บทที่ 58 โชคลิขิตของจางอวิ๋นซี

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 58 โชคลิขิตของจางอวิ๋นซี
“มาก็ดี ตอนนี้ข้ากำลังหงุดหงิดอยู่พอดี!”

จางอวิ๋นซีแค่นเสียงหึในใจ ก่อนจะเดินหนึ่งก้าวออกไปนอกห้อง

เมื่อเผชิญหน้ากับปราณกระบี่ที่ฟันเข้ามาหาตน นางไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่ยกมือขวาช้าๆ

สายฟ้าสีขาวสว่างพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุดรวมเข้ามาในกำปั้นนาง

ตอนนี้ปรากฏร่างมายาพยัคฆ์ขาวสายฟ้าสว่างแสบตาขึ้นมาข้างหลังนางอีกครั้ง

โฮก!

พยัคฆ์คำรามป่าเขา ขจัดหมู่มารอย่างง่ายดาย!

ทั้งโรงเตี๊ยมเหมือนสั่นสะเทือนท่ามกลางเสียงคำรามพยัคฆ์

จางอวิ๋นซีชกหมัดออกไปช้าๆ ใส่ปราณกระบี่ที่กำลังจะจู่โจมใส่ตน

ฟ้าดินถอดสีในทันใด

พลานุภาพของหมัดนี้เรียกได้ว่าน่าตื่นตกใจและสวยงาม

เมื่อจางอวิ๋นซีชกหมัดออกไป สายฟ้าสีขาวทำลายล้างพลันแผ่กระจายไปทั่วทั้งฟ้าดิน ต่อมาสายฟ้าสีขาวมืดฟ้ามัวดินกับเงามายาพยัคฆ์ขาวผู้มีอำนาจน่าเกรงขามหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน

เดิมทีร่างพยัคฆ์ขาวยังดูเลือนรางอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้กลับสมจริงอย่างยิ่ง

ตอนนี้เหมือนมีสัตว์เทพพยัคฆ์ขาวลงมาเยือนโลกจริงๆ

อำนาจคุกคามของราชาสัตว์อันน่าสะพรึงกระจายไปทั่วทุกสารทิศ

พยัคฆ์ขาวตัวนั้นหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว และหลอมรวมกับหมัดขวาจางอวิ๋นซี

มืองามเล็กดูขาวบริสุทธิ์อ่อนนุ่มนั้น ต่อให้กำหมัดก็ยังไม่น่ากลัวนัก กระทั่งยังให้ความรู้สึกแบบ ‘หมัดบอบบาง’

ทว่าเมื่อหมัดนี้ปะทะกับปราณกระบี่ที่สำแดงฤทธิ์โดยหัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎช่วงแก่นพลังทองสามคนแล้ว วินาทีต่อมา ปราณกระบี่สีทองยาวสิบเมตรนั้นพ่ายลงอย่างย่อยยับ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

จางอวิ๋นซีชกหมัดใส่อากาศ เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้โดนผู้ใดเลย

ทว่าประกายสายฟ้าทำลายล้างสะท้อนออกไปจู่โจมใส่ผู้คุมกฎทั้งหมด

ผู้คุมกฎทุกคนเปล่งประกายสายฟ้าออกมาทั่วร่าง เส้นผมตั้งตรงก่อนจะร่วงลงพื้นมาชักกระตุก

ใบหน้าพวกเขากลายเป็นดำมืด กลิ่นหอมเนื้อที่โชยมาจากตัวแรงยิ่งกว่าของกุ้ยกงกง!

…………

“นั่นมรดกยอดวิชายุทธ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ อัสนีเทพธาตุทองพยัคฆ์ขาว!”

ตอนนี้หัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎทุกคนต่างด่าทอฉินเกาในใจเป็นร้อยรอบ

เจ้าบ้าเสี่ยวเกา ไหนบอกว่าเป็นสารชั่วลัทธิวิญญาณร้ายหมายปองจะทำร้ายท่านเซียนอย่างไรเล่า เหตุใดเรารุดหน้ามาด้วยความดีใจแล้ว กลับพบผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์?

โอย! หมัดบอบบางนี่ชกเข้าที่หน้าอกเรา กระดูกซี่โครงหักหมดแล้ว!

เจ้าปล่อยข่าวโคมลอยตามอำเภอใจเช่นนี้ นี่มันทำร้ายกันชัดๆ!

จางอวิ๋นซีเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าเฉยชา

สารภาพตามตรง ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีมาก

นางได้รับขนานนามว่าธิดาสวรรค์ที่อยู่จุดสูงสุดของแดนบูรพาตั้งแต่เยาว์วัย

จางอวิ๋นซีหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง เป็นดั่งบุตรของตระกูลอื่นมาโดยตลอด

ในอดีตยามนางไปยังสำนักใหญ่ๆ ในแดนบูรพา มีใครบ้างไม่ให้เกียรตินาง?

ไม่นึกเลยว่ามาอาณาจักรต้าเหยียนถิ่นกันดารชนบทยากจนแห่งนี้ กลับถูกยั่วยุตลอดเวลา

…….

ก่อนอื่น คนรับใช้เฒ่าของนักพรตเต๋าเสิ่นนั่น ยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็กล้าลอบโจมตีนาง

เรื่องนี้ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็มีใจปกป้องนาย!

จางอวิ๋นซีเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เห็นแก่หน้าเสิ่นเทียนจึงปล่อยผ่านไป

ทว่านักพรตเต๋าเสิ่นกลับบอกว่าเขากับข้าไม่มีวาสนาต่อกันหรือ

มีสิทธิ์อะไร?

เจ้าค้นวิญญาณประเมินแร่ให้ผู้วาสนาวันละหลายสิบคน แล้วข้ามีตรงไหนด้อยกว่าผู้บำเพ็ญระดับล่างพวกนั้นบ้าง เหตุใดเจ้าต้องหาข้ออ้างบอกปัด

ใช่ ในมุมมองจางอวิ๋นซี เสิ่นเทียนหาข้ออ้างบอกปัด

แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แต่ละแห่งในแดนบูรพา มีโอรสสวรรค์ตั้งมากมายตามเกี้ยวพานาง

นางดูแคลนจนขี้เกียจจะรับไมตรีด้วยซ้ำ

ครั้งนี้มาอาณาจักรต้าเหยียน ค่อนข้างถูกชะตากับเสิ่นเทียน ถึงได้เอ่ยปากก่อนอย่างพบเห็นได้ยาก สื่อเป็นนัยๆ ว่าอยากจะผูกมิตรกับเสิ่นเทียน

ปรากฏว่า!

ไอ้เจ้าคนปราดเปรื่องนี่ เจ้าทำอะไร

เขาบอกว่าไม่มีวาสนากับข้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยเลยหรือ

ข้าไม่เป็นที่ต้อนรับของเจ้าเช่นนี้เชียวหรือ

……

คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของนางพังทลายลงอย่างยิ่ง

ขณะที่อยู่ในช่วงสำคัญแบบนี้ ผู้ฝึกกระบี่พวกนั้นยังกล้าจู่โจมนาง

ต้องรู้ไว้ว่า สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มีฐานะเป็นที่ยกย่องอย่างยิ่ง ไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสในแดนเทวาเลย กับแค่กลุ่มผู้คุมกฎสวนหมื่นวิญญาณเล็กจ้อย กลับกล้าจู่โจมสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

นี่คือการกระทำของคนต่ำต้อยดูหมิ่นชนชั้นสูง เป็นการยั่วยุอย่างรุนแรง

จางอวิ๋นซีทำท่าทางสื่อว่าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน

ดังนั้นนางจึงชกไปหนึ่งหมัดอย่างจริงจัง

จากนั้นค่ายกลกระบี่ผู้คุมกฎนั่นก็พังทลายเป็นเสี่ยงๆ

“ข้าจางอวิ๋นซีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญวิถีมาร”

จางอวิ๋นซีก้าวออกมาเนิบๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ประกายสายฟ้าพันล้อมรอบกาย

นางในตอนนี้เผยความสามารถและบุคลิกที่สุดแห่งยุคของสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ออกมาอย่างแท้จริง

สูงศักดิ์ เย็นชา ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ รวมถึงแข็งแกร่งจนทำให้คนต้องหายใจติดขัด

นางมองผู้คุมกฎด้วยความเฉยชา ทั่วร่างมีประกายสายฟ้าวูบวาบ

หากเป็นคนอื่นโจมตีผู้คุมกฎเช่นนี้ สวนหมื่นวิญญาณต้องโต้กลับแน่

ทว่าหลังจางอวิ๋นซีเผยฐานะ กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งจากที่ลับก็หายไป

ช่วยไม่ได้ ฐานะของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สูงมากจริงๆ

ต่อให้เป็นแดนเทวาดาวประกายพรึกก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว

ผู้คุมกฎพวกนี้ลงมือยั่วโมโหสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก่อน ถึงแม้ต่อจากนี้จะทำให้พวกเขาพิการ ก็ไม่มีใครว่าอะไร

……..

จางอวิ๋นซีมองผู้คุมกฎพวกนั้นจากเบื้องบน ความโมโหในใจหายไปไม่น้อย

เห็นผู้คุมกฎพวกนั้นล้มลงกับพื้น ยังชักกระตุกไม่หยุด นางแค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขวาออกไปเนิบๆ

ทันใดนั้น สายฟ้าสีขาวก็มุดออกมาจากในร่างผู้คุมกฎทีละสาย พวกมันสะท้อนไปหาจางอวิ๋นซีอย่างรวดเร็ว และถูกนางเก็บกลับไป

“จะดูหมิ่นแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ครั้งนี้จะแค่เตือนพวกเจ้า หากมีครั้งต่อไป ข้าจะไปโถงผู้คุมกฎเอง ถอยไปรักษาบาดแผลเถอะ!”

เอ่ยจบ จางอวิ๋นซีก็หันกลับมา ดวงตาภายใต้หน้ากากมองเสิ่นเทียนอย่างเย็นชา

นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “สหายเสิ่น ขอให้เจ้าดูให้ดีอีกทีด้วยว่ามีวาสนาหรือไม่”

‘อึก’

เสิ่นเทียนกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกว่าสตรีผู้นี้แข็งแกร่งอยู่นิดๆ

จะว่าไป ถ้าตอนนี้บอกว่าไม่มีวาสนาต่อกันอีกล่ะ จะถูกทุบตีตายหรือไม่

แต่ว่า ก็ไม่มีวาสนาต่อกันจริงๆ นี่!

รอเดี๋ยว!

เสิ่นเทียนมองพิจารณาหน้าผากจางอวิ๋นซี ก่อนเพ่งสายตาทันที สีหน้าดูตกใจ

เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองเหมือนจะไม่ระวังมองพลาดไป

เหนือวงรัศมีสีทองบนศีรษะของจางอวิ๋นซีมีภาพโชคลิขิตจริงๆ

เพียงแต่เพราะแสงสีทองสว่างจ้ามากไป ภาพจึงเลือนรางมาก

ดังนั้นมองไปแวบแรก เสิ่นเทียนก็เลยไม่ได้สังเกตเห็น

การค้นพบครั้งนี้ทำให้เสิ่นเทียนอดสงสัยมิได้

พึงรู้ไว้ว่า หลังจากพัฒนาความสามารถแล้ว ปกติเขาสังเกตโชคลิขิตของคนอื่นจะชัดเจนมาก

ไม่เคยปรากฏภาพโชคลิขิตเลือนรางเช่นนี้มาก่อน

กระทั่งต่อให้เสิ่นเทียนเพ่งมองอย่างตั้งใจ จ้องจนปวดตา ภาพนั้นก็ยังเลือนรางมาก ถึงขั้นติดๆ ดับๆ บ้าง

“ท่านเซียนอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ให้ข้าดูอย่างละเอียดอีกทีเถอะ”

เสิ่นเทียนจ้องจางอวิ๋นซีอย่างตั้งใจพลางเอ่ยเนิบๆ “ท่านเซียนมีวาสนากับข้า!”

พอได้ยินคำพูดเสิ่นเทียน อารมณ์ทางสีหน้าของจางอวิ๋นซีผ่อนคลายลงไม่น้อย

แม้ไม่รู้ว่าเสิ่นเทียนจะจ้องหน้าผากของตนทำไมก็ตาม แต่ในเมื่อเขาบอกว่ามีวาสนากับนางแล้ว นางก็จะใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้วกัน

ถึงอย่างไรก็ยังถูกชะตากับเจ้านี่ ความประพฤติก็ไม่เลวด้วย

นางเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว

ส่วนพวกผู้คุมกฎที่ดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้น ตอนนี้ตื้นตันใจจนน้ำตาปริ่ม

“ท่านเซียนยอมสตรีศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ร้ายนี่เพื่อพวกเรา”

“กฎของท่านเซียน ผู้ไร้วาสนามีหมื่นตำลึงทองก็ไม่รับ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำลายกฎเพื่อพวกเรา”

“เฮ้อ พวกเรามันไร้ความสามารถ! ต้องให้ท่านเซียนละเมิดหลักการเพื่อปกป้องพวกเรา”

“ท่านเซียนผิดคำสาบาน ก็เหมือนพระพุทธองค์เฉือนเนื้อให้เหยี่ยวกิน ช่างน่าซึ้งใจยิ่งนัก!”

……

เสิ่นเทียนไม่รู้เลย ตนเองแค่เปลี่ยนท่าที แต่กลับทำให้คนมากมายเพียงนี้แต่งเรื่องน่าปลื้มปีติขึ้นมาในหัวเสียได้

ตอนนี้ เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ภาพเลือนรางนั้น

เขาพอจะอ่านอักษรใหญ่อาบทองสามตัวที่จั่วหัวมาในภาพเลือนรางนั้นได้แล้ว

‘ร้าน…วิญญาณ…สวรรค์!’

…………………….………