว่าเขาจะเรียนอะไรไปได้มากมายนัก แต่กระนั้นทักษะเทวะของพวกเขาในมือของฉินมู่ก็เปล่งอานุภาพอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ทำให้บรรพชนแรกต้องถอยกรูดๆ

“เจ้ามีวิชาสำหรับฝึกให้บรรลุเทพอยู่ชัดๆ ดังนั้นเจ้าก็ควรจะสอนพวกเขา! ทำไมเจ้าไม่สอนพวกเขา”

“พวกเขาได้อะไรไปจากเจ้าบ้าง นอกจากลัญจกรผุพังนี่! นอกจากภาระและความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ได้อะไรเลย!”

“พวกเขาไม่ได้เรียนรู้วิชาและทักษะเทวะของเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังช่วยเจ้าแบกรับภาระที่เจ้ายกเองไม่ไหว ดิ้นรนและต่อสู้กับศัตรูที่เจ้าหวาดกลัว! กระนั้นเจ้าก็ยังมาทำลายความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา และยังหวังที่จะทำลายซากสังขารอีก! พวกเขาละอายเกินกว่าจะสู้หน้าเจ้าหลังจากที่พวกเขาตายไป ละอายที่ไม่อาจประสบความสำเร็จ!”

“กระนั้นเจ้าก็ยังอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเหลือเอาไว้! เจ้ามีหน้าอะไรไปเรียกพวกเขาว่าไร้ประโยชน์ เรียกพวกเขาว่าไร้ความสามารถ”

ฉินมู่ปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายของเขา แต่บรรพชนแรกพลันยื่นมือออกมาคว้าหมัดของเขาเอาไว้และเหวี่ยงเขาขึ้นไปก่อนที่จะจับเขาฟาดลงกับพื้นอย่างหฤโหด

ฉินมู่กระโดดขึ้นมา และบรรพชนแรกก็โจมตีตอบโต้ด้วยเพลงหมัด วิชาตัวเบา เพลงกระบี่ และวิชาพยุหะ แต่ละอย่างนั้นมหัศจรรย์อย่างเหลือแสน เขาทำลายฝ่ากระบวนท่านของฉินมู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และซัดฉินมู่จนต้องตกไปเป็นฝ่ายป้องกันอีกครั้ง

เขานั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ใดเปรียบ และการล่าถอยของเขาเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการถอยเพื่อหลอกล่อให้ฉินมู่อ่อนแรงลง บัดนี้เขาหมายจะทำลายอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง บดขยี้ความมั่นใจและร่างกายไปพร้อมๆ กัน!

ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากจนเหลือล้น และกายเนื้อของเขาก็อยู่ในสภาพอันสมบูรณ์แบบที่สุดตลอดเวลา การควบคุมปราณชีวิตของเขาก็บรรลุถึงเขตขั้นอันเกินจินตนาการ ฉินมู่ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก และโถมดิ่งตัวเองเข้าไปในการปลดปล่อยทักษะเทวะ ขณะที่บรรพชนแรกสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อย่างไร้ที่ติ และไม่เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ในการปลดปล่อยอารมณ์

ปัง ปัง ปัง

ฉินมู่ถูกซัดด้วยหมัด ลูกเตะ และทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับร่างกายของเทพเที่ยงแท้เยาว์ที่บรรพชนแรกมีแล้ว เขาก็ยังบอบบางเกินไป

กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของเขาไม่อาจขับเคลื่อนได้อีกต่อไป และนิ้วของบรรพชนแรกที่จี้มาถึงหว่างคิ้วของเขาก็ได้ทำลายมัน

ฉินมู่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปสูงลิ่วก่อนที่จะร่วงลงมาเหมือนกระสอบข้าวผุๆ ตรงหน้ากระท่อมฟางซอมซ่อของบรรพชนสอง

เขาพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่ไม่อาจลุกขึ้นได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอันเย็นเยียบ เขามายังข้างๆ ฉินมู่และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าพูดมากมายขนาดนี้ แล้วมันมีประโยชน์หรือ หากว่าเจ้าทำได้ ก็เอาชนะข้าสิ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่มีทางแบกรับตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์เอาไว้ได้ เมื่อเจ้ารับมันเอาไว้ ศัตรูที่เจ้าจะต้องเผชิญจะยิ่งแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดยิ่งกว่าข้าอีกหลายเท่า!”

ฉินมู่จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่อีกฝ่ายเดินไปยังกระท่อมฟางของบรรพชนสองและหิ้วโครงกระดูกนั้นขึ้นมา

“อย่า…” ฉินมู่คลานไปข้างหน้าอย่างยากลำบากจนกระทั่งเขาคว้าข้อเท้าของบรรพชนแรกเอาไว้ ด้วยเสียงเจือสะอื้น เขาวิงวอน “ข้าขอร้องเจ้า!”

แกรกๆ

โครงกระดูกของบรรพชนสองแหลกละเอียดและร่วงลงไปบนพื้น

บรรพชนแรกยกเท้าขึ้นและกระทืบหลังเขาไปสองที จากนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่มีวันเอาชนะพวกเขาได้ นี่คือครั้งแรกที่เจ้ามีโอกาสเผชิญหน้ากับข้า ดังนั้นเจ้ายังมีโอกาสอีกสามสิบสี่ครั้ง”

ฉินมู่ทัศนวิสัยรางเลือนขณะที่แก้มของเขาเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหิ้วตัวเขาขึ้นและโยนเขาขึ้นไปบนหีบ เขากล่าวอย่างเย็นเยียบ “ทุกครั้งที่เจ้าพ่ายแพ้ข้า ข้าก็จะทำลายโครงกระดูกของกษัตริย์มนุษย์คนหนึ่ง หากว่าเจ้ายังคงแพ้ต่อไปเรื่อยๆ โครงกระดูกของพวกล้มเหลวนี่ก็จะสาบสูญหมดสิ้น ไปซะ!”

กิเลนมังกรอ้าปากคำรามใส่เขา แต่ปากของเขายังคงถูกปิดผนึกอยู่ เขาไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขา และกิเลนมังกรก็ก้มหน้าลง เขาพาหีบอันมีฉินมู่กองอยู่บนหลังกลับไปในทางที่พวกเขาจากมา

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงของฉินมู่ดังมาจากข้างบนหีบ “ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกร่างสั่นเทิ้ม แต่เขาไม่หันกลับไป กิเลนมังกรพาหีบและฉินมู่ออกไปจากเศษซากโบราณแห่งสภาสวรรค์นี้

“ข้าขอโทษ…”

ตึง

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าลงไปตรงหน้ากระท่อมฟางของบรรพชนสองจนฝุ่นธุลีลอยขึ้นมา “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายซากสังขารของเจ้า ข้าขอโทษ…”

“ข้าให้อภัยท่านไปแล้ว”

ผีตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากซากกระดูก มันมีรูปเงารางเลือนของบรรพชนสองที่ส่งยิ้มไปให้ “ข้าได้ให้อภัยท่านมาตั้งนานแล้ว ข้ารู้ความคิดของท่าน ท่านอยากจะให้เขาเติบโตขึ้นเร็วกว่านี้เพราะว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน ใช่ไหม เขาสามารถแบกรับภาระที่พวกเราไม่สามารถทำได้ ใช่ไหม ข้าได้อภัยท่านแล้ว ดังนั้นกลับมาที่ยมโลกเถอะ พวกเขาก็จะให้อภัยท่านด้วยเช่นกัน…”

ในกระท่อมฟางอันเก่าพัง โครงกระดูกทั้งหลายเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่คุกเข่าอยู่อย่างเงียบงัน

“พวกเราล้วนแต่ให้อภัยท่าน…”

พวกเขามองไปยังบรรพบุรุษของตน กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิได้ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพให้แก่พวกเขา แต่เขาได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณหนึ่งอันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด จิตวิญญาณอันไม่มีวันตายและไม่ยอมพ่ายแพ้

“ข้าไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าอยู่ที่พื้น และร่างกายของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาจากไปในที่ไกลแสนไกล

หีบส่งเสียงก๊อกแก๊กขณะที่วิ่งไป แบกฉินมู่ผ่านภูเขามากมาย ตรงหน้ามันนั้น กิเลนมังกรมองไปข้างหน้าอย่างระวังระไว เผื่อว่าสัตว์พิสดารในแดนเถื่อนจะโจมตีพวกเขา

สองวันถัดมา พวกเขามาถึงเมืองเขตมังกร ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อรีบมารับฉินมู่ไปรักษาพยาบาล ผ่านไปสามสี่วัน เขาก็ฟื้นฟูกลับมาและเยียวยาตนเองจนกลับมาแข็งแรง

“ข้าจะฆ่าเขา” ดวงตาฉินมู่ชืดชาขณะที่เขานั่งอยู่บนหัวเสามังกรในเมือง “ข้าจะต้องฆ่าเขาแน่นอน ข้าไม่มีวันยกโทษให้เขา…” เขาบอกฮู่หลิงเอ๋อที่พาเขาขึ้นมาที่นี่

นางมองไปยังฉินมู่ที่ท้อถอยไร้ชีวิตชีวาในช่วงหลายวันมานี้ นางไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเขาได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงพาเขามายังสถานที่นี้อันพวกเขาได้ละเล่นด้วยกันในครั้งกระโน้น ด้วยหมายที่จะปัดเป่าเมฆดำในหัวใจเขาออกไปไม่มากก็น้อย

“ท่านพ่อเรียกตัวข้ากลับไป เขาบอกว่าจะส่งข้าไปยังแผ่นดินตะวันตก” หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “แม้ว่าแผ่นดินตะวันตกจะสวามิภักดิ์ต่อพวกเรา แต่ก็ไม่มีอิทธิพลอำนาจของสภาราชสำนักอยู่ที่นั่น เจ้าอยากจะตามข้าไปเดินท่องเที่ยวในแผ่นดินตะวันตกไหม อย่ามัวแต่คิดเรื่องนี้อยู่ตามลำพังเลย มันน่ากลัวนะ…บอกเล่าข้าออกมาสิ เผื่อข้าจะมีความคิดดีๆ!”

ฉินมู่มองไปที่นางด้วยสีหน้าอันแข็งทื่อ ดวงตาของเขาปราศจากชีวิตชีวา หนวดหร็อมแหร็มของเขาที่เขาชอบจะทึ้งถอนออกมาตอนนี้ได้กลายเป็นตอใหญ่ๆ มากมายหลังจากที่ไม่ได้แตะพวกมันมาหลายวัน เขาถามอย่างชืดชา “ข้าจะเอาชนะเทพเที่ยงแท้ได้อย่างไร”

หลิงอวี้จิวอึ้งไป

ฉินมู่เอนตัวลง “ไปแผ่นดินตะวันตกเถอะ จักรพรรดิบอกเจ้าให้ไปที่แผ่นดินตะวันตกและรัชทายาทอวี้ชู้ไปที่แดนเหนือที่เพิ่งยึดครองมาได้ ดังนั้นหากว่าเจ้าปกครองแผ่นดินตะวันตกได้ดีกว่าเขา เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งรัชทายาทมาแทน หากว่าเจ้าต้องการ ข้าช่วยเจ้าได้ ข้ามีผู้คนอยู่ในแผ่นดินตะวันตก แต่ข้าไปกับเจ้าด้วยไม่ได้ ข้าต้องคิดอะไรบางอย่างให้ตก”

หลิงอวี้จิวเอนกายลงข้างๆ เขาและใช้มือของนางหนุนหัวต่างหมอนพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า “เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พวกเรานอนแผ่อยู่ที่นี่ด้วยกัน ทุกๆ อย่างช่างไร้กังวล ข้าชอบเจ้า เจ้าก็ชอบข้า เช่นนั้นทำไมหลังจากที่พวกเราเติบโตขึ้นมา จู่ๆ ก็มีความกังวลมากมาย ข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน…”

“นั้นอาจจะเพราะว่าพวกเราโตขึ้น” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบาหลังจากที่หลับตาลงไป

หลิงอวี้จิวพลิกตัวและมองเขาจากด้านข้าง นางดึงเส้นหนวดยาวของเขาออกมาเส้นหนึ่งและถาม “เจ้ายังเป็นเจ้าคนเดิมหรือเปล่า”

ฉินมู่ตกตะลึง “ซิงอ้านกล่าวว่าร่างกายของบุคคลหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงในทุกๆ เจ็ดปี นี่ก็ผ่านมาได้สามสี่ปีแล้ว ข้าคงจะเหลือตัวข้าคนเดิมอีกแค่ครึ่งตัว”

หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มและดึงเอาหนวดของเขาออกมาอีกสองเส้นอย่างโหดร้ายพลางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าหลอกข้าให้กลัวอีกแล้ว! เจ้าไม่มีทางเป็นซิงอ้าน!” นางเอียงหัวของนางพลางครุ่นคิด “หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปแผ่นดินตะวันตก ข้าอยู่กับเจ้าก็ได้นะ”

“เจ้าอยากไปไหม” ฉินมู่ถาม

“ข้าอยาก!” หลิงอวี้จิวลุกขึ้นยืนและมองลงไปยังภูเขาและแม่น้ำแห่งแดนโบราณวินาศจากที่สูงพลางกล่าวด้วยจิตใจอันฮึกเหิม “ข้าอยากที่จะเป็นจักรพรรดิหญิงและเอาชนะพ่อของข้าได้! ข้าอยากจะทำให้เขารู้ว่าข้าดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าบุตรชายของเขาทั้งหมด!”

ประกายแสงวูบวาบพุ่งไปมาในดวงตาของฉินมู่ เขารู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่เอ่อล้นมาท่วมเขาหลังจากได้ประจักษ์วาทะอันหาญกล้าของนาง และชีวิตชีวาก็คืนกลับเข้ามาในร่างเขา ราวกับว่าเขาได้ฟื้นคืนชีพ

……………….