ตอนที่ 65 พิธีแต่งงานใหญ่ (4)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

การดื่มเหล้ามงคลแสดงความเคารพใกล้จะจบลงในไม่ช้านี้…บางทีอาจจะจำเป็นสำหรับคู่บ่าวสาวที่จะต้องคารวะสุราห้าหกโต๊ะเท่านั้น ซั่งกวนฮ่าวนั่งอยู่กับนายท่านของตระกูลใหญ่ทั้งแปด หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั่งอยู่กับภรรยาเอกของนายท่านทั้งแปด ซั่งกวนอิงนั่งกับนายน้อยที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ทั้งแปดอยู่สองโต๊ะ สำหรับหลิงหลงกับจิงอิ๋งแยกกันนั่งกับหญิงตระกูลชนชั้นสูงเหล่าลูกสาวจากภรรยาเอก และสะใภ้ใหญ่ที่เกิดจากภรรยาเอกกันคนละโต๊ะ ส่วนคนอื่นๆ แค่ซั่งกวนเจวี๋ยมาปรากฏตัวเท่านั้นก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตามออกหน้าไปเหนื่อยด้วย ดังนั้น ในไม่ช้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กลับไปอยู่ท่าม กลางแม่สื่อพร้อมกับสาวใช้อย่างจื่อหลัวและแม่นมที่เรือนมีคู่ ในเวลานี้มีการจัดเหล้ามงคลสองโต๊ะไว้ในห้องดอกไม้แล้ว จื่อ หลัวรอรับใช้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ แม่นมและสาวใช้อื่นๆ ก็ได้รับเกียรติให้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน

“คุณหนู ท่านกินอีกหน่อยนะเจ้าคะ” จื่อหลัวมองแล้วดูเหมือนนางจะไม่อยากอาหาร จึงให้กินโจ๊กเพียงเล็กน้อยและกินผักไม่กี่คำตามใจชอบ ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีสีหน้าเป็นกังวลมาก

“ต้องเรียกสะใภ้ใหญ่” แม่นมที่อยู่ด้านข้างพูดกลั้วหัวเราะ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำได้อย่างคลุมเครือว่าผู้นี้คือแม่นมกู่เป็นแม่นมของซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวขานกันว่าซั่งกวนเจวี๋ยเคารพนางไม่น้อย

“ไม่ต้องหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วส่ายหัวพลางพูดว่า “หลังจากไปโน่นมานี่ทั้งวัน กินอะไรไม่ลงเลย วันนี้เป็นวันอันน่าเฉลิมฉลอง ทุกคนไม่ต้องเคร่งมารยาทนัก ไปกินดื่มให้เต็มที่ จื่อหลัวส่งข้าเข้าห้องพักผ่อนเถิด”

“เจ้าค่ะ คุณ…เอ๊ย สะใภ้ใหญ่!” จื่อหลัวประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับเรือนหลัก ม่านเหลียนกับลู่หลัวก็มาต้อนรับทันที ดูเหมือนทั้งสองสนทนากันอย่างมีความสุขมาก

“คุณหนู ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ล่ะเจ้าคะ?” ลู่หลัวพูดอย่างเป็นห่วงว่า “อาหารพวกนั้นไม่ถูกปากหรือเจ้าคะ? มีครัวเล็กๆ อยู่ในเรือนของเรา ข้าจะให้เซียงชุ่ยต้มโจ๊กให้ท่านหน่อย ดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“ข้าเพียงเหนื่อยไปเท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าอยากพักผ่อนครู่หนึ่ง ไม่อยากกินอะไร”

“สะใภ้ใหญ่ งั้นให้พวกบ่าวไพร่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านก่อน แล้วค่อยพักผ่อนเถิด สหายของนายน้อยพวกนั้นดื่มกันไม่ได้สนใจเวลา ไม่แน่อาจจะถึงเที่ยงคืนเจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนพูดอย่างขยันขันแข็ง

“อาบน้ำพอแล้ว คุณหนูของเราอาบมาสองสามรอบแล้วตั้งแต่เช้าวันนี้ ไม่ต้องอาบอีกแล้ว” ลู่หลัวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเอาน้ำอุ่นมาให้คุณหนู ล้างเอาเครื่องประทินโฉมพวกนั้นออกพอ” ลู่หลัวพูดอยู่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็เข้าไป

“สะใภ้ใหญ่ เราไปชั้นบนกันเถิดเจ้าค่ะ” ม่านเหลียนเดินมาอย่างระมัดระวัง ช่วยพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากอีกด้านหนึ่งแล้วพูดว่า “ตระกูลซั่งกวนมีเรือนหลัก เรือนหลังบ้านและเรือนตะวันออกล้วนมีอาคารสามชั้นอยู่หนึ่งถึงสองหลัง เรือนตะวันตกจะเป็นที่พักของคุณหนูและนายน้อยคนอื่นๆ บ้านพักของคุณหนูและนายน้อยที่เกิดจากภรรยาเอก แม้จะเป็นอาคารสองชั้น แต่ก็มีห้องใต้หลังคาอยู่ด้านบนด้วย ทุกอย่างของคุณหนูใหญ่จะอยู่ในห้องใต้หลังคา ของเล่นแปลกพิสดารพวกนั้นของคุณหนูรองจะเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาด้วย…นายน้อยและคุณหนูที่เกิดจากอนุภรรยาจะไม่มีห้องใต้หลังคา เรือนทิศใต้และทิศเหนือมีสองชั้น แต่มีทางเดิน เป็นที่พักของแขกผู้มีเกียรติทั้งหมด”

“นอกจากเรือนไร้เดี่ยวกับเรือนมีคู่แล้ว เรือนตะวันออกยังมีอาคารสามชั้นหรือห้องใต้หลังคาอยู่ที่ใดบ้าง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าม่านเหลียนพยายามอธิบายความยุ่งยากนี้ให้ตนฟัง ดังนั้นจึงเอ่ยถามตรงๆ

“ไม่มีเจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนพูดอย่างมั่นใจว่า “นายน้อยให้คนจัดการที่นี่ ชั้นสองเป็นห้องนอนของท่าน ห้องหนังสือกับห้องดนตรีอยู่ชั้นสาม ยังมีห้องว่างอีกห้องหนึ่งด้วย รอให้ท่านตัดสินใจใช้สอยเอง ท่านอยากดูหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่ต้องหรอก เราเข้าห้องนอนกันเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ ห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งค่อนข้างใหญ่ และมีห้องเล็กๆ สองห้องอยู่ทั้งสองด้านสำหรับสาวใช้และแม่นมไว้ให้เฝ้ายามค่ำคืน ห้องนอนบนชั้นสองจะใหญ่แค่ไหนกัน?

ม่านเหลียนผลักประตูที่ซ่อนอยู่ให้เปิดออก สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือฉากกั้นภาพวาดทิวทัศน์อันสวยงามอลังการ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดหลางยิ้มว่า “ภาพวาดนี้ดูเหมือนจะเป็นของยอดจิตรกร ภาพทิวทัศน์จะวางแนวนอนอยู่ระหว่างหน้าอก แต่จะละเอียด ลออและนุ่มนวลกว่ามาก ลายเส้นขรุขระน้อยกว่า น่าจะเป็นของฮูหยินใช่หรือไม่?”

“สะใภ้ใหญ่น่าทึ่งจริงๆ เจ้าค่ะ!” ม่านเหลียนยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของฮูหยิน ฮูหยินใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะวาดภาพนี้เสร็จ ในเวลานั้นนายท่านยังคิดว่าฮูหยินวาดให้เขา หลังจากรอให้ภาพนี้ทำเป็นฉากกั้น นายท่านก็รื้อฉากกั้นในห้องนอนของตนออกด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง รอให้ฮูหยินมอบของขวัญให้เขา หลังจากรอมาหนึ่งวัน จึงรู้ว่าเป็นของที่เตรียมไว้ให้ท่าน ก็หวิดจะเป็นลม…”

มีเรื่องอย่างนั้นจริงหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้แสดงความคิดเห็นกับเหตุการณ์นี้ จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เมื่อนานมาแล้วก็ได้ยินมาว่าภาพวาดของฮูหยินงดงามมาก บัดนี้ได้เห็นด้วยตา ช่างสมคำร่ำลือดังคาด!” เมื่อหันฉากกั้นไป ก็จะเป็นห้องนั่งเล่น ที่ด้านซ้ายของเรือนมีโต๊ะน้ำชาเรียบง่ายตัวหนึ่งและเก้าอี้หวายสองสามตัว รวมถึงดอกก้ามปูและดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่งอยู่หลายกระถาง ดูเหมือนจะเข้ากับบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิยิ่งนัก แล้วแบ่งคั่นห้องนอนออกด้วยตู้วางของ ส่วนด้านบนของตู้จะวางแต่ชุดเครื่องชาจื่อซาทุกชนิด ดูเหมือนจะทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรองรับงานอดิเรกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็มีห้องเล็กๆ อยู่ทางด้านขวา ดูจะวางเตียงขนาดเล็กได้พอดี และด้านนอกเป็นชั้นวางของต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นที่ล้างหน้าล้างตา

“ตรงนั้นเป็นที่ที่สาวใช้อยู่ในตอนกลางคืน มีหน้าต่างที่หันออกไปด้านนอก ดูเหมือนจะเล็ก แต่ก็พอใช้ได้เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นสายตาเยี่ยนมี่เอ๋อร์มองที่นั่นสักพักหนึ่ง ม่านเหลียนก็อธิบายทันทีว่า “ในจวน พวกเจ้านายมักจะไม่ให้สาวใช้ค้างคืนอยู่ในห้อง จึงมักให้นอนอยู่ชั้นล่างในตอนกลางคืน แต่ฮูหยินกังวลว่าท่านจะปรับตัวไม่ได้ จึงยังคงวางเตียงเล็กไว้ที่นี่เจ้าค่ะ”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ไม่พูดอะไร

ระหว่างชั้นวางของกับห้องเล็กๆ เป็นม่านลูกปัดที่พลิ้วไหวตามสายลมเล็กน้อย ทำจากลูกปัดแก้วสีทองวาวใสห้อยระย้า ไม่มีลวดลายตายตัวอะไร เรียบง่ายและไม่ฉูดฉาด นอกจากม่านลูกปัดแล้วยังมีม่านผ้าโปร่งสีทองอ่อนอีกชั้นหนึ่งที่ไม่โปร่งแสง เมื่อถูกดึงขึ้นก็จะดูได้ว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ แต่จะมองไม่เห็นสีหน้า ม่านผ้าโปร่งถูกตรึงด้วยกระดุมทองคำบริสุทธิ์และไม่ได้ถูกดึงขึ้น

ม่านเหลียนเลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมกับเสียงที่ดังกังวานเกรียวกราวอย่างไม่ขาดสาย ในที่สุดห้องนอนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้นในม่านสายตา

สิ่งที่เห็นสะดุดตาที่สุดคือเตียงป๋าปู้ที่ใหญ่เกินจริงอยู่ตรงหน้า ทำจากไม้หนานมู่สีทองอย่างดี วัสดุและลวดลายถูกแกะสลักค่อนข้างประณีต กระนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองก็คือเตียงนี้ใหญ่เหลือเกินจริงๆ นางเชื่อสนิทใจว่า เตียงนี้นอนได้เจ็ดแปดคน เป็นไปได้หรือไม่ที่ซั่งกวนเจวี๋ยจะกลิ้งไปมายามที่นอนหลับ? แล้วกลิ้งตกจากเตียงบ่อยๆ หรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดตลกขบขันอยู่ในใจ

ด้านข้างผนังเป็นตู้เสื้อผ้าไม้การบูร เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าข้างในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหรือไม่ ลำพังแค่มองผู้หญิงทุกคนก็สัมผัสได้ว่า…ถ้าตู้เสื้อผ้าเต็ม ก็พอจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่ได้เลย

อีกด้านหนึ่งเป็นตู้แต่งตัว มีชั้นวางของเล็กๆ อยู่ด้านข้าง มีขวดทรงเรียวลายครามคู่หนึ่ง ภาชนะสามขาสองหูทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กใบหนึ่ง ชามลายเซียนท้อเคลือบสีสันสดใสขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ส่วนของอื่นๆ ล้วนเป็นกล่องทั้งหมด มีกล่องไม้จันทน์แดงสีม่วงดำคุณภาพดี มีกล่องลายดอกไม้สับปะรดหายาก กล่องเคลือบสีน้ำมัน ม่านเหลียนช่วยพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงแล้วพูดว่า “กล่องเหล่านั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับชั้นยอดที่ฮูหยินกับนายน้อยเตรียมไว้ให้ท่าน หากเจียดเวลาว่างได้วันไหน ให้จื่อหลัวและคนอื่นๆ ทำความสะอาดให้ท่านใหม่ได้เจ้าค่ะ”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย นางเหนื่อยนิดหน่อยจริงๆ และไม่มีความคิดอื่นอีกต่อไป

“ยังมีสินสอดทองหมั้นเหล่านั้นของสะใภ้ใหญ่อีกด้วย บ่าวให้พวกนางวางไว้ในห้องว่างพวกนั้นในเรือนแล้ว ท่านจะเปลี่ยนแล้วดูว่าจะจัดเรียงอย่างไร พวกบ่าวจะจัดวางให้ท่านด้วยกันเจ้าค่ะ” ม่านเหลียนยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าสะใภ้ใหญ่ไม่เข้าใจ ในห้องของฮูหยินเต็มไปด้วยบทกวีและภาพวาด ห้องของคุณหนูใหญ่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่นฝีมือประณีตละเอียดอ่อนที่ซื้อมาจากที่ต่างๆ แต่ในห้องของคุณหนูรองมีหมดทุกอย่าง มองแวบแรกจะดูรกเรื้อ…ดังนั้นเมื่อเตรียมห้องให้ท่าน พยายามจะทำให้เรียบง่ายที่สุด หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงก็จะทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกมากเจ้าค่ะ”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเบื้องลึกอยู่ในใจ และคิดว่าพวกเขาได้เห็นนิสัยของตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ? โชคดีก็ไม่ว่า!

“ใครเป็นคนแนะนำให้ตกแต่งอย่างนี้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างสบายๆ แต่ในใจคิดว่าอาจจะเป็นความคิดของซั่งกวนเจวี๋ยและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ

“คือฮูหยินและคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ แต่เดิมฮูหยินอยากจะแขวนภาพวาดอีกสองสามภาพ แต่คุณชายใหญ่เอาออกไป บอกว่าดูมากไปก็จะอารมณ์เสียได้เจ้าค่ะ” ม่านเหลียนพูดกลั้วหัวเราะ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ชอบนางหรือห้องของภรรยาที่มีคำพูดของมารดาอยู่ทุกที่ เพราะคงทำให้รู้สึกพานจะเวียนหัว!

“ข้าว่าดูดีมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะและยิ้มพลางเอ่ยว่า “แต่ที่นั่น…” นางชี้ไปยังมุมห้องที่ปลายเตียงติดผนังแล้วพูดว่า “ตรงนั้นมีดอกไม้กระถางตามฤดูกาลวางอยู่ ข้าอยากให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้หรือไม่มีกลิ่นเลย จื่อหลัว ลู่หลัวและคนอื่นๆ รู้ว่าต้องทำอย่างไร!”

“เรารู้ต้องทำอะไรบ้าง” ลู่หลัวยิ้มแล้วขานตอบ นางยกน้ำที่ใช้ล้างหน้าและเท้า ตามมาด้วยช่าจื่อ เซียงเสวี่ยและสาวใช้สามคนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นมาก่อน

“สะใภ้ใหญ่บอกว่าเจ้าและน้องจื่อหลัวรู้ว่าจะปรับห้องนี้อย่างไร” ม่านเหลียนก้าวออกไปข้างๆ มองดู เซียงเสวี่ยช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลบเครื่องสำอางอย่างชำนาญและเบามือ วันนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูสวยมากจริงๆ แต่ยังคงแตกต่างจากที่คุณหนูทั้งสองพูดไว้ คุณหนูทั้งสองพูดว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน งดงามเหนือชั้น ราวกับเทพธิดาเซียนจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ในขณะที่พวกนางเห็นว่าดูสดใสงดงามและสง่าผ่าเผย

เซียงเสวี่ยทำความสะอาดเครื่องสำอางที่หนาเตอะของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างว่องไว แล้วชโลมน้ำผึ้งแสนหวานบนตัวนางก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ลู่หลัวนั่งยองๆ บนพื้นถอดรองเท้าปักของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แช่เท้าเรียวงามในน้ำอุ่น จากนั้นบีบฝ่าเท้าของนางอย่างระมัดระวัง เพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ใต้ฝ่าเท้าให้นาง

ที่แท้สะใภ้ใหญ่สวยยิ่งกว่าแม้ไม่ต้องแต่งหน้า! ม่านเหลียนชะงักอยู่สักพัก แต่เห็นลู่หลัวหันรีหันขวางอย่างนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องลู่หลัวทำอะไรอยู่หรือ?”

“นวดใต้ฝ่าเท้า” ลู่หลัวยิ้มพูดว่า “พี่ม่านเหลียนก็เป็นคนฝึกวรยุทธ์เช่นกัน รู้ดีว่าคนมีจุดชีพจรมากที่สุดที่ฝ่าเท้า คิดว่าเคลื่อนไหวมาทั้งวัน คุณหนูต้องหมดแรงแน่ อุ่นเท้าให้สบาย ทำให้เส้นเลือดมีชีวิตชีวา หลังจากนั้นกดนวดจุดชีพจรที่ฝ่าเท้า จะคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ข้าเรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งนานกว่าจะช่ำชอง คุณหนูชอบอย่างนี้มากที่สุด”

มิน่าเล่าที่นางเป็นสาวใช้ใหญ่คนหนึ่งแต่ต้องมาทำงานล้างเท้า!

“แต่ทักษะการบีบไหล่นวดหลังของพี่จื่อหลัวยังเก่งกว่า ของข้าแย่กว่ามาก” ลู่หลัวยิ้ม จากนั้นก็ยกเท้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นจากน้ำ เช็ดจนแห้งแล้วถามว่า “คุณหนู ดูเหมือนท่านจะเหนื่อยมาก อยากให้บ่าวใช้น้ำมันหอมระเหยนวดให้ท่านหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่ต้องหรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าลงไปเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก แค่งีบสักหน่อยก็พอ”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหนื่อยมากจริงๆ แต่ที่สำคัญตอนนี้คือนางต้องการพื้นที่อิสระ คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ขจัดความยุ่งเหยิงในใจให้กระจ่าง แล้วค่อยวางแผน

“เจ้าค่ะ คุณหนู!” ลู่หลัวผงกหัว

“จื่อหลัว เดี๋ยวบอกเซียงชุ่ยว่าให้นางเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไว้ให้คุณชายใหญ่ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำได้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยมิใช่คอทองแดง ยามนี้เขาน่าจะเกือบเมาแล้วกระมัง!

“เจ้าค่ะ คุณหนู!”  จื่อหลัวพูดอย่างดีใจ ไม่นึกเลยว่าคุณหนูของนางจะเริ่มห่วงใยท่านเขย ดูท่านางจะค่อนข้างพอใจซั่งกวนเจวี๋ยไม่น้อย!

“ในเรือนนี้ทั้งแม่นมสาวใช้ แม่นมของคุณชายใหญ่และสาวใช้ชั้นหนึ่งได้คนละสองตำลึง คนอื่นๆ ได้หนึ่งตำลึง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงเงินตกรางวัล แม้นายท่านเยี่ยนจะไม่ได้ดูแลสิ่งอื่นใด แต่ให้คนหลอมเงินเป็นลวดลายมงคลโดยเฉพาะ เช่น ผลส้ม แอปเปิล น้ำเต้า เป็นต้น บรรจุใส่สองกล่องเต็มๆ ใช้มาตกรางวัลผู้คนเป็นพิเศษ กล่องที่มีลักษณะคล้ายน้ำเต้ามีน้ำหนักมากที่สุด คือหนึ่งลูกหกตำลึง แอปเปิลสองตำลึง ส้มหนึ่งตำลึง และในยามปกติยังให้รางวัลเป็นรูปค้างคาวแปดอีแปะ เป็นรูปดอกเหมยและเมล็ดแตงโมสีเงินเล็กๆ หกอีแปะตามใจชอบ

“เจ้าค่ะ คุณหนู!” จื่อหลัวรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ให้รางวัลกับตระกูลซั่งกวน ไม่ให้คนอื่นดูแคลนและไม่ให้เหมือนกับครอบ ครัวที่เกิดร่ำรวยกะทันหัน ทำเช่นนี้ถือว่าเหมาะสม

ลู่หลัวใส่อาภรณ์ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นอนลงอย่างชำนาญคล่องแคล่ว แล้วคลุมผ้าห่มให้นาง ปิดมุ้งไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถูกยกขึ้น ก่อนที่นางกับจื่อหลัวและคนอื่นๆ จะออกมาจากเรือนไปอย่างแผ่วเบา…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลับตาลง ภาพในอดีตยังปรากฏแจ่มชัด เหตุการณ์ครั้งก่อนยังคงคิดคะนึงหาอยู่ในใจ วนเวียนเกี่ยวพันกัน ทำให้นางสับสนเล็กน้อย นางต้องคิดเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ ตั้งแต่นางได้พบและรู้จักพวกเขาครั้งแรก รวมถึงเกิดความรักต่อเขาอย่างเงียบๆ เรียบเรียงทุกอย่างให้ชัดเจน แล้วคิดว่าตนควรจะใช้แผนอะไรมาหยุดความวุ่นวายนี้…

———————————-