ภาคที่ 1 บทที่ 59 แค่ขอยืม กรุณาอย่ารบกวน

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 59 แค่ขอยืม กรุณาอย่ารบกวน

ณ จัตุรัสกลางมหาวิทยาลัย

ซูเย่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดนอกผืนป่า เฝ้ามองกลุ่มบุคคลปริศนา

“ห้าคน?”

ซูเย่เม้มริมฝีปากด้วยความสงสัย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะซ่อนตัวเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็สามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามได้

ในตอนนี้เขาสามารถตรวจจับพลังลมปราณของหนึ่งในนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นพลังที่เขาคุ้นเคย

เจ้าหน้าที่สืบสวนหมายเลข 197 นั่นเอง

ซูเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปในป่า ทุกย่างก้าวของเขาเงียบงันราวกับเป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่ง

“ผู้กองครับ อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะครับ แต่ทำไมผู้กองถึงแน่ใจว่าคนที่ขโมยหมวก VR ไป จะต้องออกมาเพราะหยกชิ้นนี้ล่ะครับ?”

ในผืนป่า เจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนทั้งห้าคนแยกย้ายกันซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ห้าต้นที่อยู่กระจายกันไปห้าทิศทาง

พวกเขาติดต่อสื่อสารกันด้วยนาฬิกาข้อมือ

“ไม่มีวิธีไหนที่จะล่อผู้ฝึกยุทธ์ออกมาได้ดีมากไปกว่านี้อีกแล้ว ในตอนนี้ฉันได้ขยายขอบเขตพลังของปราณธรรมชาติออกไป ถ้าในมหาลัยแห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์อยู่จริง ๆ เขาก็ต้องปรากฏตัวออกมาเพราะทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้แน่!”

“ผู้กองฉลาดที่สุดเลยครับ หวังว่าพวกเราคงไม่คว้าน้ำเหลวกันอีกนะครับ”

หวังเหาพลันออกคำสั่งด้วยเสียงกระซิบว่า “พวกเราเลิกคุยกันได้แล้ว!”

หลังจากนั้นบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ…

หยกปราณบริสุทธิ์ถูกวางทิ้งไว้ในพื้นที่โล่งกลางป่า โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งห้านายคอยสังเกตการณ์จากรอบทิศทาง

ซูเย่นั่งยอง ๆ อยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกมาไม่ไกล และกำลังส่งยิ้มให้กลุ่มเจ้าหน้าที่สืบสวนโดยไม่มีใครเห็น

“ที่แท้นี่ก็เป็นแผนล่อให้เราปรากฏตัวออกมาสินะ” ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชิ้นหยกบนพื้นดิน

“เป็นหยกที่หายากของจริงเลยนะเนี่ย”

“ของดีแบบนี้ ขอยืมมาใช้งานหน่อยจะดีไหมนะ?” ซูเย่พึมพำกับตัวเอง เขาเผยยิ้มร้ายก่อนจะเด็ดใบไม้ข้างตัวมากำหนึ่ง

แล้วมือขวาของเขาก็เกิดแสงเป็นประกายวูบหนึ่ง

จากนั้นในพริบตาใบไม้ในมือชายหนุ่มกลายสภาพเป็นกระสุน มันพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ทั้งห้าต้นที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ใช้กำบังกาย

“เปรี๊ยะ!”

เสียงกิ่งไม้หัก ต้นไม้สั่นไหว

“มาแล้ว!”

“มาแล้วรึ”

เจ้าหน้าที่ทั้งห้าคนเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน

ในเวลาเดียวกันนั้น

“วูบ…”

ก็มีสายลมเย็นยะเยือก ๆ โชยมาปะทะผิวกาย ในตอนนี้แหล่งกำเนิดแสงสว่างเดียวภายในป่าขณะนี้มาจากชิ้นหยกปราณบริสุทธิ์บนพื้นดิน

แต่ในวินาทีต่อมา

แสงสว่างจากชิ้นหยกก็ดับวูบไป กลุ่มเจ้าหน้าที่สืบสวนจึงตกอยู่ในความมืด

“แย่แล้ว!”

หวังเหาผู้เป็นหัวหน้าทีมอุทานออกมาด้วยความตกใจ รีบวิ่งออกไปยังตำแหน่งที่วางชิ้นหยกพร้อมกับลูกน้องทุกคน

ว่างเปล่า!

ชิ้นหยกหายไปแล้ว!

ทั้งห้าคนพลันหยุดชะงักอยู่กลางที่โล่ง พวกเขางุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น?”

จูอวี่ถามออกมาด้วยความร้อนใจ

“เมื่อกี้เหมือนมีลมพัดมาใช่ไหม”

เสี่ยวจุนซึ่งเคยตามแกะรอยซูเย่ไปจนถึงร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด กวาดสายตามองรอบตัวด้วยความพิศวง

“แต่ทำไมเราถึงตรวจจับพลังลมปราณไม่เจอเลยล่ะ!”

หวังเหาใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดน่ากลัว ดวงตาเบิกโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

ไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น จูอวี่ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน

ในเขตมหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกเขามั่นใจว่าไม่มีใครรู้เห็นการแฝงตัวของตนเองอยู่แน่นอน แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

ชิ้นหยกถูกขโมยไปโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!

อีกฝ่ายสามารถขโมยไปได้อย่างไร?

อีกฝ่ายลงมือตอนไหน?

พวกเขาไม่รู้เลย

“แข็งแกร่งมาก!”

หวังเหาสูดหายใจลึกและพูดว่า “เปลี่ยนไปใช้แผนสอง!”

ทันใดนั้น ทุกสายตาก็หันขวับไปมองจูอวี่เป็นเชิงให้สัญญาณเริ่มแผนสอง จูอวี่พยักหน้าก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นไปกดจุดลมปราณที่อยู่สองข้างจมูก จากนั้นเธอก็เริ่มสูดดมกลิ่นในอากาศอย่างรวดเร็ว

“เจอแล้ว!”

หญิงสาวทำจมูกสูดดมฟุดฟิด และวิ่งไล่ตามกลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศไปทันที

“อยู่ทางนี้!”

หวังเหาและลูกน้องคนอื่น ๆ รีบวิ่งตามไปโดยเร็ว

ในเวลาเดียวกันนั้น ทุกคนก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้

โชคดีที่ก่อนหน้านี้หญิงสาวได้สูดดมกลิ่นของหยกปราณบริสุทธิ์เอาไว้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะสามารถตามหามันกลับคืนมาได้อย่างไร

ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด

ร่างบางวิ่งตัดพื้นป่าตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

ในไม่ช้าเธอก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง

กลิ่นของชิ้นหยกลอยออกมาจากด้านในห้องน้ำแห่งนี้

“เป็นอะไรไป?”

หวังเหาผู้วิ่งตามมาด้านหลังหยุดชะงัก และถามออกมาทันที

“นี่มันใช่เวลาแวะมาเข้าห้องน้ำไหมเนี่ย”

เสี่ยวจุนบ่น

“หยกของพวกเราอยู่ในนั้น”

จูอวี่หันกลับมามองหน้าเสี่ยวจุนตาขวาง

เธอมองตรงไปยังส่วนที่เป็นห้องน้ำชายเป็นคำตอบ

“แน่ใจนะ?”

หวังเหาถามด้วยความหวาดระแวง

“แน่ใจค่ะ”

“งั้นพวกเราเข้าไป!”

หวังเหายกมือส่งสัญญาณบอกเสี่ยวจุน แล้วพวกเขาก็บุกเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องน้ำชายอย่างไม่รอช้า

จูอวี่ และเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนรออยู่ด้านนอก หากได้รับสัญญาณเมื่อไหร่ ทุกคนก็พร้อมที่จะบุกเข้าไปเป็นกำลังเสริมให้หัวหน้าทีมได้ตลอดเวลา หรือถ้ามีผู้ร้ายหลบหนีออกมา พวกเขาก็พร้อมที่จะสกัดจับได้โดยทันที

แต่เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำชายแห่งนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งสองนายกลับพบว่ามีกระดาษข้อความถูกแปะทิ้งเอาไว้บนกระจกเหนืออ่างล้างมือ

“หืม?”

หวังเหารีบเดินเข้าไปตรวจสอบ

“หมวกใบนั้นแค่ขอยืมชั่วคราว ไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายต่อประเทศชาติ กรุณาอย่ามารบกวนกันอีก ขอบพระคุณ”

อย่ามารบกวนอะไรกันเล่า!

แกขโมยหยกของฉันไปนะเว้ย!

แล้วฉันก็ต้องอดหลับอดนอนเพื่อมาไล่จับแกเนี่ย!

หวังเหาได้แต่สบถอยู่ในใจ

จังหวะนั้นเสี่ยวจุนไล่เปิดดูห้องส้วมทุกหลังแล้ว แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

หวังเหานำถุงมือสีขาวออกจากกระเป๋ามาสวมใส่ และค่อย ๆ แกะกระดาษข้อความออกมาจากกระจกเหนืออ่างล้างมือเก็บใส่ในถุงใสใบหนึ่งด้วยความระมัดระวัง

“เอาไปตรวจหารอยนิ้วมือ”

เมื่อทั้งสองคนเดินกลับออกมา พวกเขาก็ส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าคว้าน้ำเหลว ก่อนที่จะเหลือบตามองไปทางฝั่งของห้องน้ำหญิง

จากนั้นทุกสายตาก็หันมาจ้องมองจูอวี่

จูอวี่เดินหายเข้าไปตรวจค้นในห้องน้ำหญิงอยู่สักครู่หนึ่ง ก็เดินขมวดคิ้วกลับออกมา

“ข้างในไม่มีเบาะแสอะไรอีกแล้ว”

พูดจบหญิงสาวก็ขมวดคิ้ว พึมพำเหมือนกำลังถามตัวเองว่า “นี่เขาตั้งใจปล่อยกลิ่นเพื่อให้เราตามมาถึงที่นี่งั้นหรือ?”

“ดูเหมือนว่าเราจะตกหลุมพรางของหัวขโมยแล้วสินะ”

หวังเหากัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น “ถึงฉันจะต้องเสียหยกชิ้นนั้นไป แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า หัวขโมยซ่อนตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้จริง ๆ!”

“แต่เขามีพลังแข็งแกร่งมากเลยนะครับ ผู้กองแน่ใจนะว่าพวกเรา…”

ใครคนหนึ่งในทีมสืบสวนพูดออกมาอย่างลังเล

“ไม่เป็นไรหรอก”

หวังเหาพยักหน้าเล็กน้อย “รายงานไปขอความช่วยเหลือที่ศูนย์บัญชาการซะ อย่างน้อยก็ขอหมายค้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้ได้ รับรองว่าหัวขโมยไม่มีทางหนีรอดเด็ดขาด!”

ลูกน้องของเขาทั้งสี่คนพยักหน้าตอบรับคำสั่ง

หัวขโมยอาจเข้าใจว่าตนเองสามารถหลอกลวงพวกเขาได้สำเร็จ แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังเปิดเผยถึงที่อยู่ของตัวเองต่างหาก

เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้านายแยกย้ายกันไปห้าทิศทาง

ไม่ไกลจากห้องน้ำสาธารณะแห่งนั้น ปรากฏเงาร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่ซ่อนตัว

ประกายเรืองแสงจากหยกในมือส่องสว่างขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าของเขา

เป็นฝีมือเขานั่นเอง ซูเย่!

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่ามารบกวนกัน ทำไมต้องทำให้เรื่องวุ่นวายด้วยนะ เฮ้อ”

ซูเย่ถอนหายใจ และก้มหน้ามองชิ้นหยกที่อยู่ในมือ

นี่เป็นชนิดหยกที่หาได้ยากมากในยุคปัจจุบัน

“ว่าแต่พวกเขาไปเอาหยกชนิดนี้มาจากไหนกันนะ?”

“ไหนว่ามันเป็นหยกที่หาได้ยากมากไม่ใช่หรือไง”

ครั้งสุดท้ายที่ซูเย่ได้มีโอกาสพบเห็นหยกปราณบริสุทธิ์ด้วยตาของตนเอง นั่นก็ผ่านมาเกือบพันปีแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่าหยกชิ้นนี้เป็นของใหม่

“ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์นั่น ไม่ว่าจะเป็นหมวก VR ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพลังลมปราณ แล้วไหนจะหยกชิ้นนี้อีก เรื่องราวทุกอย่างชักจะน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ”

หยกวิเศษชิ้นนี้มีประโยชน์กับเขามาก

มันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมโอสถเสริมพลังปราณ

ชื่อของหยกชนิดนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าในตัวของมันอัดแน่นด้วยปราณธรรมชาติ ซึ่งเมื่อนำมาหลอมเป็นโอสถเสริมพลังปราณ ซูเย่ก็จะสามารถเปิดจุดลมปราณได้ง่ายมากขึ้นเมื่อรับประทานมันเข้าไป

เดิมทีชายหนุ่มไม่มีหวังเรื่องการหลอมโอสถเลย

เพราะวัตถุดิบสำคัญในการหลอมโอสถเสริมปราณ ก็คือสิ่งที่สามารถซึมซับพลังปราณบริสุทธิ์จากธรรมชาติเป็นจำนวนมาก

ถ้าไม่มีหยกชิ้นนี้ ซูเย่ก็ต้องทดแทนด้วยการหาสมุนไพรวิเศษคุณภาพสูง

แต่ในโลกยุคปัจจุบัน การตามหาสมุนไพรวิเศษให้พบเจอ นับเป็นเรื่องยากลำบากที่สุด

กะหล่ำวิเศษหัวนั้นยังห่างไกลจากการเป็นสมุนไพรวิเศษมากนัก

ด้วยเหตุนี้ ซูเย่จึงไม่เคยหวังว่าตนเองจะสามารถหลอมโอสถเสริมปราณได้สำเร็จ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหยกปราณบริสุทธิ์จะตกมาอยู่ในมือของเขาด้วยความง่ายดาย

แม้มันจะมีขนาดเท่าเล็บมือคนก็ตาม แต่พลังที่อัดแน่นอยู่ด้านในนั้นก็เพียงพอที่จะนำมาหลอมเป็นโอสถได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมบอกแล้วนะว่าขอยืมมาก่อน เดี๋ยวจะตอบแทนให้อย่างคุ้มค่าเชียวล่ะ”

ซูเย่พูดอยู่ในใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ขณะนี้เขามีหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของการหลอมโอสถแล้ว

ต่อจากนี้ก็แค่หาสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ให้ครบเท่านั้น

สมุนไพรเหล่านั้นประกอบด้วย โซวู ถั่ววอลนัท, เมล็ดบัว, เก๋ากี้ และเมล็ดหม่อน

ต่างเป็นสมุนไพรยาจีนทั้งสิ้น

ในอดีต ผู้ฝึกตนสามารถหลอมโอสถเสริมปราณได้สำเร็จ เพราะโลกมนุษย์ยังคงอุดมไปด้วยสมุนไพรที่ดูดซับพลังปราณธรรมชาติมากมายมหาศาล แต่ในยุคปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หากไม่มีหยกปราณธรรมชาติเป็นตัวช่วยสำคัญ ต่อให้นำสมุนไพรที่มีคุณภาพสูงที่สุด มีราคาแพงที่สุดมาใช้งาน มันก็ยังไม่สามารถทดแทนกันได้อยู่ดี

ถึงอย่างนั้นสมุนไพรที่จะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบในการหลอมโอสถครั้งนี้ของซูเย่ ก็ต้องเป็นสมุนไพรคุณภาพสูงกว่าที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด

“แค่โซวูตัวเดียวก็ต้องใช้ต้นที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป คิด ๆ ดูแล้วการตามหาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติตรงตามที่เราต้องการ มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันแฮะ”

ซูเย่เดินกลับไปนอนในหอพักด้วยความเงียบงัน

เพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนของเขายังคงสนุกสนานอยู่ในโลกแห่งเกม โดยไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวสักนิดเดียว

“วันพรุ่งนี้เรามีนัดเรียนพิเศษกับอาจารย์หลี่ เดี๋ยวลองถามอาจารย์ดูดีกว่า”

“เขาอาจจะรู้ก็ได้ว่ามีต้นโซวูอายุ 100 ปีอยู่ที่ไหนบ้าง”

คิดได้ดังนี้ ชายหนุ่มก็เริ่มต้นทำสมาธิต่ออีกครั้ง

เช้าวันต่อมา

ย่านชานเมืองจี้หยาง

พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนเดินถือกล่องบรรจุวัตถุดิบ ซึ่งประกอบไปด้วยหัวกะหล่ำ เต้าหู้ และน้ำแร่อีกหนึ่งขวดเข้าไปในโรงครัวของบ้านพักคนชราที่เงียบสงบแห่งนั้น

พ่อครัวประจำโรงอาหารรู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังจะมา จึงออกมาต้อนรับและช่วยเขาจัดเตรียมอุปกรณ์

เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างในโรงครัวเสร็จสิ้นแล้ว พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนก็เดินกลับไปเอาผลไม้ และกระเช้ารังนกออกมาจากรถ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องพักห้องหนึ่งในบ้านพักคนชรา

“เจ้าอ้วนเองหรือ?”

ชายชราร่างผอมบางนอนยิ้มแป้นอยู่บนเตียงผู้ป่วย

“คุณปู่เฉินยังดูแข็งแรงดีเหมือนเดิมเลยนะครับ”

พ่อครัวหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเจ้าอ้วนมีนามว่าหวังป๋อ เขายิ้มตอบรับกลับไปอย่างไม่มีเหตุผล

“ปู่เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว แข็งแรงอะไรกันเล่า”

คุณปู่เฉินยังคงตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มดังเดิม

“โบราณว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าจิตใจแข็งแรง ร่างกายก็พลอยแข็งแรงไปด้วยนะครับ” หวังป๋อวางผลไม้และกระเช้ารังนกลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหยิบมีดออกมาปอกเปลือกแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง

“ทุกคนรู้แล้วว่าปู่กำลังจะตาย เจ้าไม่ต้องมาปลอบใจปู่หรอกนะ ปู่ทำใจได้แล้ว”

น้ำเสียงของคุณปู่เฉินไม่ปรากฏความเศร้าโศกเลยแม้แต่นิดเดียว “ปู่อยู่มานานเกินไปแล้ว ถือว่าหมดทุกข์หมดโศกกันเสียที”

พ่อครัวหนุ่มหวังป๋ออดรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อรับทราบถึงผลการวินิจฉัยของคุณหมอ

คุณปู่เฉินเป็นเพื่อนสนิทกับปู่แท้ ๆ ของเขา ท่านคอยดูแลชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าแทบจะมีความสนิทสนมมากกว่าปู่แท้ ๆ ด้วยซ้ำไป

“ว่าแต่เจ้าอ้วนเอ๋ย ตอนนี้ฝีมือทำอาหารของเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว? ก่อนที่ปู่จะตาย ปู่อยากจะกินผัดกะหล่ำแบบที่ปู่ของเจ้าเคยผัดให้ปู่กินอีกสักครั้ง”

พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชายชราก็บอกชัดถึงความสุขในอดีต

อาหารจานนั้นฝังลึกอยู่ในความทรงจำของท่าน มันเป็นอาหารที่พี่ชายร่วมสาบานทำให้รับประทาน และมีความทรงจำอีกหลายอย่างที่เกี่ยวพันถึงอาหารจานนี้

คุณปู่เฉินไม่ได้รับประทานอาหารจานนี้มา 10 ปีแล้ว

เฮ้อ นับว่าพี่หวังจากโลกนี้เร็วเกินไปจริงๆ

“ผมอาจจะไม่เก่งเหมือนปู่ผมนะครับ แต่คุณปู่เฉินลองทายสิว่าครั้งนี้ผมเอาอะไรมาด้วย?”

“อะไรล่ะ?”

“ผมเตรียมกะหล่ำ เต้าหู้ แล้วก็น้ำแร่จากภูเขาไท้ซัวอยู่ในโรงครัวเรียบร้อยแล้วครับ ปู่เฉินรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบไปผัดมาให้กิน รับรองว่าอร่อยไม่แพ้ฝีมือของปู่ผมแน่นอน!”

“ได้สิ ปู่จะรอ”

คุณปู่เฉินตอบรับด้วยรอยยิ้ม

พ่อครัวหนุ่มหวังป๋อส่งแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแล้วให้ชายชรา ก่อนที่เขาจะรีบกลับเข้าไปในโรงครัว เพื่อเริ่มต้นทำอาหารมื้อพิเศษ