“ข้าคิดเล็กคิดน้อยหรือท่านพี่พูดจาแทงใจดำกันแน่ ถึงแม้ตัวข้าจะไม่ได้ก้าวออกจากเรือน ทว่าข้าก็รู้สึกตกใจและหวาดกลัวมาหลายวัน ตั้งแต่ที่ท่านพี่และเหล่าคุณชายเดินทางไปเขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซี ใจของข้าก็ไม่เคยรู้สึกวางใจแม้แต่น้อย! สองวันมานี้ ข้ารู้ดีว่าท่านพี่เหน็ดเหนื่อยมาก ท่านพี่จึงอารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นก็เลยเอาข้ามาเป็นที่ระบายอารมณ์…” พูดจบ เหยาเฟิ่งเกอก้มหน้าร่ำไห้ต่อ
“พอเถอะๆ!” ดวงใจดวงนี้ของซูอวี้เสียงทั้งเจ็บปวดและอ่อนแอ จึงรีบดึงตัวนางเข้ามาปลอบในอ้อมกอด “ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรถือโทษเจ้า อย่าร้องไห้เลย ไม่เช่นนั้นบุตรของพวกเราก็จะไม่มีความสุขไปด้วย หากบุตรในท้องไม่มีความสุข อาจจะเตะท้องเจ้าด้วยนะ”
เหยาเฟิ่งเกอพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นยกยิ้ม “พูดจาเหลวไหว บุตรของข้าจะเตะได้อย่างไร ในเมื่ออายุครรภ์ของข้ายังไม่เท่าไรเลย”
ซูอวี้เสียงหัวเราะ แล้วเอนกายมาเบื้องหน้า ใช้นิ้วมือแตะไปยังท้องน้อยของเหยาเฟิ่งเกอและพูดตลกด้วยรอยยิ้ม เหยาเฟิ่งเกอบิดลำตัว ทำท่าทางออดอ้อน ทั้งสองถือว่าคืนดีกันแล้ว หลังจากที่กินอาหารค่ำและอาบน้ำเสร็จ จึงได้สั่งให้สาวใช้และผัวจื่อออกจากเรือน ทั้งสองคนพิงอยู่บนตั่งไม้แล้วพูดคุยหยอกเย้ากัน
“พูดตามตรง น้องรองเป็นคนที่โดดเด่น พิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้ากล้าพูดได้ว่า หมอหลวงในสำนักหมอหลวงยังต้องยอมแพ้ หันซังเกอไข้ขึ้นสูงและสะลึมสะลือจนไม่รู้ความ เยี่ยนอวี่เชื่อมต่อเส้นเอ็นและเย็บแผลเสร็จ จากนั้นก็ทายาและพักผ่อนไปหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีชีวิตชีวาสามารถที่จะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขได้! ข้ามองดูเขาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็นจนไม่อาจเดินเหินบนพื้นได้นั้น ป่านนี้เขาก็คงอยากจะขี่ม้ากลับเข้าเมืองด้วยตนเองเสียแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอดูนิ่งสงบกว่าซูอวี้เสียงมาก นางรู้ว่าตอนนี้คนที่ซูอวี้เสียงเป็นกังวลที่สุดก็คือตนเอง เขาเพียงแค่มีความคิดได้หนึ่งจะเอาสองต่อเหยาเยี่ยนอวี่เท่านั้น แค่ว่า ตอนกลางวันหลังจากที่ซุนซื่อกลับมาจากวัดต้าเจวิ๋ย ก็ได้พูดคำพูดไม่กี่คำที่ไม่ลื่นหูกับตน บอกว่าอะไร องค์หญิงเอ๋อร์หวงและหนู่ร์อิง ทั้งสองพระองค์ได้ออกเรือนให้กับสามีคนเดียวกัน บอกว่าสองพี่น้องสามัคคีและร่วมใจกัน คิดๆ แล้วนางก็รู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก
“อย่างไรก็ตาม เยี่ยนอวี่ไม่เพียงเป็นแค่น้องสาวของข้า แต่ยังเป็นผู้ที่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ อีกอย่างดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว จวนเจิ้นกั๋งกงและองค์หญิงใหญ่คงจะเปลี่ยนมุมมองในการมองนาง อีกทั้งท่านพ่อของข้าก็คงไม่ยินยอมให้นางได้กลายเป็นอนุภรรยาของคนอื่นแน่นอน ถึงแม้จะเป็นอนุภรรยาที่ถูกธรรมนองคลองธรรมก็ตาม ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านพี่ก็อย่าได้คิดอะไรเช่นนั้นเลย”
“พูดอะไรเช่นนี้อีกแล้ว” ซูอวี้เสียงขมวดคิ้วขึ้น “เอาแต่พูดถึงเรื่องเป็นๆ ตายๆ ทั้งวันทั้งคืน ดีหรือไร”
เหยาเฟิ่งเกอพึมพำเสียงเบา และไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก การที่นางแสแสร้งออดอ้อนและแกล้งทำตัวโง่เขลาก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ทว่าการแสแสร้งเกินไปเกรงว่าจะไม่ดี
สองสามีภรรยาเสวนากันดีๆ ไม่ถึงสองประโยค จากนั้นซูอวี้เสียงก็ไม่ยอมพูดให้มากความอะไรอีก เพียงแต่ว่าเขาจะออกจากเรือนก็ไม่ดี จึงได้นั่งอยู่กับนางด้วยความอึดอัดใจ หลังจากที่เขาพยายามผ่อนคลายไม่ไปคิดอะไร ทั้งร่างของเขาก็รู้สึกเมื่อยล้าขึ้นมา จากนั้นเขาก็สะลึมสะลือพิงอยู่บนตั่งไม้จนผล็อยหลับไป
เหยาเฟิ่งเกอเหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปชั่วขณะเท่านั้น เมื่อคิดบางสิ่งได้จึงอยากที่จะพูดคุยกับซูอวี้เสียง ทว่ากลับเห็นเขาพิงอยู่บนตั่งไม้และมีเสียงกรน นางจึงสั่งให้หู่พั่วรีบเข้ามาจัดที่นอน แล้วพยุงเขาไปนอนอยู่บนเตียงนอน
ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ หายใจถี่และลากยาว เหยาเฟิ่งเกอก็นอนไม่หลับ
ความรู้สึกที่ซูอวี้เสียงมีต่อน้องสาวตนเองนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้น้องสาวจะไม่ยินยอมไปเป็นอนุภรรยาของใคร ทว่าหากมีเรื่องที่เสียๆ หายๆ เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าใครจะไม่ยินยอมก็จะสามารถปล่อยปละละเลยเรื่องนั้นไปได้
ใจของบุรุษไม่สามารถมัดตรึงให้อยู่กับที่ได้ เหยาเฟิ่งเกอมองเพดานมุ้งและครุ่นคิดในใจ นางควรคิดหาวิธีอะไรทำให้สามีตายใจกับเรื่องนี้ นางครุ่นคิดจนถึงช่วงเวลายามสี่[1]ก็ยังไม่สามารถคิดหาทางออกได้ จนกระทั่งสุดท้ายตัวนางก็ผล็อยหลับไป หลังจากที่ตื่นนอน สามีของตนก็ลุกออกจากเตียงนอนไปแล้ว
ซานหู หู่พั่วและคนอื่นๆ เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ เหยาเฟิ่งเกออาบน้ำแต่งกายเสร็จ ก็ได้ทานอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายด้วยความเคร่งเครียด จากนั้นหลี่หมัวมัวที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยพูดขึ้น “นายหญิง เมื่อคืนหลับไม่ดีหรือเจ้าคะ”
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจเบาๆ จากนั้นชี้ไปยังที่รองฝ่าเท้าที่อยู่หน้าตั่งไม้ “เจ้านั่งลงเถิด พวกเราพูดคุยกันสักพักหนึ่ง”
หลี่หมัวมัวหันไปมองซานหูแวบหนึ่ง ซานหูจึงพาบรรดาสาวใช้ออกจากเรือน จากนั้นก็ปิดประตูจนสนิท
“นายหญิงรู้สึกเป็นกังวลใจเรื่องของนายท่านและคุณหนูรองใช่หรือไม่” หลี่หมัวมัวนั่งลงบนที่รองเท้าตรงหน้าเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็นวดขาของเหยาเฟิ่งเกอเบาๆ
“เป็นจริงเช่นนั้น” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจด้วยเสียงเบา “ข้าตั้งครรภ์ให้เขาแล้ว ในใจของเขากลับเริ่มมีสตรีอื่น…บุรุษบนโลกใบนี้เป็นเช่นนี้กันทุกคนหรือไร”
“บุรุษนั้นก็เปรียบดั่งแมว ไม่มีผู้ใดที่ไม่เจ้าชู้เจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวทอดถอนหายใจ “ท่านลองดูในจวนติ้งโหวสิเจ้าคะ ฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง ก่อนหน้านี้ท่านติ้งโหวยังลอบไปเริงร่ากับสตรีข้างนอก? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายท่านที่ยังหนุ่มยังแน่น หลายวันก่อนท่านซื่อจื่อก็ได้ซื้อบุตรีของช่างไม้คนหนึ่งกลับมาจากข้างนอก ฮูหยินซื่อจื่อก็ไม่ได้เป็นเช่นไรไม่ใช่หรือเจ้าคะ นายหญิงต้องคิดให้ได้ การมีบุตรเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเจ้าค่ะ”
“หากข้ามีบุตรชายก็ถือว่าดี หากมีบุตรี…” เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกขุ่นเคืองใจยิ่งนัก
หลี่หมัวมัวปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม “มีบุตรีแล้วจะกลัวอะไรอีกเจ้าคะ คลอดบุตรีแล้วก็ยังสามารถคลอดบุตรชายได้ ขอเพียงร่างกายของท่านแข็งแรง มีบุตรมากเท่าใดก็ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ นายหญิงอย่าได้คิดมากเลยเจ้าค่ะ”
“ทว่าเรื่องของเยี่ยนอวี่ ข้าก็ยังไม่สามารถวางใจได้ ถึงแม้นางมักจะหลบเลี่ยงคุณชายสาม ทว่าพวกเรากลับไม่สามารถมัดแขนมัดขาของคุณชายสามไว้ได้ ข้ากลัวว่า…”
หลี่หมัวมัวได้ฟังความเช่นนี้ จึงนิ่งเงียบไปสักพัก
“ถึงเวลาหากเพื่อศักดิ์ศรีและหน้าตาของทั้งสองจวน ต่อให้เยี่ยนอวี่ไม่ยินยอมก็คงไร้ประโยชน์”
หลี่หมัวมัวถอนหายใจแล้วพยักหน้า “คำพูดของนายหญิงกล่าวไม่ผิดเลย เรื่องนี้พวกเราต้องคิดหาวิธีถึงจะถูก”
ทั้งนายและบ่าวต่างก็นิ่งเงียบไปสักพัก เหยาเฟิ่งเกอจึงพูดขึ้นก่อน “เมื่อคืนข้าครุ่นคิดอยู่ตั้งนาน รู้สึกว่าควรที่จะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับเยี่ยนอวี่ และให้เขาคนนั้นสู่ขอนางก่อน”
“คุณหนูกล่าวถูกเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวพยักหน้า “คุณหนูรองอายุสิบหกแล้ว ผ่านปีนี้ไปก็อายุสิบเจ็ด ไม่ควรยื้อเวลาไปอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจแล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยพูด “แต่ว่า คุณชายที่เกิดในตระกูลขุนนางในเมืองอวิ๋นนั้นมีราวๆ สิบกว่าคนเท่านั้นที่ข้านึกออก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมกับเยี่ยนอวี่ อีกอย่าง ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ ข้าที่เป็นพี่สาวหากครุ่นคิดลึกไปหรือตื้นเกินไป เกรงว่าคงจะไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย”
หลี่หมัวมัวครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “บ่าวกลับคิดได้อีกหนึ่งวิธีเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอก้มหน้าแล้วมองไป “เจ้าลองว่ามาดู”
หลี่หมัวมัวยิ้มและเอ่ยพูดด้วยเสียงค่อย “คุณหนูรองเพิ่งจะรักษาหันซื่อจื่อหาย ไม่เช่นนั้นพวกเราไปทูลขอให้องค์หญิงใหญ่และฮูหยินหันซื่อจื่อเป็นคนตัดสินใจ?”
เหยาเฟิ่งเกอไม่เข้าใจ “พวกนางจะตัดสินใจได้อย่างไร หากให้เป็นแม่สื่อค่อยเหมาะสมหน่อย เพียงแต่พวกเราไม่มีผู้ที่เพียบพร้อมเลือกไว้ในใจ แล้วจะไปเสนอเรื่องนี้กับผู้อื่นได้อย่างไร”
“นายหญิง…” ขณะที่หลี่หมัวมัวเอ่ยพูด จึงได้ลุกขึ้นพลางขยับตัวเข้าใกล้เหยาเฟิ่งเกอ แล้วพูดเสียงเบา
เหยาเฟิ่งเกอขมวดคิ้วเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก สุดท้ายก็ยิ้มพลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ความคิดนี้ไม่เลว จวนเจิ้นกั๋งกงมีคุณชายสองท่านต้องไม่สู่ขอเยี่ยนอวี่แน่นอน ทว่าสถานะของน้องสาวข้ากับหลานชายของท่านกั๋วกงถือว่าเหมาะสมกันพอดี อีกอย่าง เยี่ยนอวี่มีฝีมือการแพทย์ที่โดดเด่นกว่าใคร หากงานสมรสครั้งนี้สามารถเป็นจริง ไม่แน่คุณชายสี่แห่งตระกูลหันอาจจะพลอยโชคดีไปกับเยี่ยนอวี่ก็ได้”
หลี่หมัวมัวจึงรีบเอ่ยพูด “นายหญิงกล่าวไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ คุณหนูรองเลือกเกิดผิดมารดา ความสง่าราศีของนางสมควรที่จะเกิดในท้องของฮูหยินใหญ่” เพียงแต่ว่าสตรีนั้นเทียบไม่ได้กับบุรุษ บุตรภรรยาเอกและบุตรอนุภรรยาอย่างไรก็แตกต่างกันมากอย่างแน่นอน
[1] ยามสี่เป็นช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม