ตอนที่ 67 คืนส่งตัวเจ้าสาว (2)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ซั่งกวนเจวี๋ยสะดุ้งตื่นเพราะคอแห้งผาก!

เขาไม่รู้ตัวว่าได้ดื่มสุราไปเท่าไร แต่ที่ชัดเจนก็คือนอกจากพวกที่มีครอบครัวไม่กี่คนนั้นแล้ว คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ล้วนแต่พยายามกรอกสุราให้ตนเองดื่มทั้งสิ้น ในนั้นมีฉีอวี่ฮ่าว หวงฝู่หลินยวน มู่หรงปั๋วอวี่ สามคนนี้เป็นหลัก พวกเขานั้นดูปรารถนาอย่างยิ่งที่จะโยนตัวเขาเข้าไปแช่ในไหสุรา หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ขวางไว้ คนพวกนั้นที่ดื่มสุราเข้าไปมากทั้งยังเมาคลั่งจนได้ที่ก็คงมาสนุกต่อที่เรือนหอเป็นแน่!

ซั่งกวนเจวี๋ยเมื่อลืมตาอย่างพร่าเลือนขึ้นก็คิดอยากจะหยัดกายขึ้นดื่มน้ำ ม่านเหลียนและม่านเหอรู้ดีว่าแม้เขาจะดื่มสุราได้ไม่มาก แต่หลังจากดื่มแล้วกลับควบคุมสติได้ดี ดื่มเมาหัวถึงหมอนแล้วก็หลับทันที พอตื่นขึ้นมาก็จะกระหายน้ำ ดังนั้นหัวเตียงคงจะมีน้ำเย็นเตรียมวางไว้แล้ว ทว่าแรงกดทับที่หัวไหล่กลับทำให้เขาจำต้องลืมตาขึ้นมา…ใบหน้าที่จมอยู่ในห้วงนิทราได้ปรากฏสู่ในสายตา

ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นคืนส่งตัวเจ้าสาวของตนเอง และหญิงสาวงดงามที่มีใบหน้าอ่อนหวาน หลับพริ้มตาอยู่ในฝันด้วยรอยยิ้มนี้ก็เป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เจ้าสาวของตน

อืม…งามหมดจดยิ่งกว่าตอนที่แต่งตัวเต็มยศเสียอีก ไม่มีเครื่องแป้งพวกนั้นมาเติมแต่ง ใบหน้าที่พริ้งเพราอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งเผยความฉลาดปราดเปรื่องให้เห็นอย่างชัดเจน เป็นดั่งที่จิงอิ๋งกล่าวจริงๆ นอกจากมู่หรงชิงหวั่นแล้ว ก็ไม่มีหญิงสาวคนใดงามเทียบเทียมเท่านางได้อีก

อาจจะเป็นเพราะสายตาของเขา เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงรู้สึกได้ กระนั้นกลับไม่ยอมที่จะตื่นโดยดี ใบหน้าปรากฏร่องรอยความไม่เต็มใจเท่าใด อิงแอบถูกับไหล่เขาไปมา ดูคล้ายกับลูกแมวขี้เซาที่ถูกรบกวนเวลานอนตัวหนึ่ง ทั้งคล้อยหลังก็เผยยิ้มหวานออกมา นอนต่อไปอย่างน่าเอ็นดู…

ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อยากรบกวนฝันหวานของนาง แต่มือข้างหนึ่งทั้งร่างครึ่งซีกของเขากลับถูกนางทับไว้อยู่ นอกจากนี้มืออีกข้างก็ถูกมือเรียวยาวและอ่อนนุ่มของนางกุมไว้ หากเขาหยัดกายขึ้น ย่อมต้องทำให้นางตกใจตื่น แต่ถ้าไม่ลุกขึ้น เขาก็ไม่อาจดื่มน้ำได้เช่นกัน ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจมองข้ามความรู้สึกที่ลำคอแห้งผากราวกับจะพ่นควันออกมาได้จริงๆ

“อือ…” อย่างไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ธรรมดา นางค่อยๆ ลืมตาอย่างงุนงงอยู่บ้าง มองเห็นใบหน้าที่สง่างามอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม นางก็เปล่งรอยยิ้มออกมาอย่างเฉิดฉาย ยามที่คิดจะนอนต่อจู่ๆ ทั้งร่างก็แข็งทื่อ หวนสติขึ้นมาได้ว่าไม่ได้กำลังอยู่ในฝัน แต่นางได้แต่งกับคนที่ชื่นชอบและแอบมีใจให้มาโดยตลอดผู้นั้น

ซั่งกวนเจวี๋ยถูกรอยยิ้มที่สดใดนั้นจนทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ คล้อยหลังก็มาถูกร่างที่อ่อนนุ่มอย่างคาดไม่ถึงแข็งทื่อขึ้นมา จึงเผลอเผยยิ้มขึ้นตาม ดูท่าแล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ดูปราดเปรื่องถึงเพียงนั้น จะอย่างไรก็เป็นหญิงสาวที่ดูมึนๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เก็บรอยยิ้มกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเด้งตัวออกมาจากซั่งกวนเจวี๋ยไวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก…นางจำได้แล้ว ก่อนหน้านี้ตนเองเอาแต่แอบกินเต้าหู้[1]ซั่งกวนเจวี๋ย จากนั้นเห็นใบหน้าที่หลับใหลของเขา ตัวเองก็ง่วงตามไปด้วย จึงได้อิงแอบข้างกายเขาล่วงสู่นิทราไปเช่นนั้น…

“ท่านกระหายน้ำหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างนุ่มนวล น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นนอนนั้นดูเนือยๆ อยู่บ้างพูดไปพลางก็ลงจากเตียงไปพลาง “ท่านกินน้ำแกงสร่างเมาสักหน่อยแล้วค่อยดื่มน้ำเถิด พรุ่งนี้จะได้รู้สึกสบายหน่อย”

“อืม!” ซั่งกวนเจวี๋ยตอบรับอย่างง่ายๆ เห็นเงาร่างที่เพรียวบางของนาง ในใจก็ปรากฏความเอ็นดูขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบ เต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่นางก็ล้วนเป็นภรรยาของเขาแล้ว หญิงสาวที่ถูกกำหนดให้อยู่ข้างกายเขาทั้งชีวิตคนนั้นนางดูอ่อนโยนและจิตใจดี ย่อมต้องเป็นภรรยาที่ทำให้ตนเองหมดกังวลเป็นแน่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกน้ำแกงสร่างเมาเข้ามาอย่างระมัดระวัง เห็นซั่งกวนเจวี๋ยหยัดกายขึ้นนั่ง แก้มทั้งสองข้างกลับแดงฝาดขึ้นมา…เสื้อด้านหน้าของเขาถูกปลดกระดุมออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีน้ำตาลอ่อน แต่เหตุผลที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์หน้าแดงนั้นกลับเป็นเพราะว่ายามที่แอบลวนลามได้ปลดกระดุมออก แต่เมื่อถูกความง่วงครอบงำจึงลืมทำให้เป็นดั่งเดิม ทั้งไม่ได้ทำลายหลักฐานก็หลับไปทั้งอย่างนั้น

ซั่งกวนเจวี๋ยคว้าน้ำแกงสร่างเมาที่ยังอุ่นอยู่เล็กน้อยดื่มจนเกลี้ยง ก่อนจะส่งถ้วยคืนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง เห็นนางยื่นน้ำอุ่นมาให้ทันที ก็รับมาดื่มหมดในรวดเดียว

“นี่มันกี่ยามแล้ว?” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยถามออกมา คล้อยหลังก็ส่ายศีรษะอย่างขบขัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เพิ่งตื่นเช่นเดียวกัน จะรู้ได้อย่างไรล่ะ?

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมองเทียนมงคลที่ใกล้จะมอดดับก่อนกล่าว “น่าจะใกล้ล่วงสู่ยามอิ๋น[2]แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของพวกสาวใช้เลย”

คนอื่นนางไม่รู้ แต่พวกจื่อหลัวลู่หลัวล้วนตื่นประมาณยามเหม่า[3]เป็นปกติอยู่แล้ว อาบน้ำสางผมเสร็จก็จะคอยอยู่ด้านนอกห้อง รอเวลาที่นางตื่นนอน แต่ยามนี้กลับยังไม่เห็นพวกนางมีการเคลื่อนไหวอันใด

พูดประโยคนี้จบ ทั้งสองคนก็ล้วนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรต่อ พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง ทั้งไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอันใดมาพูดเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดแปลกๆ นี้ดี

“เจ้า…”

“ท่าน…”

เอ่ยขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อคิดจะทำลายบรรยากาศอันน่าหงุดหงิดนี้ลง กระนั้นกลับเป็นเพราะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายจึงกลืนก้อนคำพูดลงไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมข้างเตียงเช่นนั้น ทั่วทั้งตัวล้วนรู้สึกไม่สบาย มักจะรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ก่อนความคิดในใจจะผุดขึ้นมาอีกครั้ง…เหตุใดต้องเป็นเขาล่ะ? ถ้าหากไม่ใช่เขา นางย่อมมีวิธีนับร้อยนับพันที่จะรับมืออย่างแน่นอน

“เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยเถิด ข้าคุ้นชินที่จะตื่นเช้าฝึกวรยุทธ์ จะออกไปก่อนแล้วกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยฉวยโอกาสยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงียบไปชั่วครู่กล่าวขึ้นมา แม้แต่เทพเซียนก็ยังรู้ว่ายามนี้เขายังเมาค้างไม่สร่างดี ในหัวคล้ายกับมีคนตัวเล็กๆ หลายร้อยคนกำลังมะรุมมะตุ้มทะเลาะกันอยู่ แต่เพื่อจะไม่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งทื่ออย่างทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างเตียงอยู่เช่นนั้น เขาที่เป็นผู้ชายจึงทำได้เพียงให้ตนเองเป็นฝ่ายเสียสละ มีน้ำใจให้กับภรรยาคนใหม่เสียหน่อย

              “อาการเมาของท่านยังไม่สร่างดี อย่างไรก็นอนต่ออีกสักหน่อยเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนความเขินอายกล่าวออกไป “อย่าได้ใส่ใจมากเลย เป็นข้าเองที่ไม่ดี ไม่อาจปรับตัวได้ในเวลาอันสั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว”

ใช่แล้ว! เป็นสามีภรรยากันแล้ว! ซั่งกวนเจวี๋ยมองใบหน้าที่แฝงด้วยความขวยเขิน หัวใจก็ค่อยๆ เต้นขึ้นมาอย่างเงียบเชียบด้วยความอบอุ่น ได้ภรรยาที่งดงามและอ่อนโยนถึงเพียงนี้นับเป็นความโชคดีของเขา เขาก็ควรจะรู้จักพอแค่นี้! เขาเผยใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มออกไปทั้งผงกศีรษะ ก่อนจะเอนตัวนอนลงไปอีกครั้ง กักเก็บดวงตาที่ดูหลักแหลมคู่นั้นและเสียงหัวเราะที่ใสกังวานราวกับกระดิ่งเงินไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ เขาเป็นชายที่มีภรรยาแล้ว ไม่ควรจะเพ้อหวังฝันลมๆ แล้งๆ ที่ไกลเกินเอื้อมเช่นนั้น…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลับไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย นางหยัดกายขึ้นอย่างแผ่วเบา ดึงมุ้งที่เดิมทีปกคลุมอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นไป ทั่วทั้งในมุ้งล้วนมีกลิ่นไอสุราที่แผ่ออกมาจากซั่งกวนเจวี๋ย แม้ว่านางจะชอบดื่มสุรา ทั้งยังดื่มได้เกินกว่าที่คนปกติทั่วไปจะทำได้ แต่ก็ยังนับว่าไม่ชอบกลิ่นเช่นนี้อยู่ดี เก็บมุ้งขึ้นไปจะได้ระบายกลิ่นสุราออกไปบ้าง จากนั้นก็แง้มหน้าต่างทั้งสองบานเล็กน้อยให้อากาศบริสุทธิ์ได้เข้ามา คล้อยหลังเมื่ออากาศถ่ายเทแล้ว กลิ่นเหม็นก็จางหายไป

ยามที่กลับมาที่เตียงอีกครั้ง ซั่งกวนเจวี๋ยก็คล้ายจะหลับลึกแล้ว ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ท่าทีที่สงบนิ่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองอย่างลุ่มหลงอยู่สักพักใหญ่ พบว่าสีหน้าของเขาแดงเล็กน้อย เมื่อยื่นมือไปจับก็มีเหงื่อออกอยู่บ้าง ดูท่าแล้ว ฤทธิ์สุรายังไม่สร่างดี นางหยัดกายขึ้นอีกครั้ง เข้าไปหยิบเอาพัดแบบกลมออกมาจากหีบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะย้อนกลับมาพัดเบาๆ ให้เขาเย็นสบาย

นึกไม่ถึงว่า ซั่งกวนเจวี๋ยเดิมทีก็ไม่ได้หลับลึกแต่อย่างใด แต่กำลังอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นต่างหาก การกระทำอย่างเอาใจใส่ของนางเช่นนี้ ล้วนตกอยู่ในสายตาของซั่งกวนเจวี๋ยทั้งหมด รู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง ในใจนั้นได้เติมข้อดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในด้าน ‘เห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ และ ‘เอาใจใส่อ่อนโยน’ ลงไป และก็เป็นเพราะลมเย็นที่พัดโชยมาเป็นครั้งคราวนั้น จึงค่อยๆ ทำให้เขาดำดิ่งลึกในนิทราอีกครั้ง…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของนางจะทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อนางขึ้นมา เพียงแค่อยากอาศัยความน่าสงสารและเอ็นดู ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง นางจึงพิงกายครึ่งหนึ่งไปบนเตียงทั้งอย่างนั้น โบกพัดอย่างแผ่วเบา รู้สึกเงียบสงบและสุขสบายอยู่ในใจ ทุกการกระทำที่ใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนักมายี่สิบกว่าวันนี้ ทั้งบางทีอาจจะเสียเวลาเปล่า แต่กระนั้นในใจของนางกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก…

บางที…ไม่สิ ตั้งแต่สองปีก่อนท่านป้าก็คงเห็นนางและพวกซั่งกวนเจวี๋ยห้าคนพูดคุยร่ำสุรากันอยู่ที่นั่น ทั้งยังรู้ถึงฐานะของซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคงมองออกว่านางแอบมีใจให้ซั่งกวนเจวี๋ยจากการที่นางและซั่งกวนเจวี๋ยได้เคล้าคลอประสานเสียงเพลงใบไม้ที่ปลิดปลิวท่ามกลางวสันตฤดูร่วมกัน ทั้งไม่อยากให้ตนเองได้รู้ว่า ‘คุณชายที่เป่าขลุ่ย’ ผู้นั้นก็คือซั่งกวนเจวี๋ย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อให้ตนได้เผชิญการแต่งงานอย่างเต็มใจและรอคอยอย่างมั่นใจ อีกด้านหนึ่งกลับเพราะรู้สึกผิดต่อตน ดังนั้นจึงปิดบังอยู่เรื่อยมาอย่างนั้นสินะ! แต่ว่า ท่านป้าก็รู้มาโดยตลอดว่าตนอยากหลบหนีจากงานแต่งงานครั้งนี้ สิ่งที่ขาดก็เพียงคนหนึ่งที่เป็นแรงกระตุ้นและเป็นเหตุผลที่สามารถทำให้ตนรู้สึกหมดห่วงเท่านั้น แต่ความรักที่นางมีต่อซั่งกวนเจวี๋ยและความรู้สึกเกลียดชังที่ท่านป้ามีต่อตระกูลซั่งกวน ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว ดังนั้นท่านป้าคงกังวลว่าหากตนเองจากไปแล้ว ตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะหลบหนีงานแต่งงานโดยไม่สนใจอะไร จึงได้บีบบังคับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคำสาบานก่อนที่นางจะจากไป เพื่อให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้เข้าร่วมงานแต่งงานแต่โดยดี และก็เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องห่วงสิ่งใด!

แม้จะไม่รู้ว่าได้มีคนหนึ่งยอมเสียเงินเปล่าเพื่อแลกกับการปกป้องคุ้มครองตนเอง กระนั้นกลับเชื่อเป็นอย่างมากว่าแม้ตนเองจะออกจากบ้านมาเพียงแต่ตัว ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายแน่นอน แต่ตนเองก็เป็นคนที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาผู้หนึ่ง ย่อมต้องการหาโอกาสค้นหา ‘คุณชายที่เป่าขลุ่ย’ ให้พบอยู่แล้ว และในเวลานั้นก็ได้พบว่าเขาเป็นคนที่ได้แต่งงานกับตนเอง ตัวนางจึงยากที่จัดการกับความคิดอยู่บ้าง มิน่าเล่าท่านป้าจึงพูดว่าตนเองจะต้องชอบซั่งกวนเจวี๋ยอย่างแน่นอน และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ท่านป้ายอมพาความแค้นทั้งหมดจากไป ก็เพราะต้องการไม่ให้ตนเองได้แปดเปื้อน…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโศกเศร้า ท่านแม่ทิ้งจดหมายไว้ให้นางฉบับหนึ่ง ให้ท่านพ่อนำมาให้ตนโดยเฉพาะ แล้วท่านป้าล่ะ? ทางด้านเซียงเสวี่ยจะมีจดหมายลาตายจากท่านป้าบ้างหรือเปล่า? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง นางยังอยากรู้อีกว่าคนที่ตัวติดเป็นดั่งเงากับเซียงเสวี่ยผู้นั้นไปอยู่ที่ใดกันแล้ว? เดิมคิดว่าท่านป้าต้องการให้ตนเองแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน เพื่อที่จะตัดขาดกับโลกทางยุทธภพทั้งหมด ทั้งดึงตัวเองออกมาจากทุกอย่างที่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับยุทธภพ แต่กลับได้พบกับเซียงเสวี่ยอย่างไม่คาดคิด ยิ่งไม่คาดคิดอีกว่าเซียงเสวี่ยจะเตรียมสาวใช้เพื่อเป็นสินของเจ้าสาวไว้อย่างเรียบร้อยก่อนที่ท่านแม่จะจากไปเสียอีก กระนั้นกลับลืมคิดไป ในเมื่อเซี่ยงเสวี่ยยังอยู่ เช่นนั้นท่านป้าอาจจะฆ่าใครทิ้งแทนก็เป็นได้ เช่นนั้นนางจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ? บางที…

พัดในมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปชั่วครู่ หรือว่าคนผู้นั้นถูกท่านป้าจัดการส่งมาที่ลี่โจวแล้ว? เป็นไปได้อย่างยิ่ง! จำได้ว่าท่านป้าเคยบอกว่า นางเคยลอบสังหารซั่งกวนฮ่าวมาเจ็ดครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เช่นนั้นนางย่อมคุ้นเคยกับเมืองลี่โจวและตระกูลซั่งกวนเป็นอย่างดีแน่ จากนิสัยของท่านป้า ต้องมีที่พำนักอยู่ชั่วคราวในลี่โจวที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นสถานที่นั้นคือที่ใดกันล่ะ?

ก่อนเสียงจากด้านล่างเรือนจะดังขึ้นมารบกวนความคิดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของจื่อหลัวและหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่ง อาจจะเป็นม่านเหลียนหรือไม่ก็ม่านเหอที่เฝ้ากะดึกอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพวกนางเดินขึ้นเรือนมา ก่อนจะยืนอยู่ด้านหน้าประตูดังที่คาด จื่อหลัวค่อยๆ เรียกนางอย่างแผ่วเบา “สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ…”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นอย่างเงียบเชียบไปเปิดประตู เห็นจื่อหลัวและม่านเหลียนยืนอยู่ตรงประตูด้านนอก นางก็ทำมือบอกเป็นนัยว่าให้เบาๆ หน่อย ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “จะต้องไปอาบน้ำสางผม เตรียมเข้าไปไหว้ฮูหยินใหญ่ นายท่านและฮูหยินแล้วใช่หรือไม่?”

ม่านเหลียนผงกศีรษะ ดูเหมือนสะใภ้ใหญ่จะตื่นนานแล้ว แต่คุณชายของตนอาจจะยังหลับอยู่

“เสื้อผ้าของข้าเก็บออกมาหมดแล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามจื่อหลัว

“จินหรุ่ยกำลังไปหยิบมาจากในหีบเจ้าค่ะ ชุดที่สะใภ้ใหญ่ต้องการสวมในวันนี้ยังไม่ได้เก็บออกมาเจ้าค่ะ” จื่อหลัวกล่าวเสียงเบา “ดูเหมือนว่ามีคนจงใจนำหีบนั้นไปวางไว้ด้านล่างสุด เมื่อวานยามที่จินหรุ่ยกำลังจะหา คุณชายใหญ่ก็กลับมาห้องแล้วเจ้าค่ะ!”

“ข้าจะไปอาบน้ำสางผมแต่งหน้าก่อนแล้วกัน ลดเสียงลงหน่อย อย่าได้รบกวนการนอนของคุณชายเข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันกับแม่นมเฒ่าเมื่อวานที่มีตาหามีแววไม่ผู้นั้นเป็นแน่ บางทีก็อาจจะมีคนไม่อยากเห็นนางอยู่อย่างเฉิดฉายสบายๆ อาจจะเป็นทั่วป๋าฉินซินที่ไม่มีสมองแต่กลับคิดมาดร้ายผู้นั้น และก็อาจจะเป็นคนของฮูหยินใหญ่ก็ได้ นางถือเป็นย่าของทั่วป๋าฉินซิน ย่อมต้องหวังให้หลานสาวเกี่ยวดองกับตระกูลซั่งกวน ส่วนตัวนางก็ต้องขัดขวางพวกเขาอย่างแน่นอน บางครั้งการกระทำเล็กๆ บางอย่างนั้นก็ไม่คุ้มค่าที่จะให้สนใจแม้แต่น้อย แต่ว่า…ในเมื่อซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่นางชอบคนนั้น เช่นนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้พวกนางสาดน้ำโคลนใส่ตนอยู่อย่างนี้ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดในใจอย่างเรียบนิ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะผุดพรายรอยยิ้มออกมา เรียกม่านเหลียนให้เข้ามา ทั้งกำชับให้จื่อหลัวไปพาสาวใช้คนอื่นๆ เข้ามาเบาๆ…

———————————–

[1] กินเต้าหู้ อุปมาว่าลวนลาม

[2] ยามอิ๋น เวลาประมาณ 03:00 – 04:59

[3] ยามเหม่า เวลาประมาณ 05:00 – 06:59