ตอนที่ 661-662

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 662 อยากทำให้ท่านประหลาดใจ

คนผู้นั้นสวมหน้ากากไว้ แต่มองจากรูปร่าง บุคลิก กลิ่นอาย และดวงตาคู่นั้นเป็นตี้ฝูอีจริงๆ…

ตอนแรกอวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่วอย่างมิเก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็แปลงโฉมอยู่ นางดูไม่ออกว่าเป็นเธอ…

แต่เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ในแขนเสื้อกู้ซีจิ่วโผล่ร่างออกมาครึ่งหนึ่ง ประกอบกับมีเพรียกวายุติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วด้วย ถ้านางดูไม่ออกอีกนางก็สมองมีปัญหาแล้ว!

สีหน้านางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ร่างกายเขยิบเข้าหาตี้ฝูอีตามสัญชาตญาณ มือน้อยรัดต้นแขนเขาไว้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าคะ…”

ตี้ฝูอีผินหน้ามองนาง น้ำเสียงอ่อนโยน “ว่าอย่างไร?”

กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น เสียงก็ไม่ผิดเพี้ยนเลย! เป็นเสียงของตี้ฝูอี!

อวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ชิงหลัวอยากไปดูล่องประทีปเจ้าค่ะ…”

“ข้าจะพาเจ้าไป” ตี้ฝูอีจับจูงอวิ๋นชิงหลัวหันหลังไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขามิได้เหลือบแลกู้ซีจิ่วสักแวบเลย และไม่รู้ว่าดูออกหรือไม่ หรือจะรู้สึกว่าเขากับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วจึงไม่ลดตัวมาเสวนากับเธออีก

กู้ซีจิ่วลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “ช้าก่อน!”

อวิ๋นชิงหลัวขมวดคิ้ว เหลียวมองเธอแวบหนึ่ง “ท่านพูดกับพวกเราอยู่หรือ?”

กู้ซีจิ่วเร่งฝีเท้าขึ้นไปสองก้าว ยืนนิ่งอยู่ในจุดที่ห่างจากพวกเขาสองเมตร ยิ้มน้อยๆ “อวิ๋นชิงวหลัว เจ้าดูข้าไม่ออกจริงๆ น่ะหรือ?” แล้วทักทายตี้ฝูอีต่อ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่ได้พบกันเสียนาน”

สายตาตีฝูอี้กาวดมองร่างเธอแวบหนึ่ง แววตามองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ

ถึงอย่างไรก็เป็นยามวิกาล ท้องฟ้ามืดมิดยิ่ง ถึงมีจะมีแสงโคมส่องสว่าง แต่ใบหน้าคนก็ยังไม่แจ่มชัดเหมือนตอนกลางวันอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่สวมหน้ากากอันหนึ่งไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่เดียว ยิ่งทำให้คนมองเขาไม่ออก

อวิ๋นชิงหลัวขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ไม่เสแสร้งต่อ “กู้ซีจิ่ว? เจ้ามีธุระอะไร?”

กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “ไม่มีธุระอะไร ก็แค่พบปะสหายร่วมสำนักจึงมาทักทายก็เท่านั้น”

อวิ๋นชิงหลัวพยักหน้าน้อยๆ “ได้ ทักทายเสร็จ ลาก่อน” พลางดึงตี้ฝูอีออกเดิน เดินไปได้สองก้าวนางก็หันกลับมายิ้มแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว เจ้าพูดถูก สิ่งที่ข้าควรจะทุ่มเทให้ก็คือเขา…มิใช่เจ้า…โชคดีที่ข้าเข้าใจก่อนที่จะสายเกินไป”

รอยยิ้มของนางแฝงแววยั่วยุและภาคภูมิไว้รางๆ “เอาล่ะ ในวันเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวนพวกเรา และหวังว่าเจ้าจะเบิกบานกับการเที่ยวเล่นเพียงลำพัง”

นางก้าวต่อไปสองก้าว ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อีก “กู้ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งมาก ข้าก็ยินดีมากที่จะได้กลานเป็นสหายร่วมชั้นกับเจ้า แต่การประลองในวันพรุ่งนี้ข้าก็จะทุ่มเทอย่างสุดฝีมือเช่นเดิม จะไม่อ่อนข้อให้ ข้าหวังว่าเจ้าจะพึ่งพายความสามารถที่แท้จริงของตนฝ่าเข้ามาได้ มิใช่….”

นางหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “มิใช่อาศัยบารมีของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้ามา ถึงอย่างไรสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็เป็นสถานที่ยุติธรรมที่สุด ผู้ใดที่ใช้เส้นสายบารมีเข้ามาล้วนเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย” เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ นางกับตี้ฝูอีถึงจากไปจริงๆ ค่อยๆ ปะปนไปในฝูงชน

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้นพลางถามเจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ในแขนเสื้อ “คราวนี้ได้กลิ่นชัดเจนแล้วใช่ไหม? ใช่เขาจริงๆ หรือเปล่า?”

เจ้าหอยยักษ์พยักหน้า “ไม่ผิดแน่! เป็นเขา” เมื่อกี้อยู่ห่างกันเกินไปมันเกรงว่าจะประสาทสัมผัสจะผิดเพี้ยนจึงให้กู้ซีจิ่วเข้าไปอีกหน่อย

ระยะห่างสองเมตร เพียงพอจะให้มันได้กลิ่นอายจากร่างเขาอย่างแท้จริง

กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” ครั้งนี้ถึงแม้เธอจะขายหน้า แต่ก็นับว่าได้พิสูจน์แล้ว เธอจะได้ตัดใจจริงๆ เสียที

“เจ้านาย ไปไหนหรือ?” เจ้าหอยยักษ์ถามอย่างระมัดวังยิ่ง

“ไปกินข้าวไง! เจ้าหิวมิใช่หรือ?”

————————————————————————————-

บทที่ 662 อยากทำให้ท่านประหลาดใจ

“เย้ ไปกินข้าว ไปกินข้าว!” เจ้าหอยยักษ์ไชโยโห่ร้อง “คราวนี้ข้าจะกินให้หนำใจเลย!”

….

หอชุมนุมเวียนเป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เพียงแต่บรรยากาศดีเท่านั้น อาหารก็อร่อยมาก ปกติจะมีลูกค้าเนืองแน่นอยู่เสมอ วันนี้คนยิ่งแน่นขนัดกว่าเดิม

กู้ซีจิ่วอยู่ตรงปากประตูมอองเห็นฝูงชนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ในใจก็ทราบว่าไม่ดีแล้ว เธอนึกว่าผ่านช่วงเวลาอาหารไปแล้ว ตอนนี้คงมีคนไม่มากนัก นึกไม่ถึงว่าด้านนอกจะยังมีแขกต่อแถวอยู่ แถมแขกที่รออยู่ก็มิใช่น้อยๆ

กู้ซีจิ่วคาดว่าถ้าต่อแถวกว่าจะถึงคิวตนก็คงต้องรอไปอีกหนึ่งชั่วยาม…

เธอเอ่ยถามเจ้าหอยยักษ์ “พวกเราจะเปลี่ยนร้านหรือว่าตอนนี้จะรับป้ายลำดับไว้ก่อน แล้วอีกหนึ่งชั่วยามให้หลังค่อยมา?”

เจ้าหอยยักษ์ยึดมั่นถือมั่นต่ออาหารเลิศรสยิ่งนัก ต้องการจะกินที่นี่และยินยอมที่รอ

กู้ซีจิ่วถอนหายใจ แล้วเดินออกไปหาพนักงานต้อนรับของร้านที่อยู่ด้านนอกเพื่อรับป้ายลำดับ

นึกไม่ถึงว่าพนักงานต้อนรับคนนั้นจะเพ่งพิศเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองเจ้าหอยยักษ์ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแขนเสื้อเธอรวมถึงเพรียกวายุที่ติดตามอยู่ด้านหลัง กระซิบถามเธอ “ท่านใช่แม่นางกู้ซีจิ่วหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง คิ้วขมวดมุ่น “มีคนเอ่ยถึงข้ากับเจ้าหรือ?” ยอมรับฐานะโดยปริยาย

พนักงานต้อนรับคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ท่าทางนบน้อบยิ่งขึ้น ค้อมกายกล่าว “ขอเชิญด้านในเลยขอรับ มีคนคอยท่านอยู่แล้ว”

กู้ซีจิ่วงงงวย

“เป็นผู้กล้าท่านใดกัน?” เธอถามทันที

พนักงานต้อนรับผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ท่านขึ้นไปก็จะทราบเองขอรับ แขกท่านนั้นรอท่านอยู่ที่ชั้นสอง กล่าวว่าอยากทำให้ท่านประหลาดใจ”

ใครกัน?

ตอนที่เธอปลอมตัวคนนอกจะดูไม่ออก คนที่ดูเธอออกล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกับเธอ ยกตัวอย่างเช่นบรรดาอาจารย์และสหายร่วมสำนักเหล่านั้น อย่างไรเสียเจ้าหอยยักษ์กับเพรียกวายุก็เป็นป้ายบอกยี่ห้อที่มีชีวิต

จู่ๆ เธอก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นเจ้าเด็กแสบเชียนหลิงอวี่? ข้อนี้มีความเป็นไปได้ที่สุด!

หลังจากเธอขจัดกู่ให้เขา เขาก็กล่าวอยู่ตลอดว่าถ้ามีเวลาจะเชิญเธอมาเลี้ยง เชิญมากินอาหารเลิศรสสักมื้อเป็นการตอบแทนเธอ

อาหารที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แพงเกินไป แถมต้องใช้หินวิญญาณเพียงอย่างเดียว เชียนหลิงอวี่ใช้หินวิญญาณแบบเดือนชนเดือน เชิญเธอไปเลี้ยงไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าเขาจะถือโอกาสเชิญเธอมาที่นี่ในวันนี้

ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม สามารถกินข้าวได้ทันทีล้วนเป็นเรื่องดีเสมอ ดังนั้นกู้ซีจิวเลยเดินเข้าไป

ชั้นล่างมีคนแน่นขนัด ทว่าชั้นบนกลับเงียบสงบ พนักงานต้อนรับพาเธอเดินมาถึงหน้าบันไดแล้วก็ไม่ก้าวต่ออีก เพียงยิ้มน้อยๆ ให้เธอขึ้นไปยังชั้นบน “แม่นางกู้ เชิญขอรับ!”

เจ้าเด็กแสบคนนั้นคงไม่เหมาชั้นสองทั้งชั้นไว้กระมัง?! จ่ายเงินมือเติบ คล้ายจะเป็นสิ่งที่คุณชายฟุ่มเฟือยอย่างเขาทำจริงๆ

กู้ซีจิ่วก้าวขาขึ้นไปยังชั้นบน วินาทีที่เธอแหวกม่านออกก็ต้องตะลึงงัน!

พอเธอแหวกม่านออก โคมบนชั้นสองทั้งหมดก็ดับลง

มืดมิดลงกะทันหันเช่นนี้ทำให้เธอมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ คิดจะชักกระบี่ออกมาป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ นึกไม่ถึงว่ากลางห้องโถงจะมีไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมา ส่องโลกด้านนั้นให้สว่าง

หัวใจกู้ซีจิ่วเหมือนถูกอะไรทุบเข้าอย่างจัง!

เธอเห็นอะไรน่ะหรือ?

เป็นเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง!

เค้กวันเกิดก้อนนั้นวางอยู่บนโต๊ะกลมตัวหนึ่ง มีเทียนสีแดงปักไว้รอบๆ เค้ก จำนวนยี่สิบสามเล่มพอดิบพอดี เปลวไฟไหวระริก มีเสียงพิณแว่วมาจากหลังโต๊ะ มีเสียงเพลงตามมาพร้อมเสียงพิณ เป็นบทเพลงที่พบเห็นกันดาษดื่นยิ่งนักทว่าเป็นบทเพลงที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมาปรากฏในโลกนี้ “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…”

เสียงเพลงทุ้มต่ำดึงดูด รื่นหูดั่งเสียงเชลโล่

กู้ซีจิ่วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ฉากนี้ทั้งดูคุ้นเคยและดูแปลกตา ทำให้หัวใจที่สงบนิ่งมาตลอดของเธอเกิดคลื่นซัดโหมขึ้นมาอีกครั้ง…