บทที่ 121 นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความหึงหวง + บทที่ 122 เหยื่อผู้บริสุทธิ์

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 121 นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความหึงหวง + บทที่ 122 เหยื่อผู้บริสุทธิ์ Ink Stone_Romance

บทที่ 121 นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความหึงหวง

“เจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว” หญิงทั้งสี่นางมองหน้ากัน พวกนางรู้ว่าชายาซื่อจื่อทำให้ฮูหยินโมโหขึ้นมาแล้ว และฮูหยินคงอยากจะสอนบทเรียนให้นางเต็มแก่

เมื่อมีฮูหยินคอยช่วยหนุนหลัง แน่นอนว่าพวกนางนั้นไม่มีสิ่งใดจะต้องกลัวอีก

ในเวลานี้หลิงหลัวเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าบอกบุญไม่รับ “ท่านแม่ ท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุใด?”

“แน่นอนว่าการที่ข้าเรียกเจ้ามาพบนั้นเพราะมีบางสิ่งที่ต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว หลัวเอ๋อร์ อย่าตามใจหญิงผู้นั้นนัก เซียวจื่อเซวียนน่ะ” ฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าอันไม่น่ามอง

หลิงหลัวขมวดคิ้ว “นางไปทำให้ท่านโมโหเรื่องอะไรรึ?” ทุกวันนี้นางเอาแต่พักผ่อนอยู่ในห้อง แทบไม่ได้ออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

ฮูหยินประชดขึ้นว่า “สิ่งที่ข้าทำนั้นก็แค่หาอนุภรรยาให้เจ้า ทว่าแค่นั้นนางก็หนีกลับไปที่จวนท่านอ๋องเซียวเสียแล้ว นางรู้ดีนักเชียวว่าจะรักษาหน้าข้าอย่างไร”

หลิงหลัวหน้านิ่วคิ้วขมวด แนวคิดเรื่องการมีภรรยาหลายคนนั้นได้เปลี่ยนแปลงหลิงหลัวไปจนหมดสิ้น ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับเซียวจื่อเซวียนแล้ว แต่เขาก็มีหญิงอื่นอยู่

หากมารดาของเขาต้องการให้เขารับหญิงสาวเข้ามาเพิ่ม เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถเลี้ยงดูพวกนางได้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเลย

“ท่านแม่ อย่าหงุดหงิดไปเลย ตอนนี้นางกำลังตั้งท้องลูกของข้าอยู่”

“การตั้งท้องอยู่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยรึ? เพียงแค่เพราะนางท้องอยู่ นางก็เลยไม่รู้จักหาผู้อื่นไว้ปรนนิบัติเจ้าน่ะหรือ? นั่นมันเป็นสิ่งที่เรียกว่าความหึงหวงต่างหาก!” ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงอันไม่น่าฟัง

ถึงแม้ว่านางจะเห็นความสำคัญของเด็กในท้องเซียวจื่อเซวียน แต่ทัศนคติของนางต่างหากที่ทำให้ผู้เป็นฮูหยินอย่างนางไม่ชอบใจ

“พอแล้ว ท่านแม่ ข้าตกลงยอมรับหญิงพวกนี้ ดังนั้นท่านไม่ต้องไปทะเลาะกับเซียวจื่อเซวียนให้มากความนักหรอก นางคงไปแค่สองสามวันแล้วก็กลับมา” หลิงหลัวเกลี้ยกล่อม

เมื่อตอนที่เขามายังยุคนี้ ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงแค่เด็กชาย แล้วก็ได้หญิงผู้นี้นี่แหละที่คอยตามอกตามใจและรักเขายิ่งกว่าสิ่งใด นั่นทำให้เขาอยากปฏิบัติต่อนางให้เหมือนกับแม่แท้ๆ ของตนจริงๆ

เมื่อฮูหยินได้ยินบุตรชายของตนกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของนางก็อ่อนลง “เช่นนั้นก็ดี เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะออกไปเลือกผู้หญิงมาให้เจ้าเพิ่มด้วย”

“เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านแม่แล้ว”

เซียวจื่อเซวียนกลับมาที่จวนอ๋องด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แล้วก็มุ่งไปหามารดาของตน “ท่านแม่ พวกเขาไร้เหตุผลเหลือเกิน” ทันทีที่นางเห็นพระชายาเซียว นางก็บ่นออกมาอย่างอดไม่อยู่

เมื่อพระชายาเซียวเห็นบุตรสาวที่กำลังตั้งท้องอยู่กลับมาบ้าน มิหนำซ้ำยังอยู่ในอาการโมโหอีก นางก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าร้อนใจเรื่องใดเช่นนี้หรือ?”

“ท่านแม่ ยายแก่นั่นถึงกับเตรียมหญิงสี่คนมาให้สามีของข้า” เซียวจื่อเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ

เมื่อพระชายาเซียวได้ยินคำตอบนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากัน จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นมาว่า “เซวียนเอ๋อร์ หากเจ้าทำตัวเช่นนี้มันจะดูไม่ดี ยังไงหลัวเอ๋อร์ก็เป็นถึงซื่อจื่อ การที่เขาจะมีเพียงแค่เจ้าเป็นชายาคนเดียวนั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็กำลังท้องอยู่ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเตรียมหญิงสาวจำนวนหนึ่งไว้ปรนนิบัติเขาเสีย”

เซียวจื่อเซวียนมองมารดาของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ว่ามารดาของนางควรจะโกรธแทนนางหรอกหรือ? นางกล่าวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?

“ท่านแม่ ท่านยอมรับเรื่องนั้นได้อย่างไรกัน?”

“การที่ชายผู้หนึ่งจะมีภรรยาสามคนและอนุภรรยาอีกสี่คนนั้นนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากเจ้าทำตัวเช่นนี้มีแต่จะทำให้แม่สามีของเจ้านั้นรู้สึกไม่พอใจในตัวเจ้าเข้าไปอีก ยิ่งกว่านั้น พวกนางก็เป็นแค่อนุภรรยาฐานะต่ำต้อยมิใช่หรือ? พวกนางไม่ใช่ทั้งสนมซ้ายขวา แล้วก็ไม่ใช่ทั้งอนุภรรยาตำแหน่งสูง สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำทั้งหมดคือการหาหนทางที่จะทำให้พวกนางอยู่ในที่ของตัวเอง ถูกหรือไม่?” เมื่อเทียบกับผู้ที่มีฐานะสูงกว่า อนุภรรยาซึ่งมีฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดินนั้นก็เป็นแค่เศษขยะ ด้วยการสนับสนุนจากจวนอ๋องเซียว อนุภรรยาอย่างพวกนางจะก่อเรื่องอย่างการกดขี่ภรรยาเอกได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าพวกนางจะมีกระเพาะถึงสอง แต่ก็คงไม่กล้าหรอก

เมื่อเซียวจื่อเซวียนได้ยินคำพูดของพระชายาเซียว สีหน้าโกรธจัดของนางในคราแรกก็พลันเปลี่ยนไปอย่างมาก

ทำไมมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? นางคิดว่าการมีบิดามารดาหนุนหลังอยู่เช่นนี้ นางจะสามารถเป็นหญิงผู้เดียวสำหรับหลิงหลัวได้ แต่ตอนนี้แม้แต่มารดาของนางเอง ก็ยังกล่าวออกมาเช่นนั้น

เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้จากทุกมุมมองอย่างระมัดระวัง ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเป็นแบบเดียวกับที่มารดาของนางได้อธิบายให้ฟัง “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเซียวจื่อเซวียนเข้าใจในสิ่งที่นางพูด พระชายาเซียวก็ยิ้มก่อนพยักหน้า “ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือทำให้หัวใจของหลิงหลัวตกอยู่ในกำมือของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแม่สามีเจ้าจะมอบหญิงสาวใดให้เขาอีก ถูกหรือไม่?”

เซียวจื่อเซวียนพิจารณาในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ และได้ข้อสรุปว่าผลสุดท้ายมันก็เป็นปัญหาเดิมในสถานการณ์แบบเดิมไม่ใช่หรือ? แต่หากนางยังคงโวยวายต่อไปเช่นนี้ ก็คงมีแต่จะทำให้ผู้อื่นไม่ชอบขี้หน้านางเข้าไปอีก “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าตอนนี้ข้าควรจะทำอย่างไร แต่ว่าข้ายังไม่อยากกลับวันนี้”

“เช่นนั้นก็อยู่บ้านเสีย แล้วอีกสองสามวันค่อยกลับไป”

“ตกลง ยังคงเป็นท่านแม่ที่ดีที่สุด”

ระหว่างช่วงสองสามวันนั้น เซียวจื่อเซวียนตั้งตารอให้หลิงหลัวมารับนางกลับบ้าน แต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องผิดหวัง ไม่เพียงแค่หลิงหลัวไม่มา แต่นางกลับได้ยินว่าระหว่างนั้นเขายังใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญถึงที่สุด อีกทั้งยังทำตัวไร้ซึ่งความกังวลใจใดๆ อีกด้วย

ขณะที่ผิวพรรณของเซียวจื่อเซวียนค่อยๆ แย่ลง ในที่สุดหลิงหลัวก็มาพบ และพานางกลับบ้าน

ทันทีที่หลิงหลัวมาถึง สีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธในตอนแรกของเซียวจื่อเซวียนนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้า ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่  แต่มองเพียงปราดเดียวเขาก็สามารถบอกได้ว่า นางกำลังรู้สึกทุกข์ใจอยู่

บทที่ 122 เหยื่อผู้บริสุทธิ์

หลิงหลัวมองเซียวจื่อเซวียนแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เซวียนเอ๋อร์ ไปกันเถอะ ข้ามารับเจ้ากลับบ้านแล้ว”

“เจ้าค่ะ” เซียวจื่อเซวียนเงยหน้าและยิ้มให้เขา แต่รอยยิ้มของนางนั้นแลดูเบาบาง

หนิงเมิ่งเหยาฟังการรายงานจากชิงเซวียนพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า “ใช่ นั่นล่ะดีแล้ว”

“ออกไปเสีย แล้วให้คนจับตาดูหยางซิ่วเอ๋อร์เอาไว้” หนิงเมิ่งเหยาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะก่อนออกคำสั่งอย่างเย็นชา

ชิงเซวียนพยักหน้ารับก่อนออกไป

นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง หนิงเมิ่งเหยาหลุบตาลงต่ำก่อนริมฝีปากจะกระตุกเบาๆ ตอนนี้เซียวจื่อเซวียนก็คงไม่มีเวลามายุ่งกับข้าอีกแล้วสิ ถูกไหม?

เพราะเหตุการณ์ดักปล้นครั้งนั้น ทำให้หยางจู้และภรรยาของเขาไม่อนุญาตให้หยางเล่อเล่อออกจากบ้านอีก ถึงแม้ว่าบาดแผลของนางจะหายดีเกือบหมดแล้วก็ตาม

“เหยาเหยา เจ้ามาเสียที! ข้าอยากไปบ้านเจ้า แต่พ่อแม่ข้าไม่ยอมอนุญาตให้ข้าไป” เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาเข้ามา หยางเล่อเล่อก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มบ่น

หนิงเมิ่งเหยาเดินไปข้างๆ หยางเล่อเล่อก่อนนั่งลงพร้อมแย้มรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องลำบากไปบ้านข้าหรอก”

“ทำไมล่ะ?” หยางเล่อเล่อไม่เข้าใจ

พ่อและแม่สั่งห้ามนางออกไปข้างนอก แต่ทำไมแม้กระทั่งเหยาเหยาเองก็ยังไม่ยอมให้นางออกไปด้วยอีกคนล่ะ?

“เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการคลี่คลายโดยสมบูรณ์น่ะสิ ถ้าเจ้ากลับไปตอนนี้ เจ้าอาจจะเกิดเรื่องแบบเดิมอีกก็ได้” หนิงเมิ่งเหยายื่นมือออกไปเพื่อจัดผมให้กับหยางเล่อเล่อ

หยางเล่อเล่อตกใจจนพูดไม่ออก นางมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าโชคร้ายปานนั้นเชียวหรือ?” คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะโดนปล้นต่อกันสองครั้งในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ได้หรอก

“จริงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่การปล้น” หนิงเมิ่งเหยาไม่รู้จะอธิบายกับนางอย่างไร ดังนั้นนางจึงตอบออกไปตรง ๆ อย่างอับจนหนทาง

หยางเล่อเล่อยังคงจ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอยู่ ไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่นางบอกได้ “ข้าไม่เข้าใจ”

“มีอะไรเข้าใจยากนักหรือ?”

“ถ้าหากมันไม่ใช่การปล้น แล้วคืออะไรกันเล่า?”

“มีคนวางแผนเอาไว้ อีกอย่าง เหตุใดพวกมันต้องเจาะจงเลือกเจ้าเป็นเป้าหมายด้วย ในเมื่อมีผู้คนมากมายบนทางเส้นนั้น? ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็เคยบอกหรือว่ามีหลายคนที่ผ่านเส้นทางนั้นไปก่อนเจ้าอีก?” หนิงเมิ่งเหยาคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ดีแล้ว และสุดท้ายนางก็ตัดสินใจที่จะอธิบายให้หยางเล่อเล่อฟัง วิธีนี้น่าจะง่ายกว่า

หยางเล่อเล่อคิดตามในสิ่งที่นางเพิ่งได้ยินอยู่ครู่หนึ่ง จริงๆ เรื่องที่นางกล่าวนั้นก็ดูมีเหตุผล “ข้างหน้าพวกเราก็มีเกวียนอยู่ตั้งสองเล่ม”

“ถูกต้องที่สุด เจ้าพวกนั้นมันจ้องเล่นงานเจ้า และจุดประสงค์ของพวกมันคือการฆ่าเจ้าเสีย”

“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยไปทำให้ผู้ใดไม่พอใจนะ” หยางเล่อเล่อกลัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อฟังที่หนิงเมิ่งเหยาพูด แต่นางกลับรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ อยู่ นางไม่เคยไปขัดหูขัดตาใคร แล้วเหตุใดจึงมีคนจ้องจะเอาชีวิตนางกันเล่า?

หนิงเมิ่งเหยามองสีหน้าซึ่งมีทั้งความหวาดกลัวและสงสัยของหยางเล่อเล่อ แล้วก็อธิบายต่อ “จริงๆ แล้วเป้าหมายสำคัญของพวกมันก็คือข้าเอง”

“เอ๋? ทำไมเล่า?”

“หากเจ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา และมีใครบางคนตั้งใจจะทำให้ปัญหามันลุกลามขึ้นอีก เช่นนั้นท่านลุงกับท่านป้าก็คงจะสงสัยข้าแน่ๆ ถ้าเช่นนั้น ปัญหามันก็คงต้องถูกนำไปตัดสินจนถึงจวนที่ว่าการเป็นแน่ และหากข้าโดนตัดสินที่เมืองหลวง ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไรหรือ? ข้าไม่คิดว่าข้าจำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มแล้ว เล่อเล่อ เจ้าควรจะรู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร” หนิงเมิ่งเหยาเปิดเผยผลจากการสืบคดี และสิ่งที่พวกตนเดาไว้ให้เล่อเล่อฟัง

คำพูดของหนิงเมิ่งเหยาทำให้สีหน้าของหยางจู้และนางหยางเปลี่ยนไป มันคงเป็นไปตามนั้นจริง ๆ ถ้าหากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเล่อเล่อ จะต้องมีคำซุบซิบนินทาแพร่สะพัดออกไปอย่างแน่นอน และนั่นคงนำไปสู่ข้อสรุปว่ามันเกิดขึ้นเพราะพวกเขาสนิทกับหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นนั้น พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจนัก

“เช่นนั้นใครกันเล่า? ใครที่จะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้” เพียงเพื่อจัดการกับหนิงเมิ่งเหยา เขา หรือ นางถึงกับวางแผนทำร้ายผู้บริสุทธิ์เข้าจริงๆ

“นี่ก็เป็นความผิดของข้าเช่นกัน” หนิงเมิ่งเหยากล่าวโทษตัวเอง

หยางเล่อเล่อเป็นผู้บริสุทธิ์ หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเล่อเล่อมีความสัมพันธ์อันดีกับหนิงเมิ่งเหยาแล้วละก็ นางก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัว

เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาโทษตัวเอง หยางเล่อเล่อก็จับมือของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลนลานพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปโทษเจ้าได้เช่นไร? คนพวกนั้นต่างหากที่เป็นผู้ผิด” คนดีอย่างเหยาเหยาจะไปทำให้ใครไม่พอใจได้อย่างไรกัน? ทุกอย่างต้องเป็นความผิดของคนพวกนั้นแน่นอน

สิ่งที่หยางเล่อเล่อกล่าวนั้นถูกต้อง

หยางจู้มองทั้งสอง และรู้สึกว่าตนนั้นทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย “เมิ่งเหยา อย่าโทษตัวเองเลย เจ้าช่วยตระกูลของข้ามามากนัก พวกข้าไม่สามารถโทษเจ้าได้หรอก” คนที่มาสร้างปัญหาให้นางต่างหากที่สมควรจะถูกกล่าวโทษ

หนิงเมิ่งเหยามองหยางจู้และครอบครัวของเขาก่อนยิ้มออกมา หากเหตุร้ายนี้เกิดขึ้นกับตระกูลอื่น นางคงจะต้องถูกเตะออกจากบ้านไปนานแล้ว พวกเขาคงไม่พยายามปลอบใจนางเช่นนี้ เมื่อหันมองใบหน้าอันเป็นห่วงเป็นใยของพวกเขา หนิงเมิ่งเหยาก็พลันรู้สึกว่านางติดค้างคนพวกนี้มากกว่าเดิมหลายเท่านัก