ตอนที่ 79-3 ท่านสามไล่คน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เฉินจื่อหลิงก็ดูออกเช่นกันว่าอวี้โหรวจวงไม่ได้มาดี แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงขัดแย้งกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ก็ไม่อยากทำทีเป็นนิ่งเฉยให้ข่ม จึงจับแขนอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วดึงให้เดินออก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับจับมือนางไว้ บอกใบ้ว่าตนไม่มีเจตนาไป ถ้าไป ก็เหมือนแพ้แล้วหนี จึงมองหน้าอวี้โหรวจวง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมและมีมารยาทสุดๆ

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ จึงไม่รู้ว่าปีก่อนๆ เขาเชิญคนแบบไหนมากัน แต่ครั้งนี้ดูไปแล้ว กลับเป็น…คนอะไรแบบไหนก็มี”

 

 

ไม่รอให้อวี้โหรวจวงเปลี่ยนสีหน้า ก็หันมาทางลวี่สุ่ย แล้วยิ้มอย่างมีนัย

 

 

“งานเลี้ยงสังสรรค์เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ หลังงานเฉลิมพระชนมพรรษาเจี่ยไทเฮา ซึ่งเจี่ยไทเฮาทรงจัดขึ้นด้วยพระองค์เอง รายชื่อแขกผู้เข้าร่วมงาน เจี่ยไทเฮาก็เป็นคนสุดท้ายที่วินิจฉัย แล้วที่พี่สาวใช้ผู้นี้บ่นว่า…มาตรฐานต่ำ จริงๆ แล้วกำลังพูดถึงงานเลี้ยง หรือพูดถึงไทเฮากันล่ะ”

 

 

ลวี่สุ่ยหน้าซีด อวี้โหรวจวงก็ค้อนให้นาง

 

 

ลวี่สุ่ยมัวแต่คิดกลบฝังอวิ๋นหว่านชิ่น จึงไม่ทันคิดถึงจุดนี้ พอรู้ตัวว่าพูดผิดจนถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้และโต้กลับ ก็รีบตบปากตัวเอง แล้วกลับคำ

 

 

“บ่าวมิได้พูดว่าไทเฮามาตรฐานต่ำ แต่พูดว่า…” นางไม่รู้ว่าจะแก้ไขประโยคนั้นอย่างไรดี คำพูดจึงติดอยู่ในลำคอ พูดไม่ออก

 

 

พอเหล่าคุณหนูชนชั้นสูงเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยน ก็รู้สึกสนใจในตัวลูกสาวของรองเจ้ากรมกลาโหมคนนี้ขึ้นมา จึงแอบกระซิบกระซาบกัน

 

 

“พี่สาวใช้อยากจะบอกว่า เจี่ยไทเฮาทรงมีมาตรฐานสูงมาตลอด เพียงแต่คนในงานเลี้ยงมีมาตรฐานไม่ค่อยสูงมาแต่ไหนแต่ไร ถูกหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นช่วยนางแก้ไข พลางยิ้มตาหยี

 

 

“ใช่ๆๆ!” ลวี่สุ่ยรีบตอบ ขอเพียงคนในวังได้ยินแล้ว ไม่นำไปทูลไทเฮาให้ลงโทษว่านางพูดดูหมิ่นเป็นพอ แม้อวี้โหรวจวงคิดจะห้ามก็ไม่ทันการ

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์จึงยิ้มพลางว่า “พี่ลวี่สุ่ยนี่ตาคมดุจดาบ เยือกเย็นดุจหิมะจริงๆ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าผู้คนที่มาร่วมงานมาตรฐานไม่สูงมาแต่ไหนแต่ไร! คุณหนูบ้านข้าเพิ่งมาครั้งแรก ดีที่มีท่านช่วยเตือนสติ!”

 

 

เหล่าคุณหนูจึงวุ่นวายกันยกใหญ่

 

 

ลวี่สุ่ยอยู่ในภาวะกลืนผลไม้รสขมเข้าไปเอง อยากโต้แย้งแต่ไม่มีวิธี พอเห็นคุณหนูหลายคนมองมาที่ตนอย่างเจ็บแค้น ก็ได้แต่ถอยกรูดไปยืนอยู่ด้านข้าง

 

 

อวี้โหรวจวงจึงยิ้มเย็นชา พลางคิด อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงปากจัดเหมือนครั้งแรกที่พบหน้ากัน แต่ปากจัดในวังจะไปมีประโยชน์อะไร จึงกัดฟัน ดุด่าสาวใช้

 

 

“ถ้าพูดไม่เป็น ก็ควรทำตัวเป็นใบ้เสีย เข้าวังมาตั้งหลายครั้ง ยังไม่รู้อีกว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด สู้

 

 

ชาวบ้านร้านตลาดเชยๆ ที่ไม่เคยเห็นงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อนไม่ได้”

 

 

คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตก็ได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงสังสรรค์เช่นกัน นางเคยได้รับน้ำใจจากอวิ๋นหว่านชิ่น และเพิ่งรักษาสิวบนใบหน้าหาย พอเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียด จึงพูดประนีประนอม

 

 

“เอาเถอะๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

 

 

พออวี้โหรวจวงได้รับบันไดให้ลงจากเวที ก็ยกแขนเสื้อขึ้น กำลังจะเดินจาก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับค่อยๆ เอ่ยปาก

 

 

“ส่วนเรื่องสายเลือดชั้นสูงที่คุณหนูอวี้พูดถึงนั้น ในจวนข้าก็เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวอยู่หลายพันธุ์ แต่พวกบ่าวชอบนำสุนัขหรือแมวพันธุ์พันธุ์แท้แต่ละสายพันธุ์มาผสมพันธุ์กัน อย่างสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลที่มาจากภาคตะวันตก กับสุนัขพันธุ์ปั๊กที่มาจากดินแดนตะวันตก เพราะอยากให้ลูกที่เกิดมาแข็งแรง เชื่อฟัง คอยประจบประแจง เชื่องสุดๆ…”

 

 

เมื่อถูกถากถางเช่นนี้ อวี้โหรวจวงก็คันฟัน จึงกัดฟัน ยกแขนเสื้อขึ้น แสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมา

 

 

“ที่บ้านคุณหนูอวิ๋นสอนให้นำสายเลือดชั้นสูงไปเปรียบกับสุนัขและแมวเช่นนี้หรือ”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นมิใช่ลูกท่านหลานเธอ ไม่คุ้นเคยกับแวดวงชนชั้นสูง จึงได้แต่ใช้สัตว์เลี้ยงมาเปรียบเปรย คุณหนูอวี้คิดมากไปแล้ว” เสียงหนึ่งลอยอ้อยอิ่งมา คล้ายสายลมที่โชยจากทะเลสาบเฉิงเทียน

 

 

สาวสวยทั้งหลายหันมองตาม ชายหนุ่มก้าวขึ้นมาบนชั้นสอง ด้านหลังมีขันทีสองคน องครักษ์หนึ่งคน และนางในหนึ่งคนเดินตามมา

 

 

ใบหน้าชายหนุ่มดุจดอกไม้รุ่งอรุณในฤดูใบไม้ผลิ คิ้วเรียวยาว รอยยิ้มดุจดอกท้อเบ่งบานยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิ ขณะเท้าก้าวเดินดูเนื้อตัวเบาสบาย แม้สวมชุดผ้าแพรยาวสีเหลืองอ่อนปักลายมังกรห้าเล็บ ทับด้วยเสื้อคลุมขนนกตัวใหญ่สีขาว สวมรองเท้าหุ้มส้นสั้นสีดำพื้นรองเท้าขาว ครอบมวยผมด้วยหยกมรกตขอบทอง เสียบปิ่นหยกขาวกลางมวยผม

 

 

สามสาวอวิ๋นหว่านชิ่น เมี่ยวเอ๋อร์ และอวิ๋นหว่านถงตะลึงงัน เมื่อพบคนคุ้นเคย

 

 

หญิงสาวชั้นสูงหลายคนไม่เคยพบเจอชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน แต่ดูจากชุดยาวสีเหลืองอ่อนกับลายมังกรห้าเล็บ อีกผู้ติดตามด้านหลัง ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แน่

 

 

ทว่าอวี้โหรวจวงกลับรู้จัก จึงรีบถอนสายบัว

 

 

“ไม่ทราบว่ารัชทายาทเสด็จ จึงมิได้ออกไปต้อนรับ โปรดทรงอภัย”

 

 

พอสาวๆ ได้ยินว่า รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาเสด็จมาตึกไจซิง ก็ล้วนตกตะลึง รีบพากันถอนสายบัวตามอวี้โหรวจวง

 

 

รัชทายาทกวาดตามองกลุ่มคนรอบหนึ่ง ก่อนหยุดสายตาที่อวิ๋นหว่านชิ่น รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจางหาย ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อวิ๋นหว่านชิ่นฟังแล้วก็รู้สึกขำ ต่อไม่ติดกับคนที่โรงละครอย่างสิ้นเชิง

 

 

“อืม ตามสบาย เราได้รับพระบัญชาจากไทเฮา ให้มาดูแลแขกเหรื่อที่ตึกไจซิง ดูว่าบ่าวรับใช้ละเลยในหน้าที่หรือไม่”

 

 

“ไม่เลยเพคะ ไทเฮาใจทรงมีพระเมตตา เอาใจใส่พวกเรา รบกวนองค์รัชทายาทแล้ว…” สาวๆ รีบตอบ

 

 

ส่วนสาวๆ ที่ใจกล้าหน่อย ก็แอบเงยหน้าขึ้นสำรวจมองพระพักตร์ เนื่องจาก…ตำหนักบูรพาของรัขทายาทยังไม่มีพระชายา หรือตำแหน่งพระชายาของรัชทายาทยังว่างอยู่นั่นเอง

 

 

“ดีละๆ เช่นนั้นแต่ละคนก็ตามสบาย เราเดินดูอีกสักหน่อยก็ไปแล้ว” รัชทายาทผายมือ

 

 

หญิงสาวชั้นสูงส่วนใหญ่ที่เข้าวังในทุกๆ ปี ล้วนเคยเห็นรัชทายาท และรู้ว่าเขาเป็นคนง่ายๆ และเป็นกันเองจนไม่เหมือนรัชทายาท จึงไม่คิดมาก ถอนสายบัวแล้วถอยเดินออกไปกินลมชมวิวและคุยกันต่อ

 

 

พอเห็นผู้คนแยกย้ายกันไป รัชทายาทก็หันมองรอบๆ ชั้นสองสองรอบ สุดท้ายก็คล้ายทำตัวตามสบาย แต่จริงๆ แล้วประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นยืนชมทิวทัศน์ของทะเลสาบอยู่ริมระเบียง ก็รู้สึกว่าหลังหูมีไอร้อนปะทะมา พอหันมอง ก็รีบย่อตัว “ท่านอ๋องรัชทายาท”

 

 

รัชทายาทรีบก้าวเข้าหา กระซิบข้างหูนาง แล้วรีบถอยออก

 

 

“เมื่อครู่ถือว่าเราช่วยชิ่นเอ๋อร์ไว้ได้อีกครั้ง ขอบใจสักคำก็ไม่มี?”

 

 

ว่าแล้วก็ก้าวมายืนเคียงข้างคนงาม โดยหันหน้าไปนอกตึก แสร้งทำเป็นชมทิวทัศน์ทะเลสาบด้วยกัน

 

 

ชิ่นเอ๋อร์? เอาอีกแล้ว

 

 

“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว”

 

 

เนื่องด้วยรู้ว่ารัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาไม่ถือตัว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนึกย้อน และถามอย่างเอะใจ

 

 

“ที่โรงละครว่านไฉ่ในครั้งนั้น…มือระเบิด จับได้หรือยังเพคะ”

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์ไม่ถามว่าเราบาดเจ็บหรือเปล่า กลับถามถึงมือระเบิดนี่นะ?” รัชทายาทหันหน้ามาเพียงครึ่งเดียว ภายใต้แสงสะท้อนของทะเลสาบ เห็นสีหน้าเขาวาบหนึ่ง ทำให้เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “รัชทายาทมิได้ยืนสบายๆ อยู่ข้างๆ นี่หรอกหรือ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพระองค์ แม้ญาติผู้พี่ไม่บอกหม่อมฉัน ข่าวก็ต้องลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ใยหม่อมฉันต้องเป็นห่วงพระองค์อีก”

 

 

รอยยิ้มชะงักค้าง “อีกอย่าง ที่นี่คือวังหลวง หูตามากมาย พระองค์ไม่ควรเรียกชื่อเล่นของหม่อมฉัน”

 

 

รัชทายาทยิ้มพลางกะพริบตา กลับทำตามคำเตือนของนาง “มู่เจินบอกว่า เจ้าเป็นคนบอกเขาว่าในห้องเตรียมเครื่องดื่มมีปัญหา แล้วเจ้ารู้เรื่องได้อย่างไร”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาต้องถาม จึงค่อยๆ ตอบ “ตอนหม่อมฉันกับบ่าวเดินไปที่ห้องเตรียมเครื่องดื่ม ก็เห็นว่าเด็กรับใช้ของโรงละครมีท่าทีแปลกๆ พอคิดว่ารัชทายาทเป็นเชื้อพระวงศ์ ป้องกันไว้ก่อนเป็นดี จึงแจ้งญาติผู้พี่ไป คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ โชคดีที่ระวังไว้ก่อน หาไม่แล้ว ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนยากจินตนาการ”

 

 

คำพูดนี้เท่ากับไม่ได้พูด

 

 

รัชทายาทไม่เชื่อว่าเด็กสาวที่เอาแต่อยู่ในบ้านอย่างนาง จะมองออกว่าผู้ต้องสงสัยคือมือระเบิด