บทที่ 53 ปรมาจารย์ทั้ง 4

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานโดนมีดฟันไปหลายครั้ง สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขาปล่อยหมัดและแข้งสวนออกไปยังเหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ในระยะประชิด!

“ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก!”

“กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ!”

“อ๊าก!!”

เสียงหมัดและแข้งหักกระดูกเหล่าบอดี้การ์ดรอบ ๆ ดังขึ้น อย่างต่อเนื่องตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสยดสยองดังระงมขึ้นในห้องโถงอย่างไม่ขาดสาย

บรรดาบอดี้การ์ดต่างตัวลอยละลิ่วกันไปทีละคนสองคนและกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง

ขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานเป็นเหมือนเสือที่อยู่ท่ามกลางฝูงแกะ และ กำลังไล่ขย้ำเหล่าแกะที่น่าสงสัยเหล่านี้อย่างเมามัน

“ป..ปีศาจ ช่วยด้วย! อั่ก!”

“ย…อย่า..เข้ามานะ…อั่ก!”

แค่เพียงเวลาไม่ถึง 2 นาที บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหมดหลายสิบคน ก็นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นในสภาพที่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือว่าตาย ตอนนี้ ในห้องโถงเหลือแค่เพียงอู๋หมิ่นเท่านั้นที่ยังสบายดีอยู่ เพราะอวี้ฮ่าวหรานยังไม่ได้แตะต้องเขา

มันคือการฆ่าล้างแค่เพียงฝั่งเดียว!

“เหอะ นี่แกคิดจริง ๆ เหรอว่าพวกปลายแถวนี้จะทำอะไรฉันได้?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นกับอู๋หมิ่นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย สภาพของเขา ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้มาแม้แต่น้อย เขาไม่มีแม้แต่อาการหายใจแรง อย่างเดียวที่เห็นว่าผิดปกติก็คือเสื้อที่ขาดยับเยินก็แค่นั้น

น่าประหลาดใจที่ทางด้านของอู๋หมิ่น เมื่อเห็นเช่นนี้ว่าบอดี้การ์ดของเขาถูกกำจัดไปหมดเรียบร้อย แต่เขาก็ยังคงสีหน้าสงบอยู่ได้

“แกนี่แข็งแกร่งดีจริง ๆ ตระกูลฉัน ฉัน เส้าฮัว มองแกผิดไป ฉายาลูกเขยขยะมันไม่เหมาะกับแกจริง ๆ อันนี้ฉันยอมรับ นับว่าเป็น โชคดีของหลี่ชงซาน จริง ๆ ที่มีลูกเขยอย่างแก”

“แต่มันก็แค่นั้นแหละ ไม่ว่าแกจะเก่งสักแค่ไหนแต่มันก็อย่างที่ฉันพูดไป ไม่ว่าจะยังไงวันนี้แกต้องตายที่นี่!”

ถึงแม้อู๋หมิ่นจะเห็นแล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานนั้นแข็งแกร่ง แต่ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาก็ยังคงมีความมั่นใจ ซึ่งนั่นเป็นเพราะบอดี้การ์ดเหล่านี้ไม่ใช่ไพ่ตายของเขา!

“เอาล่ะตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะแสดงให้แกเห็นว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด และคำว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”

เมื่อพูดจบ อู๋หมิ่นปรบมือเบา ๆ และจากนั้นชายสี่คนที่สวมชุด ลายมังกรและเสือก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากหลังม่านตรงมุมห้องโถง ผู้นำกลุ่มซึ่งเป็นชายวัยกลางคนร่างผอมสูง มองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูก

“คุณอู๋ คุณจ่ายเงินให้พวกผมซะแพงแค่เพราะให้มาจัดการ ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้น่ะเหรอ?”

อู๋หมิ่นยิ้มอย่างขมขื่นให้กับชายวัยกลางคนและตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ปรมาจารย์เลิ่ง คุณก็เห็นแล้วว่าไอ้เด็กนี่มันล้ม บอดี้การ์ดของผมได้แบบง่าย ๆ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกต้องขอรบกวนให้คุณจัดการมันให้ผมที”

เห็นได้ชัดว่าคนที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์เลิ่งผู้นี้ เป็นคนที่อู๋หมิ่น ไม่กล้าล่วงเกินด้วยจากท่าทีการพูดที่สุดภาพของเขา

“เหอะ ๆ ไอ้เด็กนี่มันน่าจะเคยฝึกฝนกำลังภายในมาบ้างนิดหน่อย มันไม่แปลกหรอกที่คนของคุณจะสู้ไม่ได้”

ปรมาจารย์เลิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองสำรวจไปที่อวี้ฮ่าวหราน ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูถูก และเมื่อเขาพบว่าฝั่งตรงข้าม เป็นแค่เพียงชายหนุ่มอายุ 20 ต้น ๆ เท่านั้น เขาก็บังเกิดความริษยาในใจ ในตอนที่เขาอายุ 20 ต้น ๆ เขายังแกร่งไม่ถึงครึ่งของไอ้หนุ่มนี่เลย ไอ้เด็กนี่มันฝึกมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่มันรึไง?

“ไอ้หนุ่ม ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยมีความบาดหมางกันมาก่อน แต่วันนี้ฉันจำเป็นต้องฆ่าแกที่นี่!”

“ศิษย์พี่ ไอ้หนุ่มนี่มันอายุแค่ 20 ต้น ๆ เท่านั้นเอง ผมคิดว่ามันคง ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ากำลังภายในคืออะไร ปล่อยให้พวกผมจัดการมันเอง จะดีกว่า ศิษย์พี่ไม่ต้องเปลืองแรงลงมือด้วยตัวเองไปหรอก”

กลุ่มคนที่มาใหม่พูดถึงอวี้ฮ่าวหรานอย่างดูถูก ราวกับว่าตอนนี้ชะตากรรมของอวี้ฮ่าวหรานได้ถูกตัดสินแล้วว่าต้องตายแน่ ๆ

ในกลุ่มพวกเขาทั้งหมดคนที่ดูหนุ่มที่สุดมีอายุราว 35 ปี ซึ่งฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา จัดว่าเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาไปหลายขั้นเรียบร้อยแล้ว

“ศิษย์พี่ดูสิไอ้หนุ่มนี่มันไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวเลย ดูเหมือนว่ามันคงจะยังไม่รู้ว่าพวกเราน่ากลัวขนาดไหน หึหึหึ”

ขณะนี้อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่กลุ่มคนที่มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา

ไอ้มดแมลงพวกนี้หาว่าข้าเนี่ยนะเป็นเด็ก?

ข้าคือคนที่มีชีวิตอยู่มามากกว่า 3 หมื่นปี แต่ไอ้มดแมลงพวกนี้ กลับหาว่าข้าเป็นเด็กเนี่ยนะ?

น่าขำสิ้นดี!

อู๋หมิ่นในตอนนี้เองก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรายิ่งกว่าเดิมเช่นกัน กลุ่มคนพวกนี้เขาใช้เงินจ้างมาแพงมาก ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธถึงขั้นมีสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในกันทั้งนั้น

ถึงแม้ว่าอู๋หมิ่นจะไม่คิดว่าอวี้ฮ่าวหรานจะเก่งกาจถึงขั้นมีกำลังภายใน แต่เขามีนิสัยที่ชอบทำอะไรรัดกุมดังนั้นเขาจึงลงทุนจ้างคนเหล่านี้มาถึง 4 คนในคราวเดียว เพื่อป้องกันเรื่องที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้น

หลังจากดูถูกอวี้ฮ่าวหรา ไปจนพอสมควรแล้ว กลุ่มชาวยุทธ ก็เริ่มลงมือพุ่งตัวเข้าหาอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาไม่อยากจะเสียเวลากับคน ที่พวกเขาคิดว่าอ่อนแอให้มากเกินไป

“เหอะ มดแมลงอย่างพวกแกก็อวดดีต่อเทพผู้นี้งั้นเหรอ?”

จู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานตะโกนขึ้นพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณไปทั่วร่าง

“หืม? ทำไมจู่ ๆ ไอ้หนุ่มนี่มันถึงดูแข็งแกร่งขึ้นมาชั่วพริบตา? มันเกิดอะไรขึ้น?”

ปรมาจารย์เลิ่งสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอวี้ฮ่าวหราน แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาไม่คิดว่าฝั่งตรงข้ามจะต่อกรอะไรกับเขาได้ต่อให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาอีก เขายังคงพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานต่อไปด้วยความมั่นใจ

“ไอ้หนุ่มฉันจะระเบิดสมองแกด้วยหมัดของฉัน แกไม่ต้องห่วงว่าแกจะทรมานก่อนตายนี่เป็นความปราณีจากฉัน!”

“ตาย!”

หมัดนี้ของปรมาจารย์เลิ่งอัดพลังปราณของตัวเองเข้าไปเต็ม ๆ มันมีอำนาจพอที่จะต่อยรถสิบล้อให้ถอยไป 10 เมตรได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่รอดแน่ ทางด้านกลุ่มคนที่มากับอาจารย์เลิ่งอีก 3 คนที่ยังไม่ได้ลงมือ เมื่อเห็นภาพนี้ก็ส่ายหัวด้วยความระอาใจ พวกเขาเตรียมตัวที่จะกลับไปยังที่พำนักของพวกเขาทันที พวกเขาคิดว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทาง รอดแน่นอนเช่นกัน

แต่แล้วในขณะที่ทุกคนคิดว่าอวี้ฮ่าวหรานต้องตายแน่นอนในวินาทีที่หมัดกำลังจะพุ่งไปสัมผัสศีรษะของอวี้ฮ่าวหรานนั้น จู่ ๆ มันกลับหยุดลง!

“ผลั่ก!”

“เหอะ ก็แค่หมัดของมดแมลง!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก เขายื่นมือออกไปกุมหมัด ของฝั่งตรงข้ามเอาไว้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันเป็นหมัดของเด็กอนุบาล

“นี่มัน!?”

ปรมาจารย์เลิ่ง ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหมัดของเขาถูกหยุดเอาไว้แบบง่าย ๆ โดยฝั่งตรงข้าม

“กร๊อบ!!”

พลังปราณที่อ่อนแอที่สถิตอยู่ในหมัดของปรมาจารย์เลิ่งถูกลบล้างไปโดยพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหรานอย่างง่ายดายจากนั้นสิ่งที่ตามมา ก็คือ อวี้ฮ่าวหรานกำหมัดของฝั่งตรงข้ามแรงกว่าเดิมบดขยี้กระดูกมือของฝั่งตรงข้ามจนแหลกละเอียด!