บทที่ 68 ข้าอยากพัฒนาตนเอง... ให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“หา อะไรนะ! เถ้าแก่ปู้… ท่านอยากกินอาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนั้นรึ” เมื่อเซียวเสี่ยวหลงได้ยินคำพูดของปู้ฟาง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที สีหน้าดูปุเลี่ยนๆ เล็กน้อย

เซียวเยียนอวี่และโอวหยางเสี่ยวอี้เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทั้งสองคิดว่าความสามารถในการทำอาหารของปู้ฟางนั้นยอดเยี่ยมมากเสียจนทำลายอาชีพพ่อครัวของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ได้เลยทีเดียว เหตุใดจึงยังจะไปกินที่ร้านนั้นอีก

“การที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ก้าวขึ้นมาเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวงได้ย่อมต้องมีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นถึงข้าจะมีฝีมือยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว การที่แม่น้ำหลายร้อยสายไหลลงทะเลได้โดยไม่มีวันเต็ม นั่นก็เพราะ… ทะเลนั้นกว้างใหญ่เสียจนเติมอย่างไรก็ไม่มีวันสิ้นสุด” ปู้ฟางพูดเรียบๆ จากนั้นก็หันหลังมุ่งหน้าไปยังร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ทันที

“การที่แม่น้ำหลายร้อยสายไหลลงทะเลได้โดยไม่มีวันเต็ม นั่นก็เพราะ… ทะเลนั้นกว้างใหญ่เสียจนเติมอย่างไรก็ไม่มีวันสิ้นสุด” มุมปากของเซียวเสี่ยวหลงกระตุก ชายหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าวันนี้ปู้ฟางนั้นมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“เสี่ยวอี้ เจ้าไม่คิดว่าเถ้าแก่ปู้แปลกๆ รึวันนี้ ข้ารู้สึกเหมือนเขามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ในการไปร้านปักษาเพลิงนิรันดร์อย่างไรไม่รู้!” เซียวเสี่ยวหลงเขยิบเข้าไปใกล้โอวหยางเสี่ยวอี้แล้วกระซิบกระซาบใส่นาง

เสี่ยวอี้มองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาด “ไม่ชอบมาพากลรึ ไม่นี่ ไม่เห็นมีอะไรไม่ชอบมาพากลเลย การจะพัฒนาตนเองได้ก็ต้องเรียนรู้ให้มากขึ้นกว่าเดิมอยู่แล้ว คำพูดนี้สมเหตุสมผลที่สุด ท่านปู่เองก็บอกเสี่ยวอี้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน”

เซียวเสี่ยวหลงปากกระตุกขณะคิด “ก็ได้ ดูเหมือนว่าพูดกับเจ้าไปจะไม่มีประโยชน์สินะ”

ทั้งสามเดินตามปู้ฟางไปยังร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ทันที

เซียวเสี่ยวหลงและอีกสองคนคุ้นเคยกับร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ก่อนที่ร้านของปู้ฟางจะผุดขึ้นมาในนครหลวง ร้านนั้นเป็นร้านประจำที่พวกเขาไปกินบ่อยที่สุด ด้วยความที่เป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวง รสชาติย่อมดีเป็นที่โจษจันเป็นธรรมดา

แต่แน่นอนว่าถึงจะอร่อยเพียงใดก็เทียบชั้นกับอาหารของปู้ฟางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“เถ้าแก่ปู้ ท่านจะไปกินข้าวที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ แล้วท่านรู้กฎของร้านหรือไม่” เซียวเสี่ยวหลงก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวมาเดินข้างๆ ปู้ฟาง

“กฎรึ กฎอะไร” ปู้ฟางงุนงงเล็กน้อยขณะหันไปมองหน้าเซียวเสี่ยวหลง

มุมปากของเซียวเสี่ยวหลงกระตุก เขารู้อยู่แล้วว่าความคิดที่จะไปกินข้าวที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ของปู้ฟางนั้นเป็นการตัดสินใจปุบปับ แต่ถึงจะงงว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดทำอะไรอยู่กันแน่ เขาก็ต้องบอกกฎของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ให้อีกฝ่ายฟังอยู่ดี

“ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในนครหลวง มีทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน แต่ละชั้นตกแต่งต่างกันไป และลูกค้าเองก็แตกต่างกันด้วย ชั้นแรกเป็นชั้นที่รับรองลูกค้าธรรมดาทั่วไป ราคาอาหารไม่ได้สูงนัก ครอบครัวที่พอมีกินสามารถมากินอาหารที่ร้านได้สองถึงสามครั้งต่อเดือน

“ชั้นสองเอาไว้สำหรับรับรองแขกที่มีหน้ามีตาในสังคม จึงตกแต่งสวยงามขึ้นเล็กน้อย บริกรเองก็เปลี่ยนจากบริกรชายเป็นบริกรหญิงรูปงามในชุดผ้าปัก หากนับแค่คุณภาพการบริการก็เป็นที่หนึ่งในนครหลวงและในอาณาจักรแล้ว นอกจากนี้อาหารที่ชั้นสองยังแพงกว่าที่ชั้นแรกมากโข รสชาติเองก็ดีกว่ามากด้วยเช่นกัน

“ชั้นสามเป็นชั้นที่พิเศษสุด การบริการนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายในหรือบริกร เรียกได้ว่าดีที่สุดในอาณาจักรอย่างแน่นอน มีเพียงคนที่สูงศักดิ์ที่สุดเท่านั้นที่จะขึ้นไปยังชั้นสามได้”

เซียวเสี่ยวหลงอธิบายให้ปู้ฟางฟังว่าแต่ละชั้นของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มีคุณลักษณะพิเศษอย่างไร

หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายนั้น ปู้ฟางก็หรี่ตาแล้วพยักหน้า เจ้าของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์จัดว่าหลักแหลม เนื่องจากเขาจัดระดับการบริการและรสชาติอาหารไว้ต่างกันตามชั้น จึงทำให้ลูกค้าแต่ละชั้นรู้สึกถึงความโอ่อ่าและมีหน้ามีตาที่ต่างกัน จนต้องจ่ายหนักมากขึ้นไปอีกเพื่อพิสูจน์ความหน้าใหญ่นั้น ลูกค้าที่เคยกินข้าวที่ชั้นแรกจะขึ้นไปชั้นสองเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมของตนเอง และลูกค้าที่เคยกินข้าวชั้นที่สูงไปกว่านั้นจะไม่กล้ากลับมากินที่ชั้นหนึ่งอีกแล้ว เนื่องจากไม่อยากดูเสียหน้านั่นเอง กลไกเช่นนี้จะทำให้ชั้นสองและสามทำกำไรได้มากขึ้น จนร้านทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

“อาหารจากชั้นสามน่าจะอร่อยที่สุดใช่หรือไม่ แล้วเจ้าขึ้นไปกินที่ชั้นสามได้หรือเปล่า” ปู้ฟางถามขึ้นมาหลังจากคิดอยู่สักพัก

“ด้วยความที่มันเป็นชั้นพิเศษ จึงมีเพียงคนที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่วเท่านั้นที่ขึ้นไปได้ บุตรธิดาของขุนนางอย่างพวกข้าไม่ได้รับสิทธิ์นั้นหรอก มีอยู่ครั้งหนึ่งซุนฉีเซี่ยงเคยพยายามจะบุกเข้าไป แต่โดนพนักงานเฝ้าประตูที่มีปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการจับโยนออกมา” เซียวเสี่ยวหลงบอก

ปู้ฟางขมวดคิ้วทันทีที่ได้รับรู้สถานการณ์ “แม้แต่พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปอีกรึ”

“มีแต่ท่านจักรพรรดิ เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านพ่อข้า แม่ทัพโอวหยาง และคนอื่นๆ ที่มีศักดิ์ในระดับนี้เท่านั้นที่จะขึ้นไปได้” เซียวเสี่ยวหลงให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านเพิ่ม

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงทางเข้าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามพอดี

“ตายแล้ว นั่นมันนายน้อยเซียวมิใช่รึ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะเจ้าคะ มากินอาหารหรือเจ้าคะ รีบเข้ามาเร็วๆ”

ทันทีที่ทั้งสี่เดินมาถึงทางเข้าร้าน สตรีวัยกลางคนหน้าตาดีหุ่นอวบอัดก็เดินส่ายสะโพกเข้ามาหา เสียงมีความสุขของนางดังลอยตามมาด้วย

เซียวเสี่ยวหลงยิ้มอย่างสง่างามพลางพยักหน้ารับ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พี่หญิงใหญ่ชุน หุ่นท่านนี่สะบึมเสียยิ่งกว่าเดิมอีกนะเนี่ย”

สตรีวัยกลางคนรูปงามนามว่าพี่หญิงใหญ่ชุนเอามือปิดปากหัวเราะคิกคักทันที หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างมีชีวิตชีวา แม้อุณหภูมิข้างนอกจะหนาวเหน็บ แต่นางก็ยังคงเปิดเผยผิวบริเวณหน้าอกขาวผ่องให้ทุกคนได้รับชมโดยทั่วกัน ดูไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย

พี่หญิงใหญ่ชุนยังคงยิ้มกว้างขณะเดินนำทั้งสี่เข้าไปในร้าน

ปู้ฟางไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเหลือบตามองรูปร่างของพี่หญิงใหญ่ชุนเพียงครั้งเดียวแล้วหันไปมองอย่างอื่นด้วยสีหน้าไม่สนใจ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังเป็นอันมากขณะก้าวเข้าไปในร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ เมื่อก้าวเท้าเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงความโด่งดังของร้านนี้ทันที

ชั้นแรกของร้านนั้นกว้างใหญ่มีโต๊ะเรียงรายเป็นระเบียบ ลูกค้าของร้านกำลังกินอาหารที่สั่งมา สีหน้าดูมีความสุขกับรสชาติอาหารที่กำลังลิ้มลองเป็นอันมาก

“นายน้อยเซียว พวกท่านมาเพียงสี่คนใช่หรือไม่ จะขึ้นไปชั้นสองไหมเจ้าคะ” สะโพกของพี่หญิงใหญ่ชุนโยกย้ายไปมา นางหันหลังมาสอบถามขณะพาพวกเขาเดินเข้าไป

“ถูกต้องแล้ว มีแค่สี่คนเท่านั้น รบกวนพี่หญิงใหญ่ชุนจัดโต๊ะให้พวกเราที” เซียวเสี่ยวหลงพยักหน้าแล้วตอบกลับมา แต่ตอนนั้นเองเสียงของปู้ฟางก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยว กินข้าวที่ชั้นแรกกันก่อนดีกว่า จัดโต๊ะที่ชั้นแรกให้ที”

“หา เราจะกินที่ชั้นแรกกันรึ” คราวนี้ไม่ใช่เพียงเซียวเสี่ยวหลงเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้แต่เซียวเยียนอวี่และโอวหยางเสี่ยวอี้ก็หันกลับมามองปู้ฟางด้วยความตกใจเช่นกัน

“แน่นอนสิ พวกเจ้าจะขึ้นไปที่ชั้นสองก่อนก็ได้ แต่ข้าจะกินที่ชั้นแรกให้เสร็จก่อนแล้วจะตามขึ้นไป” ปู้ฟางขยายความ

ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงและอีกสองคนเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดทันทีที่ได้ยินคำประกาศของปู้ฟาง ริมฝีปากของเซียวเยียนอวี่ที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมยิ้มบางขณะคิด “ปู้ฟางผู้นี้… พยายามจะก่อเรื่องสินะ”

“ย่อมได้ พี่หญิงใหญ่ชุน จัดโต๊ะที่ชั้นหนึ่งให้พวกข้าก่อนก็แล้วกัน” เซียวเสี่ยวหลงพูดกับพี่หญิงใหญ่ชุนด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าสวยของพี่หญิงใหญ่ชุนดูเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ดวงตาชี้ขึ้นของนางหันไปมองปู้ฟางก่อนรีบเสไปทางอื่นแทนในเสี้ยวลมหายใจ นางพูดด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์ “ย่อมได้เจ้าค่ะ ตามข้ามาเลยนะเจ้าคะ”

พี่หญิงใหญ่ชุนจัดโต๊ะให้พวกเขาทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

ปู้ฟางนั่งหลังตรง เขาถอดผ้าพันคอและเสื้อกันหนาวขนสัตว์ออก สีหน้าเคร่งขรึมขณะเอานิ้วลูบไปตามผิวโต๊ะ รู้สึกได้ถึงความมันที่ปลายนิ้วทันที ปลายนิ้วของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคราบมันดำเมี่ยม

“ความสะอาดจัดได้ว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทำให้ข้ารู้สึกกินข้าวไม่ลงขึ้นมาทันทีเลย” ปู้ฟางประเมินเสียงเย็น

เซียวเสี่ยวหลงที่นั่งลงและเตรียมจะสั่งอาหารพลันตัวแข็งทื่อ ชายหนุ่มหันไปมองปู้ฟางด้วยสายตาตกใจ

โอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเยียนอวี่เองก็กะพริบตาปริบๆ หันไปมองปู้ฟางด้วยสายตาประหลาดเช่นกัน

พี่หญิงใหญ่ชุนหุ่นอวบอัดรู้สึกอับอายเป็นอันมาก นางก่นด่าสาปแช่งอยู่คนเดียวในใจ “ก็นี่มันชั้นหนึ่ง มันก็ต้องสกปรกสิ! ไอ้หมอนี่จะมาเรื่องมากอะไรหนักหนากับชั้นหนึ่งกัน!”

“เอาอาหารที่เจ้าคิดว่าอร่อยที่สุดของชั้นหนึ่งมาให้หมดทุกจาน” ปู้ฟางพูดหน้าตายใส่พี่หญิงใหญ่ชุนขณะลดตัวลงนั่ง

“อาหารที่อร่อยที่สุดทุกจานของชั้นหนึ่งรึเจ้าคะ ที่ชั้นหนึ่งมีอาหารที่ดีที่สุดสิบจานด้วยกัน แต่ละจานราคาห้าร้อยเหรียญเงินเจ้าค่ะ ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่าอยากรับ” พี่หญิงใหญ่ชุนมองปู้ฟางด้วยสายตาเคลือบแคลง

ไม่ใช่ว่านางไม่ไว้ใจปู้ฟาง เนื่องจากเขามาพร้อมพวกเซียวเสี่ยวหลง และตัวเซียวเสี่ยวหลงเองก็เป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงที่มั่งคั่ง หากชายหนุ่มตรงหน้านางนี้เป็นสหายของเซียวเสี่ยวหลง ตัวเขาเองก็ต้องมีเงินเป็นธรรมดา แต่หากเขามีเงินจริงๆ… เหตุใดจึงเลือกกินอาหารที่ชั้นหนึ่งเล่า

“พี่หญิงใหญ่ชุน เอาอาหารมาเถิด เขารวยจะแย่” เซียวเสี่ยวหลงพูดกับนางพร้อมกลั้วหัวเราะ

ในเมื่อเซียวเสี่ยวหลงประกาศเช่นนั้น พี่หญิงใหญ่ชุนก็เดินกลับไปตระเตรียมอาหารตามที่สั่ง

ทันทีที่นางเดินจากไป เซียวเสี่ยวหลงก็หันมาทำหน้าทำตาใส่ปู้ฟาง “เถ้าแก่ปู้ ท่านจะชิมอาหารของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ให้ครบทุกจานเลยรึ”

มุมปากของปู้ฟางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขามองเซียวเสี่ยงหลงอย่างไร้ความรู้สึก “ใช่แล้ว วันนี้ข้ามาเพื่อจับผิดและก่อเรื่องโดยเฉพาะ”

………………………..