บทที่ 669 สัมผัสเย็นๆ ขณะตาลาย

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 669 สัมผัสเย็นๆ ขณะตาลาย โดย Ink Stone_Fantasy

ปึงปึง!

ยานประตูสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเสียงที่ดังออกมาพร้อมกัน คือเสียงคำรามอย่างอัดอั้นของเหล่าซอมบี้สาว

“เฮ้อ…”

หลิงม่อนั่งลงไปอีกครั้ง สองมือประสานวางบนเข่า คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

พอเห็นท่าทางเขาร้อนใจ เสี่ยวป๋ายจึงยื่นหัวเข้ามาถูไถกับตัวหลิงม่อสองสามที

“เรียนท่าทางพวกนี้มาจากเฮยซือสินะ” หลิงม่อยกมือลูบหัวมันเบาๆ แล้วพูดขึ้น

ถึงแม้จะต่างกันไม่มาก แต่หลังจากวิวัฒนาการ เสี่ยวป๋ายดูฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นั่นกลับทำให้หลิงม่อรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย…

เวลานี้ หนึ่งในห้องนั้น หลี่ย่าหลินกำลังยืนพิงผนัง สีเหลืองอำพันในดวงตาดูเข้มกว่าเวลาไหนๆ

เธอยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เหมือนนางพญางูที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด ที่จ้องมาที่อีกฝ่าย ด้วยดวงตาที่ทั้งเย็นชาและดึงดูดภายใต้แสงสลัว

ขณะเดียวกันร่างกายของเธอกำลังกระตุกสั่นเบาๆ เหมือนมีบางสิ่งในร่างกายกำลังปั่นป่วนอยู่

ทันใดนั้น เธอก็เบิกตากว้าง ดวงอำพันสีเหลืองในม่านตาค่อยๆ ขยายตัว สุดท้ายก็กลืนกินส่วนสีแดงในดวงตาจนมิด ดวงตาคู่นี้สะท้อนความเย็นชาชัดเจน เหมือนดวงตาของอสรพิษจริงๆ แต่ขณะเดียวกันกลับมีแรงดึงดูดที่อันตรายถึงชีวิตแฝงอยู่ด้วย

ขณะเดียวกันนั้น ปากของหลี่ย่าหลินก็อ้าออกเบาๆ สายตาของเธอดูสับสนงุนงงขึ้นมาทันที

ในสมองของเธอ ภาพความทรงจำมากมายกำลังแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว

มีทั้งภาพหลังจากที่เธอกลายเป็นซอมบี้แล้ว และภาพตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์อยู่

ภาพความทรงจำที่ผสมปนเปอยู่ด้วยกันเหล่านี้ เหมือนเส้นด้ายมากมายพันกันเป็นปมอยู่ตรงหน้าหลี่ย่าหลิน

เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะ คิ้วงามขมวดมุ่นเบาๆ “น่ารำคาญชะมัด มันเยอะมาก…”

“คลื่นดวงจิตของรุ่นพี่…”

สายตาหลิงม่อเปลี่ยนไป แต่ไม่นานเขาก็ห้ามใจไม่ให้ตัวเองวู่วามเข้าไปดู

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ ทั้งไม่สามารถรบกวน และไม่อาจห้ามได้…

พอคลื่นดวงจิตของหลี่ย่าหลินรุนแรงขึ้น หลิงม่อก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทันทีเหมือนกัน

ความรู้สึกที่เหมือนเธออาจสลัดหลุดจาสายสัมพันธ์ทางจิตได้ทุกเมื่อเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงม่อหัวใจกระตุกวูบ

“ห้ามเสียสมาธิ ต้องรวบรวมพลังจิตเข้าไว้…”

เขาพึมพำในใจ แล้วรีบรวบรวมสมาธิทันที

แต่กว่าเขาจะสงบจิตใจได้อีกครั้ง ทางซย่าน่าก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกคน

การอัพเกรดของซย่าน่าค่อนข้างซับซ้อนกว่า สถานการณ์ของเธอกับอวี๋ซือหรานค่อนข้างเหมือนกัน เพราะพวกเธอต้องวิวัฒนาการพร้อมกัน “สองคน”

ตอนนี้เฮยน่ารับหน้าที่ดูแลร่างหลัก ส่วนร่างดวงจิตอย่างน่าน่าก็ได้แยกร่างออกมา

เงาร่างหนึ่งดำหนึ่งแดง หนึ่งจริงหนึ่งปลอมยืนอยู่ด้วยกัน และทั้งสองก็กำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

ร่างดวงจิตได้รับผลกระทบด้านวิวัฒนาการมาจากร่างหลัก ความจริงทั้งสองเชื่องโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

แต่ความรู้สึกของร่างดวงจิตน่าน่าและร่างหลักเฮยน่า กลับแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่น่าน่าต้องเผชิญ คือการเปลี่ยนแปลงด้านดวงจิต และเฮยน่าต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย

แต่การทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาอะไร กลับกันยิ่งเป็นการกระตุ้นพวกเธอรุนแรงกว่าเดิม

“อดทนไว้นะ อีกครึ่งหนึ่งของฉัน” ตอนนี้ “ร่างกาย” ของร่างดวงจิตน่าน่าสั่นไหวไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ตะโกนก้องในใจขึ้นมา

ตอนแรกร่างหลักที่ถูกเฮยน่าควบคุมไว้ยกมือทั้งสองข้างตะครุบผนัง เล็บมือที่คมดั่งมีดข่วนผนังจนเป็นรอยขึ้นมาสิบรอย พอได้ยินประโยคนี้ นึกไม่ถึงว่าเธอจะได้สติขึ้นมาชั่วคราว

“ใช่แล้ว ร่างดวงจิตน่าน่าทีสัญชาตญาณมนุษย์ ดังนั้นเธอจะไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกปลุกสัญชาตญาณซอมบี้ มีเธอคอยช่วยเหลือตัวเอง ซย่าน่าก็ไม่มีปัญหาแล้ว…”

หลิงม่อผ่อนลมหายใจ ไม่ว่าจะก้าวข้ามสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีวัฒนาการด้านอื่นๆ บ้าง

เขาลองสัมผัสรู้ด้านเฮยซือ สิ่งมีชีวิตลึกลับตัวนี้ที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นสุนัขกลายพันธุ์ได้อีกแล้ว ตอนนี้กำลังวิวัฒนาการไปพร้อมกับอวี๋ซือหราน ร่างร่วมของมัน

วิวัฒนาการของเฮยซือนั้นแปลกประหลาดมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น

นอกเหนือจากรับรู้ว่าสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงมีอยู่ ก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก

ทว่าหลิงม่อเดาได้เลยว่าตอนนี้ในห้องห้องนั้น จะต้องมีหนอนดักแด้ตัวใหญ่อยู่แน่นอน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หลิงม่อได้มีภูมิต้านทานต่อการกลายพันธุ์ประหลาดๆ ของเฮยซือแล้ว

เขาถึงกระทั่งอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งนี้ไม่รู้จะแปลกและพิสดารขนาดไหน…

และสุดท้ายเมื่อหลิงม่อพุ่งสมาธิไปทางเย่เลี่ยน เขากลับนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

นี่มัน…

เขาลุก “พรวด” แล้วจ้ำเท้าไปที่ประตูห้องเย่เลี่ยน จากนั้นก็เปิดประตูทันที

แสงสว่างที่ส่องเข้ามาในห้องพร้อมกับการปรากฏตัวของหลิงม่อ สาดใส่ร่างของเย่เลี่ยนพอดี

เธอยืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้าหลับตา ท่าทางเหมือนกำลังซึมซับความสดชื่นจากสายลมแผ่วเบา

ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเธอแบออก นิ้วมืองอเข้าหากันเล็กน้อย ถึงแม้ดูเรียวยาวและบอบบาง แต่พลังอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในนิ้วมือเหล่านั้น กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบได้เป็นอย่างดี

กลิ่นอายเชื้อไวรัสเข้มข้นลอยโชยอยู่รอบตัวเย่เลี่ยน ตอนนี้ เธอดูเหมือนส่วนผสมอันแปลกประหลาดแต่ลงตัวระหว่างความบ้าคลั่งและความงดงามอ่อนช้อย

ทั้งสามารถรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของซอมบี้จากตัวเธอ แต่พอมองดวงหน้าอันสงบนิ่ง และท่วงท่าอันเป็นธรรมชาติแต่กลับเต็มไปด้วยความสวยงามของเธอ ก็ทำให้รู้สึกอีกว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาสะสวยธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

การผสมผสานที่ขัดแย้งกันอย่างนี้พอมาอยู่บนตัวเธอ มันกลับไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หลิงม่อถึงขั้นตะลึงงันไปทันทีด้วยซ้ำ

ไม่รู้เพราะอะไร สีหน้าท่าทางของเย่เลี่ยนในตอนนี้ ทำให้หลิงม่อรู้สึกเหมือนเธอไม่ใช่ซอมบี้ทั่วไปอีกแล้ว แต่กลับเป็นซอมบี้อีกแบบหนึ่งที่มีสติปัญญาที่แท้จริง รู้จักคิด แล้วเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ มากกว่า…

“หรือว่า…”

หลิงม่อจ้องเย่เลี่ยนตาไม่กระพริบ

ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง แตกต่างจากเย่เลี่ยนที่อยู่ในความสงบนิ่ง

กังวล ตื่นเต้น…

เขากลั้นหายใจ รอลุ้นผลอย่างทรมานใจ

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่…เขาก็ยังหวังว่าตัวเองจะเดาถูก!

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเย่เลี่ยนก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

เสี้ยววินาทีที่เธอลืมตา แวบหนึ่งหลิงม่อรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แรงกดดันมหาศาลโจมตีหัวใจเขาอย่างแรง หลิงม่อกระทั่งค้นพบอย่างน่าตกใจ ว่ตัวเองขยับตัวไม่ได้แล้ว!

ไม่ ไม่ใช่ใช่ขยับไม่ได้ แต่เป็นเพราะกดดันมากเกินไป โดยรู้สึกว่าหากขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกฉีกร่างในชั่วพริบตา

ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่พอหลิงม่อได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง บนหน้าผากก็มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด

“ฟู!”

หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ

ความอันตรายที่เขาสัมผัสได้จากตัวเย่เลี่ยนเมื่อกี้ น่ากลัวมากจริงๆ!

ไม่เพียงเท่านี้ ถึงแม้สีหน้าท่าทางและรูปลักษณ์ภายนอกของเย่เลี่ยนเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่า สายตาเหม่อๆ ของเธอคู่นั้นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม

ในดวงตาสีแดงคู่นั้นของเธอ มีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา…

แต่ว่า แล้วอะไรล่ะที่เพิ่มขึ้นมา?

ตอนนี้หลิงม่อไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ เขารู้สึกได้ว่า วิวัฒนาการของเย่เลี่ยนยังไม่เสร็จสมบูรณ์!

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ต่างหากที่เป็นช่วงเวลาสำคัญของเธอ!

เชื้อไวรัสจะสามารถกระตุ้นไวรัสนางพญาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการจนสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับก้าวนี้แล้ว!

แม้เย่เลี่ยนจะลืมตาแล้ว แต่เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

เดิมดวงตาของเธอเหมือนซอมบี้ชนชั้นสูงทั่วไป ซึ่งก็คือแดงขาวแยกชัด

แต่เวลานี้ ดวงตาของเย่เลี่ยนกลับแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดย้อยออกมา ยิ่งไปกว่านั้น สีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของหลิงม่อ ดวงตาของเย่เลี่ยนค่อยๆ กลายเป็นสีแดงอมม่วง ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้ขนลุกซู่

ขณะเดียวกัน ร่างกายของเธอพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อย พร้อมกับเปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “อ๊ะ!”

เสียงไม่ดัง แต่นั่นกลับทำให้หลิงม่อยืนเกร็งไปทั้งตัวทันที

เสียงคำรามของสัตว์ดุร้ายนั้นมีความแตกต่างกัน สัตว์ร้ายที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นหวาดกลัวมากที่สุด ก็คือเสียงคำรามดุดันของเสือและสิงโต

และเสียงร้องของเย่เลี่ยน ก็คล้ายๆ กัน…

สิ่งที่ไม่เหมือนคือ เสียงของเธอนุ่มนวลและน่าฟังกว่ามาก

สามารถใช้เสียงอย่างนี้สร้างเสียงคำรามที่ทำให้คนขนลุกได้ ก็มีแค่เผ่าพันธุ์ซอมบี้นั้นที่จะทำได้…

เสี้ยววินาทีที่เธอร้องลั่นออกมา หลิงม่อก็ครางเจ็บปวดออกมาอย่างทนไม่ไหวเช่นกัน

ไม่เพียงผลกระทบที่ส่งต่อกันก่อนหน้านั้นเท่านั้นที่ชัดเจนขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกคลุ้มคลั่งที่ถูกหลิงม่อกดข่มไว้ตลอดเวลา ได้พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

“ทำไมต้องเป็นเวลานี้ด้วย…ยัยแม่หม้ายดำนั่น!”

ดวงตาของหลิงม่อพลันพร่ามัว หากไม่ใช่ว่าเขากัดฟันอดทน ตอนนี้คงจะล้มพับไปแล้ว

ท่ามกลางความทรมาน เขามองเห็นภาพที่เย่เลี่ยนเดินเข้ามาหาตัวเองรางๆ

ดวงหน้างามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ สัมผัสนุ่มๆ และเย็นเฉียบก็ได้ประกบเข้าที่ริมฝีปากหนาของเขา

“หื้ม?”

หลิงม่อเบิกตากว้าง ซอมบี้ที่ควรจะสูญเสียสติปัญญาในระหว่างวิวัฒนาการ ทำไมถึงกลายเป็นฝ่ายชิงจูบเขาก่อนล่ะ?

—————————————————————————–