บทที่ 53 เป็นท่านอาจารย์ของนายน้อย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 53 เป็นท่านอาจารย์ของนายน้อย Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีเปิดขวดออกมาดู ข้างในเป็นสมุนไพรบด

ซ่งชูอีบอกให้จื๋อหย่านำเตาขนาดเล็กที่เอาไว้ต้มเหล้าต้มชาเข้ามา วางบนหม้อดิน เทยาบางส่วนเข้าไปข้างใน ต้มจนเดือด

“รอจนยาเย็นลงหน่อยแล้วก็ป้อนให้เขา ข้าจะไปเยี่ยมจื่อเฉาก่อน” ซ่งชูอีสวมเสื้อผ้าที่อยู่บนเตียง เปิดประตูออกไป

บัดนี้หิมะด้านนอกหยุดตกแล้ว แสงสีขาวสว่างจ้าจนมิอาจลืมตาได้ ความเย็นยะเยือกในชั้นบรรยากาศเปรียบเสมือนมีดคมที่ทิ่มแทงผิวหนังจนเจ็บปวด ซ่งชูอีตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง รีบผลักประตูห้องของจื่อเฉาอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ช่วยชีวิตจื่อเฉา ซ่งชูอีเคยมาเยี่ยมนางเพียงสามครั้ง ร่างกายของนางอ่อนแอมาก ไม่เคยอยู่ห่างจากยาในแต่ละวัน ซ่งชูอีร้อนใจเหลือเกิน มิใช่ร้อนใจเพราะอาการป่วยของจื่อเฉา แต่สิ่งที่จื่อเฉาดื่มทุกวันนั้นมิใช่ยา หากเป็น “เลือด” ของนาง!

“หย่า” เสียงอ่อนระทวยดังมาจากในห้อง

เสียงของจื่อเฉาแผ่วเบา บวกกับความอ่อนแอของร่างกายจึงเจือปนเสียงดังฮืดๆ เล็กน้อย ชวนให้ระคายเคืองใจราวกับมีขนนกวาดผ่านหัวใจ

“ข้าเอง” ซ่งชูอีกล่าวพลางเลิกผ้าม่านเดินเข้าไปในห้อง

จื่อเฉาหนุนพิงอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เหมือนดอกชบาสีขาวที่กำลังแตกหน่อ คิ้วตาอ่อนไหว ผมดกดำทอดตัวยาวจากบ่าสู่ชุดเครื่องนอนสีแดงเข้มดุจน้ำตก เสื้อผ้าที่จวนหลงกู่จัดหามาให้มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทำให้หน้าอกที่งดงามของจื่อเฉาเปิดเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

“ชุดนี้เล็กไปหน่อย” สายตาของซ่งชูอีหยุดอยู่ที่หน้าอกของจื่อเฉา สำหรับนางแล้ว หน้าอกใหญ่เช่นนี้คือปาฏิหาริย์โดยแท้

ใบหน้าของจื่อเฉาแดงเล็กน้อย นางหลุบตาลง ผ้าไหมสีเขียวหลุดจากหู ขนตายาวดังปีกผีเสื้อสั่นไหวเล็กน้อยเนื่องด้วยความเขินอาย มือดึงผ้าห่มขึ้นปกปิดเบาๆ

จื่อเฉาเคยเจอซ่งชูอีครั้งหนึ่งในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ครั้นระลึกได้ เดิมทีนางต้องการลงจากเตียงเพื่อคุกเข่าขอบคุณซ่งชูอีที่ช่วยชีวิต ทว่าคิดไม่ถึงว่าร่างกายของนางยังไม่ทันขยับ ซ่งชูอีก็พูดจาเกี้ยวพาราสีเช่นนี้

อย่างไรก็ดีครั้นคิดดูอีกที ซ่งชูอีเป็นผู้มีพระคุณของพวกนางสองพี่น้อง ไม่เพียงขจัดภัยอันตรายให้พวกนาง หากยังมอบความเป็นอยู่ที่มั่นคงปลอดภัย อย่าว่าแต่คำพูดเกี้ยวพาราสีเลย หากแม้นต้องการตัวนางก็ไม่นับว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ เมื่อคิดเช่นนี้ จื่อเฉาก็เปิดผ้านวมออก ลุกลงจากเตียง คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี “เฉาคำนับผู้มีพระคุณ”

เสื้อผ้าบนตัวนางค่อนข้างเล็ก ครั้นกระทำกิริยาเช่นนี้ ส่วนโค้งเว้าก็เผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัย

ซ่งชูอีร้องอุทานในใจ ทุกการเคลื่อนไหวช่างมีเสน่ห์เสียจริง! รูปลักษณ์เช่นนี้ หากชายใดไม่หวั่นไหว ซ่งชูอีกล้าพนันได้เลยว่าเขาไม่เพียงตาบอดแต่ยังพิการทางร่างกายอีกด้วย

“รีบลุกขึ้นมาเถอะ ขึ้นไปนอนให้ดี” ซ่งชูอียื่นมือประคองนาง และไม่รู้สึกว่าคำพูดของตนมีตรงไหนไม่เหมาะสม ทว่าครั้นจื๋อเฉาได้ยินแล้ว ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำจนแทบจะมีเลือดหยดออกมา

ดวงหน้าดังดอกชบานั้นพราวแสงคลุมเครือครู่หนึ่ง ดุจหยกเลือดงดงามไร้ที่เปรียบ

ทันใดนั้นซ่งชูอีก็ตระหนักว่าคำพูดของตนมีนัยยะแอบแฝง หัวเราะแห้งๆ สองที “ที่จริงข้ามิได้เป็นห่วงเจ้า ข้าเป็นห่วงทรัพย์สินต่างหาก หากเจ้าจับไข้หนาวอีก ข้าคงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว”

จื่อเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง เม้มปากยิ้มทันใด แก้มทั้งสองข้างมีลักยิ้มตื้นๆ และขึ้นเตียงอย่างเชื่อฟัง

“หลายวันนี้รู้สึกเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีก็นั่งอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ตัว

สำหรับนางแล้ว ทุกคนล้วนเป็นสตรีเพศ ไม่มีอะไรน่าหลบเลี่ยง ทว่าจื่อเฉากลับไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิง อากัปกิริยาเยี่ยงนี้ประหนึ่งว่ากำลังส่งสัญญาณเป็นนัยๆ

จื่อเฉาคิดในใจ ‘คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นายท่านอายุยังน้อย ก็รู้จักเรื่องของหนุ่มสาวแล้ว’

“จื่อเฉา?” ซ่งชูอีเห็นว่านางมีอาการไม่มั่นคง อดไม่ได้ที่จะเพิ่มระดับเสียงเล็กน้อย

ทันใดนั้นจื่อเฉาก็ดึงสติกลับมา หลุบตาลงเอ่ยเสียงเบา “เฉารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับมาเป็นปกติ”

ซ่งชูอียื่นมือจับชีพจรของนาง นางรู้สึกถึงผิวพรรณที่เรียบเนียนก่อนจะรู้สึกถึงชีพจร

“อืม ก็ไม่เลว” หลังจากซ่งชูอีมั่นใจแล้วก็ลุกขึ้นเอ่ย “เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ขาดเหลือกระไรเพียงแค่บอกข้า ฟื้นฟูร่างกายให้ดีเป็นเรื่องสำคัญ”

“ขอบคุณนายท่าน” จื่อเฉาต้องการจะลุกขึ้นส่งซ่งชูอี แต่กลับถูกนางห้ามไว้

จื่อเฉามองดูแผ่นหลังของซ่งชูอี รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นิ้วมือที่กดข้อมือของนางเมื่อครู่ แม้นมีความหยาบกระด้าง แต่ก็อ่อนนุ่มเป็นอย่างยิ่งจนแทบไม่เหมือนผู้ชาย

“คงเป็นแพราะอายุยังน้อยกระมัง” จื่อเฉาพึมพำ

ซ่งชูอีเดินออกมาจากห้องแล้วเดินไปยังลานหลัก ถามคนใช้สองคนจึงพบผู้ดูแลจวน นางบอกว่าอยากได้ผ้านวมสองผืน ผู้ดูแลจวนก็ตอบตกลงทันใด ทำให้ซ่งชูอีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางน่าจะขออย่างอื่นด้วยเสียเลย!

ซ่งชูอีกำลังจะไปยังห้องหนังสือ พลันได้ยินเสียงคนเรียก “ท่านหวยจิน?”

ซ่งชูอีหันกลับมา เห็นชายชราในเสื้อคลุมสีเทาผู้หนึ่ง เขาคืออี๋ซือขุยอาจารย์ประจำจวนหลงกู่

ซ่งชูอีรีบประสานมือคารวะเอ่ย “ที่แท้ก็เจียเหล่านี่เอง”

อี๋ซือขุยประสานมือกลับ พร้อมเอ่ย “ข้าผู้เฒ่าเพิ่งจะสอนบรรดาลูกศิษย์เสร็จ หวยจินต้องการจะไปที่ห้องหนังสือหรือ?”

“ถูกต้อง” ซ่งชูอีกล่าว “เจียเหล่าต้องการจะไปที่ใด?”

“ข้าผู้เฒ่ากำลังจะไปหาท่าน” อี๋ซือขุยชื่นชมซ่งชูอีมาก เขาเป็นผู้มีความรู้ล้ำลึกและเป็นครูบาอาจารย์มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงเข้มงวดกับลูกศิษย์ยิ่ง ความอ่อนเยาว์แต่มั่นคงของซ่งชูอีนั้นทำให้เขารู้สึกว่าว่านางมีอิริยาบทของบัณฑิตผู้รอบรู้ ด้วยเหตุนี้จึงใจดีและอ่อนโยนต่อนางเป็นพิเศษ “เมื่อวานท่านแม่ทัพกล่าวว่าต้องการให้ท่านพบกับนายน้อยปู้วั่ง ทว่าระยะหลังนี้ท่านแม่ทัพยุ่งกับงานมาก จึงวานให้ข้าผู้เฒ่าพาไปพบ”

หลงกู่ชิ่งมีลูกดก อย่างไรก็ดีบุตรชายคนแรกของภรรยาหลวงสิ้นใจในสนามรบเมื่ออายุได้สามสิบปี เหลือไว้เพียงบุตรชายหนึ่งคนนามว่าปู้วั่ง หลงกู่ชิ่งรักหลานชายผู้นี้เป็นพิเศษ และตั้งความหวังไว้สูงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ข้อเรียกร้องจึงเข้มงวดยิ่งยวด

ซ่งชูอีไปยังห้องเรียนกับอี๋ซือขุย นางเอ่ยถาม “ความหมายของท่านแม่ทัพก็คือ ให้ข้าเป็นเพื่อนอ่านหนังสือหรือ?”  หากไม่คิดเช่นนี้ เหตุใดจึงให้พวกเขารู้จักกันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่า?

“เปล่า” อี๋ซือขุยยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หากหวยจินเป็นเพื่อนอ่านหนังสือจะไม่เป็นการใช้คนไม่เหมาะกับงานหรอกหรือ? ความหมายของท่านแม่ทัพคือ จากวันนี้ไปจะให้ท่านเป็นอาจารย์ของนายน้อย”

ซ่งชูอีไม่ซ่อนเร้นความประหลาดใจของตนเลยแม้แต่น้อย “ให้ข้าเป็นอาจารย์ของนายน้อย? เจียเหล่า นี่มันมิง่ายไปหน่อยหรือ? ข้าอายุน้อยนัก หาได้มีความรู้ล้ำลึกดังเจียเหล่า นายน้อยจะยอมศิโรราบต่อข้าได้เยี่ยงไร?”

“ท่านหวยจินอย่าได้ดูแคลนตัวเองไป” รอยยิ้มของอี๋ซือขุยเจือปนความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย หยุดเดิน มองซ่งชูอีพร้อมเอ่ย “ท่านหวยจินรู้หรือไม่ว่าผู้ใดจัดแจงให้ท่านอาศัยอยู่ลานเดียวกับหนานฉี?”

ซ่งชูอีเบิกตากว้าง “คงมิใช่เจียเหล่ากระมัง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าผู้เฒ่านี่แหละ!” อี๋ซือขุยหัวร่อปลอบประโลมเสียงดัง

ซ่งชูอีทำหน้าบึ้งตอบ “เจียเหล่าทำร้ายข้าเสียแล้ว!”

ท่าทางของนางทำให้อี๋ซือขุยรู้สึกขบขัน หัวเราะเสียงดังอีกรอบ ครั้นหัวเราะเสร็จแล้วจึงอธิบาย “จี๋อวี่ก็เป็นลูกศิษย์ของข้า! ขณะที่ท่านเพิ่งจะติดตามกองทัพเข้ามายังตี้ชิว ข้าก็ได้รับข้อความจากเขาแล้ว ข้าผู้เฒ่ามีเจตนาจะหาอาจารย์ให้ปู้วั่งมาเนิ่นนาน ทว่าเขามีนิสัยหวาดระแวง เกลียดชังคำสอนของขงจื้อ เชิญอาจารย์มาหลายท่านก็ล้วนถูกเขายั่วโมโหและจากไป เล่าเรียนด้วยความผิดพลาดมานานนับปี บัดนี้อายุสิบห้าแล้ว ท่านแม่ทัพกินมิได้นอนมิหลับเพราะเหตุนี้ ครั้นข้าผู้เฒ่าได้ฟังจี๋อวี่เล่าถึงการกระทำของท่าน รู้สึกว่าสามารถทดสอบดูได้”

ที่แท้ก็เอาหนานฉีมาทดสอบนาง!

“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าพี่หยุ่นซื่อจงใจทำให้ข้าลำบากใจ?” ซ่งชูอีเข้าใจในทันใด แม้นการรังเกียจใครสักคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ทว่าความเกลียดชังของเขาก็รุนแรงเกินไปแล้ว

…………………………….