ตอนที่ 69 บอสมักจะถูกคนอิจฉา

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อู๋เหยียนมองซ้ายขวา ไม่มีคน

 

 

เธอไม่รู้ว่าอะไรโดนใจถึงหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

 

 

หลังจากฉินอวี่กลับมาก็ไม่พบอะไร เธอถึงจะโล่งใจไป

 

 

กลับถึงห้องเก้า

 

 

เพื่อนร่วมโต๊ะของอู๋เหยียนพบว่าเธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงชะโงกหน้ามา “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

 

 

“ไม่เป็นไร” อู๋เหยียนดึงสติกลับมาแล้วส่ายหน้า

 

 

ประจวบเหมาะกับเลิกคาบทบทวนบทเรียนแล้ว นักเรียนในห้องเรียนส่งเสียงดัง

 

 

วินาทีถัดไป ทั้งชั้นเรียนก็เงียบลงอย่างกะทันหัน

 

 

อู๋เหยียนนึกว่าครูประจำชั้นมาแล้ว เหลือบมองไปที่ประตูหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะประตูด้านหลังใกล้บันได

 

 

พอมองไปแล้วก็ไม่สามารถละสายตาได้

 

 

มีใครบางคนยืนอยู่ที่ประตูหลังจริงๆ รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาสวย หน้าตางดงาม แต่กลับมีความดื้อรั้นในวัยหนุ่มอยู่ด้วย

 

 

“เว่ยจื่อหัง…”

 

 

เด็กผู้หญิงหลายคนที่อยู่ข้างอู๋เหยียนพูดเสียงเบา อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปบ่อยครั้ง

 

 

“หล่อมาก ฉันว่าไม่แพ้สวีเหยากวงเลย เดือนโรงเรียนมีเรื่องให้โต้เถียงแล้วใช่ไหม”

 

 

“เขามาหาใคร”

 

 

“…”

 

 

คนในวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นต่อเพศตรงข้ามเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเด็กอันธพาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังแบบเว่ยจื่อหัง ทำให้นักเรียนมักจะเกิดความพิศวงบางอย่างในใจ

 

 

ถึงแม้จะรู้ว่าคะแนนเขาไม่ดี แต่นักเรียนหญิงเหล่านั้นยังคงวิ่งกระโจนเข้าใส่

 

 

เขามาที่โรงเรียนเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว แล้วพักอยู่หอใน ได้ข่าวว่าทุกๆ คืนตึกที่เขาอยู่ไม่กล้าส่งเสียงดังมากเกินไป

 

 

ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โต แต่เป็นกระแสดังในกระทู้โรงเรียนมาก

 

 

ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนของโรงเรียน ล้วนมีคนสนใจเขาอยู่เสมอ

 

 

หลินซือหรานกอดโปสเตอร์เหยียนซีไว้แล้วกัด เห็นคนที่พิงอยู่ตรงปากประตูนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะสะกิดฉินหร่าน “หรานหร่าน เขามาหาเธอหรือเปล่า”

 

 

ตอนที่เพิ่งรู้จักฉินหร่าน หลินซือหรานต้องขอบคุณฉินหร่านที่ทำให้เธอถูกน้องชายของอันธพาลเว่ยส่งกลับมา

 

 

ฉินหร่านยังคงพิงกำแพงอยู่ ในปากกัดลูกอมไว้ มองตามสายตาเธอไปยังด้านนอกแล้วลูบจมูก “ใช่”

 

 

หลินซือหรานยืนขึ้น ให้เธอออกไป

 

 

เว่ยจื่อหังยืนอยู่นอกประตู

 

 

สายตาจดจ้องที่มือขวาของเธอ “พี่หร่าน นี่ใครเป็นคนทำ”

 

 

เขาลาหยุดหลายวัน พอกลับมาก็ได้ยินคนพูดเรื่องของฉินหร่าน จึงมาที่ห้องเก้า

 

 

“สวี่เซิ่น” ฉินหร่านระบายยิ้ม ดูแล้วอารมณ์ดีพอสมควร “ในที่สุดฉันก็หาโอกาสส่งเขาเข้าตารางได้แล้ว”

 

 

“เขาเห็นหมิงเย่วแล้วหรอ” เว่ยจื่อหังหรี่ตาลง “บ้าเอ๊ย ทำไมไม่ให้ฉันไปเจอกับหมอนี่!”

 

 

“ฉันก็ซ้อมเขาหนักเหมือนกัน” ฉินหร่านกัดลูกอมจนแตกแล้วยิ้ม “ซ้อมไปในส่วนของนายด้วย”

 

 

“งั้นก็ดี” เว่ยจื่อหังครุ่นคิดแล้วย่นจมูก ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ “ต่อให้จะส่งเขาเข้าตาราง ก็ไม่เห็นต้องเสียสละมือของพี่เลย มือของพี่ยังมีค่ามากกว่าชีวิตต่ำต้อยของเขาเยอะ”

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันทำอะไรมีขอบเขต” ฉินหร่านตบบ่าเขา “วางใจเถอะ”

 

 

“ถ้าปู่ของฉันเห็นพี่เข้านะ…” เว่ยจื่อหังพึมพำแล้วหยุดชะงัก “พอเถอะ ต้องเข้าเรียนแล้ว ฉันอยู่ห้องสาม มีเรื่องอะไรก็บอกฉันได้”

 

 

ทั้งสองคุยกันเบาเสียงมาก ไม่มีใครได้ยิน

 

 

แต่การซุบซิบนินทานั้นขาดไม่ได้หรอก

 

 

ฉินหร่านกลับไปที่ที่นั่งของเธอภายใต้การจ้องมองของทุกคนในชั้นเรียน

 

 

ในห้องยังคงเงียบสงัด

 

 

…..

 

 

คาบทบทวนบทเรียนในช่วงเย็น

 

 

คนในห้องมีไม่เยอะ

 

 

นักเรียนชายเกือบครึ่งล้วนไม่อยู่ในห้อง

 

 

“วันนี้เป็นการแข่งขันรอบตัดสินของเกมจิ่วโจว พวกเขาไปห้องน้ำเพื่อดูการถ่ายทอดสดกันหมดแล้ว” หลินซือหรานคุยกับฉินหร่านว่า “ก็เกมที่เธอเล่นเมื่อครั้งก่อน เทพสุริยะของQTSโคตรหล่อ! วันก่อนสังหาร 4 ตัวติดต่อกัน เข้าไปถึงแมตช์รอบตัดสิน วันนี้ต้องชนะYKTแน่นอน ครองแชมป์ประเทศ ! ”

 

 

เกมจิ่วโจว เกมการ์ดประลองฝีมือป้องกันหอคอยระดับโลก

 

 

หลินซือหรานเล่นไม่ค่อยเป็น แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการชมของเธอ บรรยากาศแบบนั้นกระตุ้นคนได้จริงๆ

 

 

ฉินหร่านยันมือลงบนหนังสือแล้วอมยิ้ม“อืม พวกเขาทำได้แน่”

 

 

“จริงสิ หรานหร่านบทสุนทรพจน์ของพวกเราเขียนได้พอประมาณแล้ว พรุ่งนี้ตอนเที่ยงนัดที่อาคารอเนกประสงค์ ตอนนี้เธออยากจะดูและเตรียมตัวหน่อยไหม” หลินซือหรานหยิบสมุดออกมาถามเธอ

 

 

ฉินหร่านครุ่นคิด “พรุ่งนี้เช้าเธอเอาให้ฉันดูหน่อยก็พอแล้ว”

 

 

พูดจบ เธอก็หยิบดินสอลอกข้อสอบภาษาอังกฤษของหลินซือหราน

 

 

อู๋เหยียนเก็บข้อสอบภาษาอังกฤษที่แจกเมื่อตอนเที่ยง ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะมองฉินหร่านแวบหนึ่ง เห็นว่าฉินหร่านลอกข้อสอบอีกแล้ว จึงพูดอย่างรำคาญว่า “เก็บข้อสอบแล้ว”

 

 

ฉินหร่านชำเลืองมองเธอ จากนั้นทำข้อสอบอย่างช้าๆ จนกระทั่งเลือกคำตอบข้อสุดท้ายเสร็จ จึงจะส่งใบคำตอบให้เธอ

 

 

……

 

 

เที่ยงวันถัดมา ฉินหร่านไปเปลี่ยนยาที่ห้องพยาบาล

 

 

เดิมทีเฉิงเจวี้ยนกำลังคุยโทรศัพท์กับคนอื่นอยู่ เมื่อเห็นเธอก็ชะงักไปเล็กน้อย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินไปส่งนักเรียนหญิงคนหนึ่งออกไปแล้วชะโงกหน้ามายิ้ม “ฉินหร่าน วันนี้เธอเปลี่ยนสไตล์ใหม่หรอสวยดี”

 

 

วันนี้ฉินหร่านสวมเสื้อเชิร์ตที่ค่อนข้างยาว ไม่ใช่เสื้อคอกลมสีขาวแบบเดิมของเธอ

 

 

เนื้อผ้านุ่ม สีกุหลาบ เบาหวิวและค่อนข้างยาว เหนือเข่าสิบเซนติเมตร ชายเสื้อปักด้วยลูกไม้สีขาวละเอียดอ่อน

 

 

ในวันปกติเธอใส่แต่สีขาวล้วนหรือสีดำล้วน เสื้อสีแก่ๆ ถูกเธอใส่ให้ดูมีบุคลิกไปอีกแบบ ยังคงสวยงามสุดๆ

 

 

นานๆ ทีจะสวมเสื้อสีอื่นก็ยิ่งสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

 

สีกุหลาบนี้ยิ่งขับให้เธอดูสวย ผิวขาวดุจหิมะ

 

 

ขาที่ทั้งยาวทั้งผอมถูกหุ้มด้วยกางเกงยีนส์สีดำ อันที่จริงมันเป็นเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่สวยหรู แต่เธอใส่แล้วไม่บ้านนอก

 

 

“อืม” ฉินหร่านนั่งบนเก้าอี้ “ช่วงเที่ยงมีการกล่าวสุนทรพจน์ ฉันต้องไปโชว์หน้า เสื้อเป็นของหลินซือหราน”

 

 

หลินซือหรานไม่ชอบกางเกงนักเรียนของเธอ ดึงดันให้เธอเปลี่ยนชุด แถมยังจะแต่งหน้าให้เธอด้วย แต่อย่างหลังถูกฉินหร่านปฏิเสธ

 

 

วันนี้เฉิงเจวี้ยนดูเงียบๆ เพียงแค่ทำแผลให้เธออย่างเชื่องช้า

 

 

คาดว่าคงเป็นเพราะมือของเธอไม่มีเลือดออกแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่ค่อยอยากไปกล่าวสุนทรพจน์ คิดดูแล้ว ด้านล่างมีคนมากมาย แค่นึกถึงภาพนั้นก็น่ารำคาญพอควร

 

 

เธอถ่วงเวลาอยู่ที่ห้องพยาบาลอยู่นาน ถึงจะไปอาคารอเนกประสงค์

 

 

เธอแทบจะมาถึงในวินาทีสุดท้าย ห้องสโลปมีคนอยู่มากมายจริงด้วย รวมคนตัวเล็กตัวใหญ่แล้วมีเกือบสองร้อยคน เสียงดังเซ็งแซ่ราวกับฝูงผึ้ง

 

 

คนที่อยู่ที่นี่ต่างตื่นเต้นกันมาก การแข่งขันครั้งนี้มีคะแนนเสริมด้วย การกล่าวสุนทรพจน์ระดับมณฑลนั้นหากได้รับรางวัลสามารถเขียนลงในเรซูเม่ได้ สามารถยื่นเมื่อตอนกรอกใบสมัครสอบหรืออื่นๆ ในอนาคต

 

 

ด้านข้างยังมีผู้สื่อข่าวสองคนจากสำนักข่าวแบกกล้องบันทึกภาพอยู่

 

 

บรรยากาศในห้องสโลปตึงเครียด ทุกกลุ่มกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเข้มข้น ว่าจะรับมือกับการตอบคำถามอย่างไร

 

 

ฝูงชนล้วนอยู่ไม่เป็นสุข บรรยากาศน่าตื่นเต้นสุดๆ

 

 

เช้าวันนี้หลินซือหรานเอาข้อมูลทั้งหมดให้ฉินหร่าน ฉินหร่านเปิดดูทั้งหมดหนึ่งรอบ แต่เธออ่านบทสุนทรพจน์ไปหลายรอบ

 

 

พวกหลินซือหรานยืนจองที่อยู่แถวที่สี่ ฉินหร่านมองปราดเดียวก็เจอแล้ว วางกระเป๋าไว้บนที่นั่งที่พวกเขาจองไว้ให้เธอ “ฉันไปห้องน้ำนะ”

 

 

สำหรับเรื่องแบบนี้ ฉินหร่านไม่รู้สึกประหม่าเลยสักนิด

 

 

เธอกลับมาจากห้องน้ำ

 

 

ลำดับการกล่าวสุนทรพจน์ขึ้นอยู่กับการจับฉลาก

 

 

หลินซือหรานจับฉลากได้ลำดับที่สี่ พอใช้ได้ ไม่มีข้อได้เปรียบเท่าไหร่

 

 

ฉินหร่านนั่งลงแล้วกระแอม เปิดกระเป๋าเตรียมจะหยิบบทสุนทรพจน์มาอ่านอีกสักหน่อย แต่กลับพบว่าบทสุนทรพจน์และแฟลชไดรฟ์ในกระเป๋าหายไปแล้ว