อู๋ไห่กับผังเหว่ยเถียงกันแบบนี้ไป สงสัยว่าตนจะตาลายเหมือนกัน ถึงจะสงสัยในใจแต่ก็ไม่อยากกลับไปแล้ว สองคนจึงจากไปแบบนี้…

แต่หานเซี่ยวกั๋ว ตอนนี้หนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว ริมฝีปากม่วง หน้าขาวซีด แม้แววตาจะสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังไม่ยอม ยังกัดฟันแน่น…ตาพร่ามัวเล็กน้อย ในความเลือนรางเขาเหมือนเห็นเงาคนหลายคน ในนั้นเป็นคนคุ้มกันรถขนเงิน คุ้นตามาก…

ตอนนั้นหานเซี่ยวกั๋วพลันเข้าใจแล้ว เขาลุกขึ้นจากพื้นร้องเรียก “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้ว! ผมไม่ควรฆ่าคน ไม่ควรฆ่าคนคุ้มกันรถขนเงิน!” หานเซี่ยวกั๋วพูดจบฟางเจิ้งกลับไม่โต้ตอบ จึงนึกสงสัยในใจ หรือว่าจะผิด…

ทว่าตอนนี้เองฟางเจิ้งกำลังกระทุ้งเตาไฟในห้อง…

ฟู่!…ฟู่!…

“บ้าเอ๊ย ฟืนชื้นไปหน่อย ติดยากเชียว” ฟางเจิ้งกระดกก้นขึ้นเป่าเตาไฟ ควันดำลอยโชย ถ้าไม่ใช่เพราะมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง หลวงจีนขาวคงเป็นคล้ำไปแล้ว

ฟางเจิ้งเสียเวลาอยู่นานก็ติดไฟสำเร็จ ก่อนยื่นเท้าออกมาอังไฟ รู้สึกสบายขึ้นมาก

“เฮ้อ ไม่มีรองเท้านี่ไม่สบายตัวเลย…ยังจนอยู่ ร่มที่มีอยู่คันเดียวก็พังอีก ไม่อย่างนั้นคงใช้บังฝนได้บ้าง รองเท้าจะได้ไม่ต้องเปียกเร็วขนาดนั้นด้วย” ฟางเจิ้งบ่น

เวลานี้เองหมาป่าเดียวดายวิ่งส่ายหางเข้ามาเห่าหลายที

“อะไรนะ? นายว่าเขาสำนึกเสียใจที่ฆ่าคน? เด็กดี ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว! ไปให้อภัยเขากัน!” ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้นเดินไปข้างนอก รอนานแล้วก็กลัวว่าหานเซี่ยวกั๋วจะหนาวตาย เขาคงบาปหนัก เลยให้หมาป่าเดียวดายเฝ้าอยู่ตรงนั้นตลอด หากหานเซี่ยวกั๋วไม่ไหวก็ให้พาเข้ามา

ช่วงที่ฟางเจิ้งมาถึงประตูก็ได้ยินหานเซี่ยวกั๋วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไต้ซือ ผมสำนึกผิดแล้ว! ผมไม่ควรฆ่าคน ไม่ควรฆ่าคนคุ้มกันรถส่งเงิน ไม่ก็ไม่ควรเป็นทหารรับจ้างบ้าบออะไรนั่น…ชีวิตนี้ผมฆ่าคนมามาก สองมือเปื้อนกลิ่นคาวเลือด ผมสมควรตาย! ผมสมควรตายจริงๆ แต่ตอนนี้ผมยังตายไม่ได้…”

แอ๊ด!

ประตูใหญ่เปิดออก หานเซี่ยวกั๋วหันหลังให้ประตูใหญ่ตลอด เมื่อประตูเปิดเขาก็เอนล้มลงไป

ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง เห็นดวงตาหานเซี่ยวกั๋วเริ่มพร่ามัวแล้ว

แต่หานเซี่ยวกั๋วเห็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ที่เปรียบซ้ำยังมีแสงพุทธขยับวูบวาบรางๆ ปรากฏในดวงตา ตอนนั้นเขารู้ว่ามีคนช่วยแล้ว! ขณะเดียวกันพระศักดิ์สิทธิ์ชุดขาวรูปนั้นยังฝังประทับลึกลงในใจเขา

ฟางเจิ้งพาหานเซี่ยวกั๋วเข้าไปในห้องหลังวัด เตาไฟกำลังร้อน เขาถอดเสื้อผ้าหานเซี่ยวกั๋วออก แขวนไว้อังไฟข้างๆ ราดน้ำร้อนที่ต้มไว้นานแล้วลงไปถังหนึ่ง เนื้อตัวหานเซี่ยวกั๋วจึงสะอาด จากนั้นใช้ผ้าฝ้ายที่เขามีอยู่ห่อตัวอีกฝ่ายเอาไว้

ในที่สุดหานเซี่ยวกั๋วก็ตื่นขึ้นสลึมสลือ เห็นเตาไฟตรงหน้า ผ้าห่ม รวมถึงน้ำและข้าวอย่างละชามวางไว้ข้างๆ หานเซี่ยวกั๋วจึงร้องไห้ออกมาทันที

ปึก!

หานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าตรงหน้าฟางเจิ้ง ก้มหัวคารวะ “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชีวิตมากครับ! ขอบคุณไต้ซือมาก!”

ฟางเจิ้งหมดห่วงแล้ว ขณะเดียวกันยังถอนหายใจอยู่ภายใน เดิมทีเขาแค่อยากให้หานเซี่ยวกั๋วกลับมาเป็นคนดี วางมีดสังหารลง ได้บรรลุธรรม เพียงแต่ไม่คิดเลยว่ายิ่งเรื่องดำเนินมาก็ยิ่งทำให้เขายากจะจัดการเรื่องนี้ในมุมมองภารกิจ อารมณ์ความรู้สึกเย็นชาหรืออบอุ่น ใจตนรู้ดี

สุดท้ายหลังหานเซี่ยวกั๋วหมดสติไป เขาก็ยังทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง ส่วนจะเปลี่ยนให้อีกฝ่ายเป็นคนดีได้ไหม มันไม่สำคัญแล้ว

ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วเคารพจากใจจริงแล้ว ทำให้ในใจฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความพอใจและภูมิใจ

‘นี่คือความสุขจากการช่วยคนแหละนะ ความสุขของไต้ซือ ไม่ใช่เรื่องเงินทองอะไรแบบนั้น สบายจริงๆ…’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ

“อมิตพุทธ ช่วยหนึ่งชีวิตมีค่ากว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อาตมาแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ เชิญโยมลุกขึ้นเถอะ” ฟางเจิ้งกล่าว

หานเซี่ยวกั๋วลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่กล้านั่งม้านั่งแล้ว เขายกม้านั่งให้ฟางเจิ้งนั่งด้วยความนอบน้อม ก่อนพบว่าในห้องนี้มีม้านั่งแบบนี้แค่ตัวเดียว…

ความจริงในวัดฟางเจิ้งไม่ได้มีม้านั่งอะไร ปกติเขาจะอยู่ข้างนอก ใช้หินเป็นม้านั่ง ม้านั่งแบบนี้เป็นของหายากจริงๆ ส่วนเก้าอี้? นั่นเป็นของฟุ่มเฟือย ไม่มี!

ฟางเจิ้งเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อครู่หานเซี่ยวกั๋วหมดสติไป เตาไฟอุ่นแล้วเลยให้เขานั่งข้างเตาไฟ ม้วนผ้าห่ม แถมฟางเจิ้งยังต้องประคองเขาถึงจะไม่ล้ม

ตอนนี้หานเซี่ยวกั๋วตื่นแล้ว ฟางเจิ้งนั่งลงอย่างที่ควรจะเป็น

“ดื่มน้ำกินข้าวหน่อยเถอะ” ฟางเจิ้งชี้น้ำกับข้าวข้างๆ น้ำเป็นน้ำจากในโอ่งพุทธ ข้าวก็เป็นข้าวหยาบ เป็นข้าวธรรมดา แต่พอใช้น้ำในโอ่งพุทธหุงจะหอมกว่าข้าวปกติมาก

หานเซี่ยวกั๋วหิวจะแย่แล้ว หลังเอ่ยขอบคุณก็กินข้าวดื่มน้ำอย่างมูมมากจนเกลี้ยง แถมยังพูดว่านี่เป็นข้าวที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาในชีวิต

ฟางเจิ้งอยากตอบไปมากว่า ‘แกพูดถูก!’

แต่ถ้าพูดไปมันจะดูเสแสร้งมาก เลยเลิกคิดไป

หานเซี่ยวกั๋วกินเสร็จแล้วฟางเจิ้งจึงถาม “ในเมื่อโยมรู้สำนึกแล้ว จากนี้ไปโยมจะทำยังไง? หนีต่อ? เข้าไปในภูเขาลึก ไม่ออกมาตลอดชีวิตเหรอ?”

หานเซี่ยวกั๋วตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้า “ไต้ซือ ผมไม่ปิดบังละนะ วันพรุ่งนี้ผมจะลงเขา ไม่ไปหลังเขาแล้ว แต่จะเดิมพันว่าพวกเขาจะไปหาตัวผมที่หลังเขา ผมจะใช้โอกาสนี้กลับเมือง จะใช้ยาน้ำจัดการกับกลิ่นตัวผม ต่อให้พวกเขามีสุนัขตำรวจก็เถอะ แต่หลบพวกเขาไปได้สองวันก็จะผ่านไปได้ เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะปิดทางลงเขาไว้…”

“ทางลงเขาถูกตำรวจปิดไว้แล้ว โยมจะลงเขายังไง?” ฟางเจิ้งไม่พอใจเล็กน้อย เจ้านี่ยังคิดหนีอีก! แกคงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แล้วใช่ไหม?

หานเซี่ยวกั๋วยิ้มเฝื่อน “ปิดผมก็ต้องลง ต้องฝ่าออกไป! ผมจะออกเดินทางรุ่งสาง…”

ฟางเจิ้งไม่ตอบ เขากำลังใคร่ครวญ เจ้านี่หลงผิดอย่างกู่ไม่กลับแล้ว จะตบให้สลบดีไหมแล้วโยนให้อู๋ไห่ให้เขาได้ความดีความชอบ

หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นฟางเจิ้งเงียบ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็รู้ว่าการกระทำของตนอาจจะทำให้ไต้ซือเสียใจ จึงอดใจไม่ไหวพูดขึ้น “ไต้ซือ ผมก็อึดอัดใจเหมือนกัน แต่ไม่มีทางเลือก ผมต้องลงเขา”

ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองหานเซี่ยวกั๋วด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนรอให้อีกฝ่ายเล่าต่อ

หานเซี่ยวกั๋วถอนหายใจ “ไต้ซือ ผมเป็นทหารรับจ้างมาหลายปี ความจริงแล้วผมเบื่อกับการฆ่าคนมานานแล้ว อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ว่าสวรรค์ไม่ให้ทางรอดกับผม ครึ่งเดือนก่อนลูกสาวผมตรวจเจอเนื้องอกในสมอง เธอเพิ่งสามขวบเอง! สามขวบ! ท่านไม่รู้หรอกตอนเธอยิ้มมันสวยขนาดไหน เหมือนกับนางฟ้า! บริสุทธ์ งดงาม แต่ว่า…หมอบอกว่าเธออยู่ได้ไม่นาน ถ้าจะต่อชีวิต ก็ต้องใช้ยาหลายชนิดที่พวกเราแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว”

………………..