ตอนที่ 81 คงมิใช่ปรมาจารย์ผู้นั้นกระมัง ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 81 คงมิใช่ปรมาจารย์ผู้นั้นกระมัง ?

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ’

‘ก่อนหน้านี้ก็มีท่านบรรพจารย์เย่ลงมาจากสรวงสวรรค์ ได้ประทานโชคนับอนันต์ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ทั้งยังมอบเครื่องรางมงคลอย่างภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงให้ด้วย’

‘บัดนี้ผู้อาวุโสหนานกงก็ได้พบบุคคลที่สามารถคาดการณ์เรื่องลึกลับเช่นนี้ได้อย่างแม่นยำ’

‘หรือว่าคนเบื้องบนจะวางแผนการบางอย่างเอาไว้ ? ’

‘หรือบางทีเหล่าคนบนสวรรค์อาจจะต้องการใช้โลกนี้เป็นกระดานในการเดิมพัน ส่วนพวกเขาก็คือหมากเหล่านั้น ? ’

‘ใช่ ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

‘มิเช่นนั้นต่อให้บรรพจารย์เย่จะมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ก็มิน่าจะมอบโชคและเครื่องรางอย่างภาพวาดไท่เสวียนฉางชิงให้เป็นแน่’

‘แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหนานกงเสวียนจียังกลายเป็นหมากได้ แล้วพวกเขาจะหลีกหนีการถูกควบคุมจากคนของเบื้องบนเหล่านี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ’

คิดถึงตรงนี้ นักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนก็สบตากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยท่าทางจนใจ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดอารมณ์ของหนานกงเสวียนจีก็สงบลง

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นจึงหมุนกายไปทางนักพรตฉางเสวียน

“จริงสิ เจ้าสำนักไท่เสวียนเหมือนท่านจะยังมิได้บอกข้าว่า คนที่ดวลหมากกับข้าก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน ? ”

หนานกงเสวียนจีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นั่น แล้วจึงโบกมือไปมา “ศิษย์น้องทุกท่านรวมทั้งสหายทุกท่านของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง พวกท่านกลับขึ้นเขากันไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องที่จะปรึกษากับผู้อาวุโสหนานกง”

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจ้องไปทางนักพรตฉางเสวียน หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปโค้งคำนับให้แก่หนานกงเสวียนจี แล้วจึงแปลงกายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า

และในขณะที่เหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงลังเลอยู่นั้น สวีฉิงเทียนจึงได้โบกมือให้พลางกล่าวว่า “พวกเจ้าก็กลับไปเถิด”

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่หนานกงเสวียนจี แล้วจึงแปลงกายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า

รอจนทุกคนจากไปแล้วนักพรตฉางเสวียนจึงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับหนานกงเสวียนจีว่า

“ความจริงแล้วผู้ที่เดินหมากกับผู้อาวุโสหนานกงวันนั้น คือผู้น้อยเองขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

สวีฉิงเทียนและหนานกงเสวียนจีมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน

“พี่เหอ…”

สวีฉิงเทียนหันไปมองนักพรตฉางเสวียนอย่างตกตะลึง ท่าทางอึกอักราวกับจะเอ่ยบางอย่าง

ส่วนหนานกงเสวียนจีร้องอ้อออกมาเบา ๆ ก่อนจะลูบหนวดพลางกล่าวว่า “คาดมิถึงว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนจะมีความแตกฉานด้านหมากล้อมเพียงนี้ ถึงขนาดสามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีที่ข้าภาคภูมิใจที่สุดได้อย่างง่ายดาย”

นักพรตฉางเสวียนส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มฝาดเฝื่อน ก่อนจะเอ่ยตามความจริงว่า “ผู้อาวุโสหนานกง มิใช่ว่าผู้น้อยมีความแตกฉานในวิถีหมากลึกล้ำ เพียงแต่มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งใช้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีในการชี้แนะวิถีหมากให้ผู้น้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้น้อยจึงสามารถแก้กลหมากนี้ได้ขอรับ”

“อีกอย่างหากหลายวันก่อนเจ้าสำนักจื่อชิงเปลี่ยนกลหมากที่ใช้ เช่นนั้นคนที่แพ้ก็คงจะเป็นผู้น้อยเอง”

สวีฉิงเทียนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาฉับพลัน

หากรู้เช่นนี้ก่อนหน้านี้เขาน่าจะใช้กลหมากอื่นที่มิใช่สี่มังกรพ่นวารี เพราะหนานกงเสวียนจีมิได้ถ่ายทอดให้เขาเพียงกลหมากสี่มังกรพ่นวารีเท่านั้น แต่ยังมีอีกสองกลหมากที่แตกต่างกันด้วย

“ฮ่า ๆๆ”

หนานกงเสวียนจีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนเอ่ยถามว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียน เช่นนั้นท่านลองบอกข้ามาสิว่าผู้ใดกันที่เป็นผู้สอนวิธีแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีให้เจ้ากัน ? ”

“คาดว่าพวกเจ้าคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าแรกเริ่มนั้นข้าได้อาศัยกลหมากสี่มังกรพ่นวารี จึงได้รับเจตนาแท้แห่งวิถีหมาก ผู้ที่สามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีของข้าได้ง่าย ๆ คงจะแตกฉานในวิถีหมากเหลือคณา”

เอ่ยถึงเรื่องนี้หนานกงเสวียนจีก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ใบหน้าซูบผอมนั้นเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น

หากผู้อาวุโสที่เจ้าสำนักไท่เสวียนเอ่ยถึง เป็นยอดฝีมือที่มีความแตกฉานในวิถีหมาก เช่นนั้นการทำความรู้จักกับบุคคลเช่นนี้ อีกทั้งด้วยพรสวรรค์ในวิถีหมากของเขา ต่อไปการที่จะควบกลั่นรูปบริสุทธิ์ได้สำเร็จก็คงอยู่มิไกลแล้ว

นักพรตฉางเสวียนลอบถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยว่า “เรียนผู้อาวุโสหนานกง ผู้อาวุโสท่านนี้แท้จริงแล้วเป็นบรรพจารย์ท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดผู้อาวุโสน่าจะลงมาจากสวรรค์ขอรับ”

“สูด ! ”

ทันทีที่สิ้นเสียง หนานกงเสวียนจีก็ถึงกับตะลึงอยู่ตรงนั้น

ทันทีที่ได้สติเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่อย่างอดมิได้

‘บรรพจารย์ท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ? ’

‘ลงมาจากสวรรค์ ? ’

‘อีกทั้งท่าทางของเจ้าสำนักไท่เสวียนมิได้ดูเหมือนล้อเล่นแต่อย่างใด’

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกันแน่ ? ’

‘ก่อนหน้านี้ก็ได้พบยอดปรมาจารย์ที่เมืองห่างไกลอย่างเมืองเสี่ยวฉือ มาบัดนี้บนเขาไท่เสวียนยังมีท่านเซียนที่มาจากสวรรค์เร้นกายอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘ที่สำคัญก่อนหน้านี้เขายังคิดที่จะเป็นสหายกับท่านเซียนผู้นี้ เพื่อจะได้ฝึกฝีมือการเดินหมากและบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรให้ได้’

ฉับพลันเทพหมากแห่งยุคอย่างหนานกงเสวียนจี ผู้เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของจงหยวน ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำถาม สมองถึงกับมึนงงไปหมด

สวีฉิงเทียนเห็นท่าทางตื่นตระหนกของหนานกงเสวียนจี ก็ประสานมือพลางเอ่ยเสริมอย่างจริงจังว่า “ผู้อาวุโสหนานกง หากผู้น้อยเดามิผิดท่านบรรพจารย์เย่ผู้นี้ล้วนแตกฉานในทุกๆ ด้านเลยขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ายอมรับ “เรียนผู้อาวุโสหนานกงตามตรง ท่านบรรพจารย์เย่ผู้นี้มีความแตกฉานในทุก ๆ ด้านอย่างที่คาดมิถึงเลยขอรับ”

“ก่อนหน้านี้ท่านผู้อาวุโสได้สอนสั่งวิถีกระบี่ให้แก่ศิษย์สายตรงผู้หนึ่งและผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผ่านภาพอักษรพู่กัน บัดนี้พวกเขาสองคน คนหนึ่งได้บรรลุขั้นก่อกำเนิดสำเร็จแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคาดว่ามินานก็จะบรรลุขั้นก่อกำเนิดเช่นกันขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนบอกหนานกงเสวียนจีอย่างมิปิดบัง “อีกทั้งเขายังได้มอบเครื่องรางล้ำค่าให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ซึ่งเป็นเครื่องรางที่มอบโชคนับอนันต์ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่อมายังได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ค่ายกลป้องกันภูผาของเขาไท่เสวียนด้วยขอรับ”

สวีฉิงเทียนที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย “พี่เหอมิได้กล่าวเกินจริงเลยขอรับ ทั้งหมดนี้ผู้น้อยล้วนได้เห็นมากับตา”

หนานกงเสวียนจีกลืนน้ำลายลงคอ หลังไตร่ตรองอยู่ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย1 จึงได้รวบรวมความกล้าถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียน มิทราบว่าสามารถพาข้าไปพบบรรพจารย์ท่านนั้นหน่อยได้หรือไม่ ? ”

สวีฉิงเทียน “พี่เหอ ในเมื่อผู้อาวุโสหนานกงเอ่ยปากแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้คุยกันเอาไว้ เช่นนั้นเลือกวันย่อมสู้วันที่เหมาะสมมิได้2”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไปพบท่านเย่วันนี้เลยก็แล้วกัน”

นักพรตฉางเสวียนถอดถอนใจอย่างระอา ก่อนจะกำชับอย่างจริงจังว่า “แต่ก่อนที่จะไปพบท่านบรรจารย์เย่ ข้าขอเตือนอะไรสักเล็กน้อย”

สวีฉิงเทียนและหนานกงเสวียนจีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยว่า “ท่านบรรพจารย์เย่มักจะปฏิบัติต่อทุกผู้ทุกคนด้วยความสุภาพและเรียบง่าย แต่ผู้น้อยอย่างพวกเรามิควรกระทำการใดที่เป็นการล่วงเกิน มิเช่นนั้นหากทำให้ท่านบรรพจารย์เย่โมโหขึ้นมา เกรงว่าข้าเองก็มิอาจช่วยได้ มิแน่อาจทำให้เขาไท่เสวียนเดือดร้อนไปด้วยก็ได้”

หนานกงเสวียนจีพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนักไท่เสวียนโปรดวางใจ ยอดปรมาจารย์เช่นนี้ต่อให้จะมีความกล้าเพียงใด ข้าก็มิอาจลบหลู่อย่างแน่นอน”

สวีฉิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย

“ทั้งสองท่านเชิญตามข้ามา ! ”

สิ้นเสียงนักพรตฉางเสวียนก็แปลงกายเป็นลำแสงพุ่งไปทางเมืองเสี่ยวฉือทันที

สวีฉิงเทียนเห็นดังนั้นก็ตามไปทันทีอย่างมิลังเล

แต่เมื่อหนานกงเสวียนจีเห็นทิศทางที่ทั้งสองคนเหาะไปแล้ว ก็อดที่พึมพำออกมาด้วยความสงสัยมิได้ “ท่านเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้ คงมิใช่คนเดียวกับยอดปรมาจารย์ท่านนั้นหรอกกระมัง ? ”

เอ่ยเพียงเท่านั้นหนานกงเสวียนจีก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามมิได้

1 ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย เป็นวิธีบอกเวลาสมัยโบราณ หมายถึงประมาณ 15 นาที

2 เลือกวันย่อมสู้วันที่เหมาะสมมิได้ มีความหมายคล้ายกับว่าฤกษ์สะดวก หรือก็คือการปล่อยไปตามยถากรรม