บทที่ 59 หญิงงามคนที่สอง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ห้าสิบเก้า

หญิงงามคนที่สอง

เมื่อเด็กสาวได้ยินโจวซือเหนียงกล่าว แก้มที่เดิมทีแดงเรื่ออยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแดงมากกว่าเดิม

นางก้าวไปด้านหน้าช้าๆ ดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยความรักใคร่นั้นเมียงมองมาที่เสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะลงและเอ่ยด้วยความเขินอาย “พี่จิ้ง”

ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่สงสัยในตอนที่โจวซือเหนียงเรียกเด็กสาวว่า ‘หลันเอ๋อร์’ แต่เมื่อได้ยินนางเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งว่า ‘พี่จิ้ง’ เธอก็เข้าใจทันที

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรให้มากความ เด็กสาวผู้นี้คือหนึ่งในสิบสองหญิงงาม และเป็นนางเอกคนที่สองที่เธอได้พบ

เสวี่ยเจียเยว่มองพิจารณาเด็กสาวที่ชื่อโจวหลันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

โจวหลันสวมเสื้ออ๋าวจื่อ[37] สีชมพู สวมกระโปรงหลัวจวิน[38] สีเขียว นางดูคล้ายกับดอกหวันฮวา[39] ที่หลบซ่อนอยู่ในหุบเขาร้าง

จากนั้นเธอปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างอดไม่ได้

เด็กหนุ่มพยักหน้าให้โจวหลันด้วยความเย็นชาและห่างเหินก่อนจะเอ่ย “แม่นางโจว”

โจวหลันก้มลงพลางขานรับด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

โจวซือเหนียงเรียกพวกเขาเข้าไปนั่งในเรือนด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะเร่งให้โจวหลันไปเรียกบิดา

ไม่นานอาจารย์โจวก็มาพร้อมกับโจวฮุย ลูกชายของเขา

โจวฮุยอายุสิบหกปี มีใบหน้ากลมเหมือนน้องสาวของเขา ท่าทางดูเหนียมอายเป็นอย่างมาก

เมื่อได้พบกัน อาจารย์โจวก็บอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่นั่งลง ก่อนจะเอ่ยถามถึงชีวิตช่วงนี้ของเด็กหนุ่ม เมื่อได้ยินว่าพ่อแม่ของพวกเขาตายแล้ว และภายในสามปีนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางได้ ชายชราก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก จากนั้นเขาได้ยินว่าเด็กหนุ่มวางแผนจะเข้าไปใช้ชีวิตในเมืองผิงหยาง จึงลูบเครายาวของตนแล้วเอ่ย

“เจ้าวางแผนจะไปเมืองผิงหยางนั้นถูกต้องแล้ว ข้าได้ยินคนพูดว่าที่นั่นมีสำนักศึกษาหลายแห่ง มีสองแห่งที่ผู้เรียนในใต้หล้านี้รู้จัก หากเจ้าเข้าเรียนหนึ่งในสองแห่งนั้นได้ จะต้องมีประโยชน์ต่อเจ้ามากเลยทีเดียว”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า

หลังจากทั้งสองคนพูดคุยเรื่องอื่นๆ อีกครู่หนึ่ง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงลุกขึ้นขอตัวลา

เขากับเสวี่ยเจียเยว่ออกจากหมู่บ้านซิ่วเฟิงตั้งแต่เช้า กว่าจะมาถึงเรือนของอาจารย์โจวพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตรงศีรษะแล้ว พวกเขาต้องเร่งเดินทางไปให้ถึงอำเภอก่อนฟ้ามืดเพื่อหาที่พักชั่วคราว

เมื่ออาจารย์โจวได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ถึงแม้พวกเจ้าจะเร่งเดินทาง แต่คงไปไม่ทันก่อนฟ้ามืด พวกเจ้าพักที่เรือนข้าสักคืนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยไป”

จากนั้นเขาชี้ไปที่โจวฮุยแล้วกล่าว “พรุ่งนี้ศิษย์พี่ของเจ้าจะเข้าไปในอำเภอเพื่อเตรียมตัวรอการสอบซิ่วฉาย เจ้าจะได้เดินทางไปกับเขาด้วย เขาอายุขนาดนี้เพิ่งจะได้ออกจากเรือนครั้งแรก ข้ากับซือเหนียงของเจ้าจึงไม่สบายใจเท่าไรนัก มีพวกเจ้าเดินทางไปด้วยข้าก็วางใจแล้ว”

โจวซือเหนียงรีบเอ่ยเห็นด้วยทันที โจวฮุยนั่งยิ้มอย่างเหนียมอายอยู่ด้านข้าง ส่วนโจวหลันเองก็เอ่ยชวนเช่นกัน

“พี่จิ้ง ท่าน… ท่านกับน้องสาวพักอยู่ที่เรือนข้าสักคืนเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”

หากเด็กหนุ่มไปครั้งนี้ นางไม่รู้ว่าจะได้พบเขาอีกครั้งเมื่อไร เมื่อคิดดังนั้น โจวหลันก็อยากจะร้องไห้ออกมาทันที ดวงตาของนางร้อนผ่าวจนต้องรีบก้มหน้าลง

เสวี่ยเจียเยว่มองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่รู้ว่าตนควรจะเอ่ยอะไรออกมา

พูดได้เพียงว่าความรู้สึกของสตรีเป็นเหมือนบทกวี ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยั่วยุดอกท้อได้ง่ายนัก

ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็คำนับอาจารย์โจวกับโจวซือเหนียง “ขอบคุณท่านอาจารย์กับซือเหนียงที่เมตตา หากศิษย์ปฏิเสธเกรงว่าจะเป็นการไม่เคารพพวกท่าน” ความหมายนี้ก็คือตกลงจะค้างอยู่ที่นี่หนึ่งคืน

โจวหลันเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งทันที แม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะแดงก่ำ แต่ใบหน้าของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นโจวซือเหนียงก็พาโจวหลันเข้าไปทำอาหารในห้องครัว เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วจึงเรียกพวกเขาเข้ามากินข้าว

กับข้าวบนโต๊ะนั้นมีหลายอย่าง ทั้งปลาตากแห้ง เนื้อหมูตากแห้ง นอกจากนี้ยังมีไก่หนึ่งตัว และผัดผักตามฤดูกาลอีกสองถ้วย เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คีบอาหารเข้าปากไม่ลง ทว่าโจวซือเหนียงอัธยาศัยดีไม่น้อย นางคีบอาหารใส่ถ้วยของพวกเขาไม่หยุด ทั้งสองคนจึงต้องกินเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

หลังกินอาหารเสร็จ เสวี่ยหยวนจิ้งถูกอาจารย์โจวดึงมือไปพูดคุยเรื่องวิชาความรู้ต่างๆ กับโจวฮุย ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็พูดคุยกับโจวซือเหนียงและโจวหลัน

โจวซือเหนียงกำลังยุ่งอยู่กับการตัดผ้า ส่วนโจวหลันก้มหน้าก้มตาวาดลวดลายบางอย่างลงบนผ้าอีกผืน

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามโจวซือเหนียงว่าต้องการจะทำชุดอะไร อีกฝ่ายจึงพยักหน้าไปทางโจวหลัน จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เห็นว่าอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว ข้าจึงอยากทำชุดกระโปรงให้หลันเอ๋อร์สวมช่วงฤดูใบไม้ผลิ ข้านึกขึ้นได้ว่ามีผ้าอยู่พับหนึ่ง เป็นผ้าที่ญาติของข้านำกลับมาจากเมืองหางโจวเมื่อปีที่แล้ว เมื่อวานนี้ข้าจึงหยิบออกมาตัดชุดให้นาง”

เสวี่ยเจียเยว่มองผ้าสีฟ้าผืนนั้นที่สดใสไม่น้อย หากโจวหลันได้สวมคงจะทำให้คนมองหวั่นไหว

เธอมองลวดลายที่โจวหลันวาดเสร็จแล้ว เป็นดอกหลันฮวาที่งดงามอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“พี่โจว ท่านจะปักลายดอกหลันฮวานี้หรือเจ้าคะ”

จากนั้นก็เอ่ยชื่นชมฝีมือของนาง จนโจวหลันหน้าแดงเรื่อ ลำคอขาวอมชมพูหดลงเล็กน้อย ช่างดูสง่าและงดงามยิ่ง

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยชื่นชมนางนั้น ก็แอบพิจารณาอีกฝ่ายไปด้วย หลี่หานเซี่ยวเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงมีชีวิตชีวา ส่วนโจวหลันอ่อนหวานและสง่างาม ไม่รู้ว่าหญิงงามที่เหลืออีกสิบคนจะมีหน้าตาและบุคลิกเป็นอย่างไรบ้าง

เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้แสงอาทิตย์กำลังสาดส่องเข้ามาในเรือน เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้รู้ว่าเป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้ว

เห็นได้ชัดว่าแม้โจวหลันจะนั่งอยู่ที่นี่ แต่ใจของนางนั้นอยู่ที่เด็กหนุ่มผู้มาเยือน เพราะนางมักมองไปยังห้องตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง

เสวี่ยหยวนจิ้งกับอาจารย์โจวและโจวฮุยกำลังนั่งพูดคุยเรื่องวิชาความรู้กันอยู่ในอีกห้อง มองจากหน้าต่างตรงนี้ก็สามารถเห็นคนที่อยู่ในห้องตรงข้ามได้

เสวี่ยเจียเยว่มองตามสายตาของนางไป และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง

ใบหน้าด้านข้างของเขาเป็นเส้นโค้งงดงาม สันจมูกโด่งเรียว เรียกได้ว่าเป็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ และตอนนี้เขากำลังพูดบางอย่างกับอาจารย์โจวอย่างตั้งใจ ผู้ฟังอย่างชายชราก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มไม่หยุด

ว่ากันว่าบุรุษจะมีเสน่ห์มากที่สุดก็คือตอนตั้งใจ และตอนนี้โจวหลันเหมือนจะบ้าคลั่งไร้สติเพียงได้มองเสวี่ยหยวนจิ้ง ใบหน้างดงามของนางบ่งบอกว่าคล้ายจะเป็นลม มองปราดเดียวก็รู้ว่าในใจคิดเช่นไร

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะเอ่ยออกไปสักประโยคสองประโยค ทว่าจู่ๆ โจวหลันก็วางผ้าที่กำลังปักตามลวดลายที่วาดไว้ ก่อนจะเอ่ยกับโจวซือเหนียง

“ท่านแม่ ข้าอยากไปนั่งคุยกับท่านพี่เจ้าค่ะ”

เมื่อกล่าวจบนางก็วิ่งออกไป

โจวซือเหนียงเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างไม่มีมารยาทจริงๆ มีแขกนั่งอยู่ด้วยแท้ๆ นางยังรีบวิ่งออกไป แม่นางเสวี่ยอย่าถือสานางเลย”

จากนั้นนางอธิบาย “หลันเอ๋อร์กับพี่ชายของนางมีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด คงเห็นว่าวันพรุ่งนี้พี่ชายของนางจะเดินทางไปอำเภอจึงเป็นห่วง ก็เลยรีบไปพูดคุยกับเขา”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยคล้อยตาม สายตาก็มองไปนอกหน้าต่าง เห็นได้ชัดว่านางมิได้ไปหาโจวฮุย แต่เป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง

เธอทำเป็นไม่เห็นท่าทีนั้น ก่อนจะหันไปพูดคุยกับโจวซือเหนียง แล้วตามนางไปทำอาหารในห้องครัว ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นโจวหลันเข้ามาช่วย โจวซือเหนียงจึงไปเรียกที่ห้อง แต่เด็กสาวไม่ยอมออกมา

ตามที่โจวซือเหนียงกล่าวมา โจวหลันรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย นางจึงนอนอยู่บนเตียง และไม่ออกมากินอาหารเย็น มารดายกเข้าไปให้นางก็ไม่กินเช่นเคย โจวซือเหนียงจึงต้องยกอาหารออกมา

เกิดอะไรขึ้นกับเสวี่ยหยวนจิ้งและโจวหลัน เด็กสาวถึงได้มีสภาพเช่นนี้

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสงสัย สุดท้ายก็อดถามเสวี่ยหยวนจิ้งที่กำลังปูฟูกนอนไม่ได้

“ท่านพี่ เมื่อตอนใกล้ค่ำแม่นางโจวไปพูดอะไรกับท่านบ้าง”เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงัก จากนั้นเขาก็ทำเหมือนไม่ใส่ใจ ก่อนจะปูฟูกต่อ ขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าพรุ่งนี้ตอนที่ข้าออกจากเรือนไปพร้อมพี่ชายของนาง ให้ข้าดูแลพี่ชายนางให้ดีเท่านั้น”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน “พี่ชายนางอายุมากกว่าท่าน เขาต้องเป็นคนดูแลท่าน จะให้ท่านดูแลเขาได้อย่างไร อีกอย่าง… สายตาที่แม่นางโจวมองท่านยังมีความเหนียมอาย ใครๆ ก็รู้ว่านางชอบท่าน นางตั้งใจไปหาท่านแล้วพูดแค่นี้อย่างนั้นหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้

เขาหันไปยกมือเคาะศีรษะของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อายุเจ้ายังน้อย จะไปรู้อะไร คำพูดเช่นนี้ก็กล้าพูดออกมาเช่นนั้นหรือ หากคนอื่นได้ยินเข้า จะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของแม่นางโจวหรือไร ต่อไปเจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้อีก”

เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘ฉันพูดแค่นี้ก็หาว่าจะทำลายชื่อเสียงของโจวหลัน ในนิยายเรื่องนี้ คุณต่างหากที่เป็นคนทำลายชื่อเสียงของคนอื่น’

เธอรู้สึกแปลกใจ นางเอกในนิยายคนแรกคือหลี่หานเซี่ยว คนที่สองคือโจวหลัน แต่ดูเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้งมิได้สนใจหลี่หานเซี่ยว และพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ต่อไปคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโจวหลันอีก ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเค้าโครงเรื่องเดิม หรือว่าเรื่องนี้จะแตกต่างไปจากเดิมแล้ว

ดูเหมือนว่าทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกจะมีอยู่จริง

เสวี่ยเจียเยว่กัดริมฝีปากเบาๆ รู้สึกสับสนในใจ เป็นเพราะการปรากฏตัวของเธอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาเสวี่ยหยวนจิ้งและคนอื่นๆ หรือไม่

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เข้าใจถึงความคิดของเสวี่ยเจียเยว่ในขณะนี้ เพียงคิดว่าแม่นางน้อยไม่เชื่อคำพูดเมื่อครู่ของเขา จึงเคาะศีรษะอีกฝ่ายอีกครั้งพลางเอ่ย

“ต่อไปอย่าคิดเรื่องนี้อีก เจ้าไม่สมควรคิดเรื่องพวกนี้ พรุ่งนี้ยังต้องรีบเร่งเดินทางแต่เช้า เจ้ารีบไปนอนเถอะ”

เขากล่าวจบก็ออกไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่นอกประตู

เมื่อทั้งสองคนเดินไปถึงประตู ก็พบกับโจวฮุยที่กำลังเดินมาพอดี เสวี่ยเจียเยว่จึงทักทายเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท

“พี่โจว”

เดิมทีโจวฮุยก็เหนียมอายอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นรอยยิ้มงดงามของแม่นางน้อย ใบหน้าของเขาก็แดงเรื่อทันที ก่อนจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “น้อง… น้องเสวี่ย”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดังนั้นก็พยักหน้าให้โจวฮุย “พี่โจวเข้าห้องเถอะขอรับ ข้าจะไปส่งน้องกลับห้องก่อน”

เด็กหนุ่มกล่าวจบก็จูงมือเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไป

เมื่อเห็นว่าโจวฮุยเข้าไปในห้องแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ต่อไปเจ้าอย่าได้ยิ้มให้บุรุษแปลกหน้าตามอำเภอใจอีก”

[37] เสื้อตัวนอกแขนยาว คอเสื้อเป็นสาบเฉียง

[38] กระโปรงจีบยาวและบานออก รัดบริเวณช่วงเอว

[39] คือดอกกล้วยไม้