ตอนที่ 68 นายแพ้แล้ว

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลิงหลานยังไม่ทันมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับการท้าประลองที่ไม่เจียมตัวของหลินจงชิง ฉีหลงที่เป็นลูกน้องของหลิงหลานก็ไม่พอใจ เขารู้สึกว่าลูกพี่ของเขาถูกคนดูถูก เขาตบโต๊ะยืนขึ้นมาทันที และพูดด้วยความโมโหว่า “แม่งเอ๊ย กล้าท้าทายลูกพี่ของฉันเหรอ? รนหาที่ตายแล้ว! ครูเฉิงครับ ผมยินดีรับการท้าประลองของเขาออกไปสู้แทนลูกพี่ของผม”

การออกหน้าของฉีหลงทำให้หลินจงชิงอึ้งไป ดวงตาเขาแสดงร่องรอยความตื่นเต้นยินดีออกมาวูบหนึ่ง บางทีคนอื่นอาจจะไม่สังเกตเห็น แต่หลิงหลานกลับมองเห็น แน่นอนว่าเป็นคุณงามความดีของเสี่ยวซื่อที่เฝ้าตรวจตราสังเกตทั่วทั้งห้องเรียน สีหน้าของแต่ละคนไม่สามารถรอดพ้นจากดวงตาน้อยๆ ที่เฉียบแหลมคู่นั้นของเสี่ยวซื่อได้

การขอประลองโดยไม่คาดคิดของฉีหลงทำให้ใบหน้าของเฉิงหย่วนหังปรากฏความโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฉีหลง อย่าท้าทายความอดทนของครูนะ”

เฉิงหย่วนหังโมโหจริงๆ เด็กพวกนี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง พูดว่าลูกพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาเห็นสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเป็นอะไรไปแล้ว? เฉิงหย่วนหังเป็นลูกหลานของชาวบ้านธรรมดา เขาอาศัยการอบรมสั่งสอนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือถึงได้ประสบความสำเร็จในวันนี้ เขารักสถาบันนี้มากๆ ดังนั้นเขาจึงเกลียดพวกเด็กแย่ๆ ที่อาจจะทำลายชื่อเสียงของสถาบันอย่างยิ่ง

และพวกนักเรียนอย่างหลิงหลานและฉีหลงก็คือเด็กแย่ๆ ในสายตาเขา โดยเฉพาะหลิงหลานที่วันแรกก็ให้ผู้อำนวยการเข้ามาลาหยุดให้เขาด้วยตัวเอง เฉิงหย่วนหังไม่พอใจสุดขีด ท่านผู้อำนวยการเป็นคนที่เฉิงหย่วนหังเคารพเลื่อมใสมากที่สุด เขาคิดว่าการที่ท่านผู้อำนวยการเข้ามาจัดการเรื่องลาหยุดด้วยตัวเองต้องเป็นเพราะผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังหลิงหลานกดดันให้ทำแน่นอน…

เป็นเพราะเรื่องนี้เอง เฉิงหย่วนหังถึงได้คิดเป็นการส่วนตัวว่า การที่หลิงหลานสามารถเข้ามาในห้องสเปเชียลเอได้ เป็นเพราะการใช้เส้นสาย เขารังเกียจลูกหลานที่พึ่งพาอำนาจของที่บ้านแบบนี้ที่สุด ดังนั้นวันนี้เขาจะแสดงอำนาจให้หลิงหลานดู ทำให้เขารู้ว่าคิดจะอาศัยความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังมาวางอำนาจบาตรใหญ่ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แน่นอนว่าฉีหลงไม่ยอมวางมือ เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากโต้เถียง หลิงหลานที่อยู่ด้านข้างกลับกดฉีหลงลงกับที่นั่ง ไม่ให้เขาพูดอีก

หลิงหลานหันหน้ามองไปที่เฉิงหย่วนหัง เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “คุณครูเห็นว่ายังไงบ้างครับ?”

เฉิงหย่วนหังให้ตัวเลือกมาสองข้อ “สามารถเลือกรับการท้าประลอง และก็เลือกปฏิเสธได้เหมือนกัน แต่นี่หมายความว่าเธอสละที่นั่งของเธอด้วยตัวเอง นักเรียนหลิงหลาน เธอจะเลือกข้อไหนล่ะ?”

หลิงหลานมองไปที่หลินจงชิงแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อหลินอยากจะท้าประลอง ผมก็ยินดีรับคำท้าอยู่แล้ว”

หลินจงชิงได้ยินหลิงหลานรับคำท้า เขาเผยสีหน้าซับซ้อนออกมาแวบหนึ่ง และมีร่องรอยความกังวลใจ ยิ่งไปกว่านั้นเขากลับดูโล่งอก สีหน้าแบบนี้ไม่ใช่สีหน้าที่ผู้ท้าชิงควรมีเลย

“ลูกพี่ ดูท่าที่เจ้าหนูน้อยนั่นท้าประลองเธอก็เพราะมีจุดประสงค์อื่นนะ” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงสติจับสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลินจงชิงได้อีกครั้ง และเอ่ยเตือนหลิงหลาน

“อืม รอดูไปก่อน” หลิงหลานลอบเตรียมป้องกัน ถึงแม้ว่าหลินจงชิงจะดูเหมือนอ่อนแอมาก แต่เธออ่านนิยาย การ์ตูนและดูอนิเมะมาเยอะ เธอรู้ว่ามีตัวละครหลักมากมายที่ชอบแสร้งทำเป็นหมูกินเสือ ใครจะไปรู้ว่าหลินจงชิงคนนี้จะเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า หลิงหลานตั้งสติเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมทุกเมื่อ

การรับคำท้าของหลิงหลานทำให้เด็กชั้นปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดมาถึงสนามต่อสู้แห่งหนึ่งในสถาบันภายใต้การนำพาของเฉิงหย่วนหัง

เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าโต๊ะป้อนข้อมูลของห้องโถง เฉิงหย่วนหังก็ป้อนคำขอต่อสู้ของหลิงหลานกับหลินจงชิงลงไป เขาเลือกการต่อสู้แบบเปิดบนสังเวียนจากในประเภทการต่อสู้

หลิงหลานเหลือบมองไปที่เฉิงหย่วนหังอย่างใคร่ครวญแวบหนึ่ง ดูท่าครูคนนี้จะพุ่งเป้ามาที่เธอจริงๆ ความรู้สึกตรงหน้าไม่ใช่ภาพลวงตาของเธอ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิงหลานมาหอต่อสู้แห่งนี้ วันที่ลงทะเบียนเธอก็เคยยื่นคำร้องต่อสู้กับฉีหลงมาก่อน เธอรู้ดีว่ามีตัวเลือกประเภทการต่อสู้มากมาย สามารถเลือกการต่อสู้แบบปิดและเป็นส่วนตัว การต่อสู้แบบปิดบนสังเวียนเล็ก การต่อสู้แบบกึ่งเปิดบนสังเวียนเล็ก การต่อสู้แบบแบบเปิดบนสังเวียนเล็ก การต่อสู้แบบปิดบนสังเวียน การต่อสู้แบบกึ่งเปิดบนสังเวียน การต่อสู้แบบเปิดบนสังเวียน….

การต่อสู้ที่มีชื่อว่าปิดต่างก็เป็นการต่อสู้ลับๆ ปฏิเสธไม่ให้คนอื่นชมการต่อสู้ ก็เหมือนกับที่การต่อสู้ของเธอกับฉีหลง การต่อสู้ที่พวกเขาเลือกในตอนนั้นเป็นการต่อสู้แบบปิดและเป็นส่วนตัว ทว่าการต่อสู้ของเธอกับหลินจงชิง ความจริงแล้วประเภทการต่อสู้ที่เหมาะสมมากที่สุดคือการต่อสู้แบบกึ่งเปิดบนสังเวียนเล็ก

การต่อสู้แบบกึ่งเปิดคือเปิดห้องต่อสู้เฉพาะ ผู้ชมที่เข้าห้องนี้จะต้องมีรหัสเข้าห้องถึงจะเข้าได้ ขอเพียงบอกรหัสให้นักเรียนห้องเอ พวกเขาก็สามารถต่อสู้โดยที่ไม่มีการรบกวนจากคนนอก ต่อให้เป็นฝ่ายแพ้ก็จะไม่รู้สึกคับแค้นใจเศร้าสลดเพราะอับอายขายหน้าต่อคนภายนอก

ทว่าการต่อสู้แบบเปิดไม่เหมือนกัน นี่เป็นการเปิดให้นักเรียนทุกคนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือชม นอกจากนี้มันยังจะถูกประกาศทั่วทั้งหอต่อสู้ก่อนหน้าการต่อสู้ด้วย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วการต่อสู้แบบเปิดจะปรากฏแค่ในการต่อสู้จัดอันดับทุกๆ ครึ่งปีเท่านั้น ยากจะเจอในเวลาปกติ

ข่าวการต่อสู้บนสังเวียนแบบเปิดถูกหอต่อสู้ประกาศย้ำตามที่คาดไว้จริงๆ ทำให้นักเรียนทุกคนที่กำลังเตรียมตัวฝึกฝนการต่อสู้แบบส่วนตัวทยอยกันมาที่ด้านข้างสังเวียนการต่อสู้ของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นนักเรียนใหม่สวมชุดสีแดงสะดุดตาสองคนปรากฏตัวขึ้นบนสังเวียน เป็นการต่อสู้ของเด็กห้องสเปเชียลเอ พวกเขาก็ตื่นเต้นยินดี พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา บรรยากาศของสนามประลองคึกคักมากขึ้น

ถึงขนาดที่มีนักเรียนไม่น้อยเปิดอุปกรณ์สื่อสารติดต่อเพื่อนของตัวเองให้เข้ามาดูด้วยกัน

ตอนนี้หลิงหลานกับหลินจงชิงยืนอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาตรงข้ามกันบนสังเวียน หลินจงชิงเผชิญหน้ากับสีหน้าเรียบนิ่งใจเย็นของหลิงหลานก็ดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

เฉิงหย่วนหังมองคนทั้งสองบนเวทีและถามว่า “พวกเธอพร้อมแล้วหรือยัง?”

ทั้งสองคนพยักหน้ายืนยันพร้อมกัน เฉิงหย่วนหังออกคำสั่งว่า “การต่อสู้ เริ่มได้”

หลินจงชิงได้ยินเสียงเฉิงหย่วนหังบอกว่าเริ่มได้ เขาก็ไม่ได้โจมตีทันที หากแต่ถอยไปข้างหลังเว้นระยะห่างกับหลิงหลานอย่างรวดเร็ว

“เขาคิดจะทำอะไร?” เสี่ยวซื่อพูดด้วยความงุนงง

“สู้แล้วก็รู้เอง แล้วก็นะเสี่ยวซื่อ ตอนที่ฉันตั้งใจต่อสู้ นายอย่าส่งเสียงรบกวนฉันล่ะ” หลิงหลานเตือนเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ

เธอยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เธอฝึกฝนการต่อสู้กับผู้คุ้มกันของตระกูลหลิง เสี่ยวซื่อเข้ามารบกวนทำให้เธอถูกผู้คุ้มกันชกใส่อย่างรุนแรงหนึ่งหมัดจนเกือบทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังดีที่การแช่ยาของตระกูลหลิงกับเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้สร้างความเสียหายยาวนานให้กับหลิงหลาน แต่ว่าครั้งนั้นก็ทำให้หลิงหลานตกใจจนหวุดหวิดจะเอาชีวิตไม่รอด เดิมทีตลอดมาชีวิตของเธอก็ไม่ได้ปลอดภัยมากอยู่แล้ว

เสี่ยวซื่อทำท่ารูดซิปทันที สื่อว่าเขาจะหุบปากสนิท ไม่มีทางรบกวนหลิงหลานเด็ดขาด

หลิงหลานใช้เคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกาย เธอรู้สึกได้ทันทีว่าประสาทสัมผัสต่างๆ ของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนที่เธอมองไปที่หลินจงชิงอีกครั้ง ก็เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าควบคุมทุกอย่างเอาไว้ มันช่างวิเศษมาก

นี่ก็เป็นความสามารถที่เพิ่งจะค้นพบหลังจากที่ฝึกฝนกับหมายเลขห้าในสองคืนที่ผ่านมา ถึงแม้จะพูดว่าแค่สองคืน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเวลา หลิงหลานถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักอยู่ในมือของหมายเลขห้ามาสองเดือนกว่าจนแทบจะทำให้หลิงหลานสติแตก

ยังดีที่ความสามารถนี้มาจากรูปแบบของสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงเอาแน่เอานอนไม่ได้มาตั้งแต่แรก จนถึงตอนนี้เธอแสดงความสามารถได้ห้าหกครั้งในสิบครั้งเป็นประจำ สิ่งที่หลิงหลานจ่ายก็ไปคุ้มค่าแล้ว

วินาทีต่อมานี่แหละ! ลางสังหรณ์ของหลิงหลานบอกเธอว่า การจู่โจมของหลินจงชิงจะมาแล้ว

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุมเชิงกัน หลินจงชิงก็เลือกบุกโจมตีก่อนตามที่คาดไว้จริงๆ เขามาอย่างกะทันหันมาก มุมโจมตีของเขาเจ้าเล่ห์โดยสิ้นเชิง

มีนักเรียนชั้นปีสูงไม่น้อยเห็นการโจมตีของหลินจงชิงก็ทยอยกันผงกศีรษะชมเชย ช่วงเวลาที่หลินจงชิงเลือกดีมาก เขารอเวลาที่พลังใจของมนุษย์เหนื่อยล้ามากที่สุด เป็นเวลาที่เชื่องช้ามากที่สุดพอดี นอกจากนี้กระบวนท่าการโจมตีก็ดีมากเช่นกัน ไม่ใช่ทักษะการต่อสู้ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของหลิงหลานทำให้นักเรียนพวกนี้อุทานด้วยความตกใจ เธอเหมือนกับเตรียมพร้อมไว้แต่แรกแล้ว การโจมตีของหลินจงชิงทำให้เธอขยับไปแค่ก้าวเล็กๆ ก้าวเดียวเท่านั้น เธอเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อยก็สามารถหลบได้อย่างสบายๆ

“เชี่ย เด็กคนนี้มั่นใจในตัวเองจริงๆ เลือกทำการหลบในระยะที่เล็กขนาดนี้ นี่มันประมาทมากเกินไปแล้ว” พวกนักเรียนเก่าที่ชมการต่อสู้รู้สึกตกใจอยู่บ้าง พวกเขาพากันวิจารณ์การหลบของหลิงหลานว่ากล้าได้กล้าเสียมากเกินไป

ฉีหลงกับลั่วล่างสบตากันเองแวบหนึ่ง และมองเห็นความตกตะลึงและประหลาดใจของอีกฝ่าย พวกเขารู้ดีว่าการใช้องศาที่เล็กที่สุดในการหลบการโจมตีเป็นทักษะเฉพาะที่หลิงหลานเชี่ยวชาญ มันย่อมเป็นวิธีการหลบที่ประหยัดพลังมากที่สุด แต่ก็มีเพียงหลิงหลานเท่านั้นที่กล้าทำแบบนี้ ฉีหลงกับลั่วล่างไม่กล้าลองทำเลย นี่เกี่ยวพันกับความสามารถและความมั่นใจมาก ตอนนี้พวกเขายังทำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงและประหลาดใจไม่ใช่การหลบที่พวกเขาคุ้นเคยแน่นอน หากแต่เป็นพวกเขาสัมผัสได้ว่า หลิงหลานควบคุมรูปแบบการหลบในระยะเล็กๆ แบบนี้ได้สมบูรณ์มากขึ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของเธอจึงสง่างามและเป็นธรรมชาติมากอย่างเห็นได้ชัด

หลินจงชิงโจมตีไม่โดน แต่เขาก็ไม่ได้ถอยไปข้างหลัง ทว่าออกหมัดต่อเนื่องตามมาชุดหนึ่ง เต็มไปด้วยแรงกดดันที่ชกมั่วซั่วไร้แบบแผน น่าเสียดายที่ความสามารถของหลิงหลานเหนือกว่าเขามากไปจริงๆ สำหรับหลิงหลานแล้ว กระบวนท่าแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย

หลิงหลานโยกกายน้อยก็หลบการโจมตีต่อเนื่องของหลินจงชิงอย่างฉับไว และเธอก็เข้าสู่สภาวะประหลาดเหมือนกับตอนต่อสู้พัวพันกับจ่าฝูงห้าตัวด้วยความโชคดีมาก หลิงหลานไม่รู้ว่าจะควบคุมสภาวะแบบนี้ยังไง ดังนั้นจะเข้าไปได้หรือไม่นั้นยังต้องดูโชคของหลิงหลานด้วยว่าเป็นยังไง

เมื่อเธอเข้าสู่สภาวะนี้แล้ว การโจมตีทั้งหมดของหลินจงชินต่างก็เป็นจุดอ่อนในสายตาของหลิงหลาน เธอใช้แค่หมัดเดียวก็สามารถล้มหลินจงชิงได้ เพียงแต่ตอนนี้หลิงหลานเห็นหลินจงชิงกัดฟันแน่นต่อสู้สุดความสามารถ ใบหน้าที่แสดงความโกรธและความไม่ยอมแพ้ทำให้หลิงหลานตัดสินใจรอต่อไปอีกหน่อย

ทักษะการต่อยของหลินจงชิงไม่ได้มีกระบวนท่ามากเท่าไหร่ หลิงหลานเห็นการโจมตีซ้ำเป็นครั้งที่สองก็รู้ว่าควรจะจบลงได้แล้ว

หลิงหลานไม่ได้ทำอะไร เธอเพียงแต่กำหมัดธรรมดาแล้วโจมตีไปที่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในสายตาของเธออย่างรุนแรง

ผัวะ! กำปั้นของหลิงหลานโจมตีไปที่เนื้อนิ่มๆ จากนั้นเขาก็ถูกเธอโจมตีจนกระเด็นลอยออกไปราวกับลูกปืนใหญ่ ก่อนจะกระแทกกับพื้นของสังเวียนอย่างหนักหน่วง

แค่หมัดเดียวนี้ หลินจงชิงก็ถูกโจมตีและจนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะลุกขึ้นมา

นักเรียนที่ชมการต่อสู้ทั้งหมดต่างทำหน้าอึ้งไป หรือว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างนักเรียนห้องสเปเชียลเอ แต่ว่าเป็นห้องสเปเชียลเอต่อสู้กับห้องทั่วไป? พวกเขาย่อมรู้ดีว่า ถึงแม้ห้องสเปเชียลเอจะจัดอันดับกันที่ห้าสิบคน แต่ความจริงแล้วความสามารถของนักเรียนทุกคนใกล้เคียงกัน แทบจะพูดได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ว่าฉากตรงหน้านี้ได้ทำลายสิ่งที่พวกเขารับรู้มา เด็กห้องสเปเชียลเอก็มีความแตกต่างราวกับฟ้าและดินด้วยเหรอ?

“นายแพ้แล้ว” หลิงหลานกล่าวกับคนที่นอนอยู่บนสังเวียนไม่ยอมลุกขึ้นมาด้วยความเฉยชา ถึงแม้ว่าหมัดของเธอจะดูเหมือนหนักมาก แต่สำหรับฝ่ายตรงข้ามแล้ว มันสร้างความเสียหายไม่ได้แน่นอน

……………………………………………..