ตอนที่ 99
บ้านอื่นทำไมถึงไม่ตะโกนกันนะ เพราะอะไรหญิงชราทั้งสองคนนี้ถึงต้องตะโกนแทบจะขาดใจเยี่ยงนี้
เพราะว่าสัตว์ของบ้านพวกนางสองคนไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงแล้ว
กินก็ไม่กิน ขยับก็ไม่อยากขยับ พวกนางเห็นแบบนี้จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร?
เกือบจะเข้าไปช่วยพวกมันเคี้ยวหญ้าแล้วนั่น
ควายแก่ของบ้านลุงใหญ่ ที่อ่อนแรงเป็นเพราะอายุมากแล้ว
เป็นที่รู้กันว่า สัตว์กับคนก็เหมือนกันนั่นแหละ เมื่ออายุมาก ทำงานหนัก ขาก็ย่อมอ่อนแรง
แต่ล่อของบ้านซ่งฝูเซิงนั้น เป็นตัวที่รับผิดชอบในการบรรทุกอาหาร เฉียนเพ่ยอิงนั่งบนรถลากเทียมล่อตัวนั้น มันดูเหมือนเริ่มกินอาหารไม่ลงและบางครั้งก็ตัวสั่น เหนื่อยจนคอตก
ดังนั้นผลจึงออกมาแล้ว สัตว์สองตัวนี้ เป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับท้ายสุดกับรองสุดท้าย
ซ่งฝูเซิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าท่านแม่ขยิบตาให้เขา จนแทบจะทำตาขาวใส่ เขาตัดสินอย่างเป็นธรรมและประกาศผลออกมา “เราจะฆ่าควายของอาใหญ่ข้าและล่อของบ้านข้า”
“อ๊าห์!” ป้าใหญ่ทรุดนั่งลงกับพื้นและไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะนี่เป็นกฎที่ได้ตกลงร่วมกันมาก่อนหน้าแล้ว นางกลัวว่าหากเปลี่ยนใจ จะทำให้คนอื่นเกิดความไม่พอใจ นางจึงทำได้แต่เพียงใช้มือตบหน้าขาแล้วร้องไห้ “อาเซิงอา อาเซิง!”
ซ่งฝูเซิง “…”
อะไรกันเนี่ย นางเรียกควายแก่ว่าอาเซิงหรือ?
อย่าได้เรียกแบบนี้ได้ไหม ใครไม่รู้อาจคิดว่าจะฆ่าเขาเอานะ
ท่านย่าหม่าค่อนข้างจะทำใจได้เร็วกว่าพี่สะใภ้ของนางนิดหน่อย นางกระโดดแล้วชี้นิ้วด่าล่อ “เจ้ามันไม่เอาไหน เจ้ามันไม่ได้เรื่อง!”
ซ่งฝูหลิงสังเกตเห็นเส้นเลือดตรงลำคอของท่านย่านูนขึ้นมายามร้องตะโกน ตอนนี้น้ำเสียงของท่านย่าก็แหบแห้ง ไม่อาจยอมให้ท่านย่าเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีก
ซ่งฝูหลิงเดินหน้าเข้าไปห้ามปราม “ท่านย่า ท่านยอมรับความจริงเถอะ” หลังจากนั้นก็อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังปลอบท่านย่าใหญ่ที่ร้องไห้คร่ำครวญ ตอนนี้ท่านย่าใหญ่ยื่นมือออกไปเพื่อโบกมือให้กับควายแก่ตัวนั้นที่โดนลากไป เหมือนกับเหตุการณ์ยุคปัจจุบัน ก่อนที่คนจะต้องถูกผลักเข้าไปในกองเพลิงเพื่อทำพิธีศพ นางกระซิบ “ท่านย่า ท่านดูสิ ท่านรีบดูนางเร็ว และไม่ต้องกังวลใจแล้ว อย่างน้อยพวกท่านสองคนก็เสมอกันในการรบนะ”
ท่านย่าหม่าหันกลับไปมองพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง
อย่าให้พูดเลย ดูเหมือนจะสบายใจมากขึ้นไม่น้อยจริงๆ
โดยเฉพาะความคิดที่อยู่ในใจ พ่อสามีทิ้งควายตัวนี้เอาไว้ให้ พวกเจ้าเป็นบ้านใหญ่ก็ครอบครองมันไว้ เอาเปรียบคนอื่นมาหลายปี ครั้งนี้หากฆ่ามันเสร็จ บ้านนางก็จะได้กินเนื้อควาย คงจะต้องกินเนื้อให้เยอะๆ ถือเป็นส่วนแบ่งจากควายที่พ่อสามีทิ้งไว้ให้
“พั่งยา สักพักเจ้าต้องกินให้เต็มที่นะ”
ท่านย่าหม่าปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อครู่และตะโกนบอกเกาถูฮู่ “ยังต้องลากไปเชือดทำไมเสียเวลาเปล่า เชือดมันเสียตรงนี้แหละ พี่สะใภ้ของข้ารู้ดีว่าควายตัวนี้ได้มาอย่างไร เจ้าต้องให้นางเห็นด้วยตาของนางเองว่าจะไม่มีมันอีกต่อไปแล้ว หลายปีที่เลี้ยงมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ซ่งฝูหลิงรีบดึงชายเสื้อของท่านย่าไว้ ท่านย่านี่ เก็บความพอใจอยู่ในใจก็พอแล้วไหม ทำไมจะต้องพูดออกมามากมาย ดูสิความสัมพันธ์ที่ผ่านมาอุตส่าห์ดีขึ้น ตอนนี้ท่านย่าใหญ่ถลึงตาใส่ท่านย่าแล้วนะ
เกาถูฮู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มีเด็กตั้งเยอะแยะอยู่ตรงนี้ หากเอามีดเชือดมันจนเลือดติดมีดออกมาแดงฉาน จะทำให้เด็กตกใจได้
แน่นอน ยกตัวอย่างเช่น ซ่งฝูหลิงกับเฉียนหมี่โซ่ว พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่ไม่กล้าดู สองพี่น้องนั่งอยู่บนพื้นเอามืออุดหูและมองหน้าสบตากันไปมา
“พี่สาว เขาเชือดกันเสร็จแล้วหรือยัง?”
เมื่อพูดจบก็ได้ยินเสียงร้องอันโหยหวน
ร่างน้อยๆ ของเฉียนหมี่โซ่วถึงกับสั่นเทา สักพักเขาก็รีบซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของซ่งฝูหลิง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว น้องเล็ก สักพักเราจะเอามันมาย่างกิน รสชาติอร่อยมาก ตอนนั้นพี่จะแอบทาเกลือให้กับเจ้าด้วย เจ้าก็อย่าส่งเสียงออกไปแล้วกัน”
“พี่สาว ปากท่านมีกลิ่น”
ซ่งฝูหลิงไม่อุดหูแล้ว นางเอามือกุมปากแทน เพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่วันเดียวที่ไม่ได้แปรงฟันก็เหม็นขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย?
เฉียนหมี่โซ่วสงสัยก็ยื่นตัวดมซ่งฝูหลิงอีกครั้ง จมูกน้อยๆ ยื่นมาใกล้กับปากของซ่งฝูหลิงเพื่อสูดดม เขารู้สึกว่ากลิ่นไม่ค่อยชัดเจน จึงยื่นมือไปจับมือของพี่สาวที่ปิดปากอยู่ออกมา “อืม กลิ่นหอม ท่านต้องกินของกินเยอะกว่าข้าแน่นอนเลย”
น้ำเสียงของเฉียนหมี่โซ่วเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ซ่งฝูหลิง “…”
แค่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง เวลาพูดออกมามีกลิ่นแรงขนาดนี้เลยหรือ?
หมี่โซ่ว ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มนั่นด้วย แต่เจ้าก็ยังได้ดื่มนมอยู่นะ ข้าต่างหากที่แม้แต่นมก็ยังไม่ได้ดื่มเลย
ตอนที่ 100
ซ่งฝูหลิงดึงเฉียนหมี่โซ่วมาตรงจุดที่ไม่เป็นที่สังเกต เดินออกมาห่างไกลหน่อย ก่อนที่นางจะเปิดฝากระบอกน้ำร้อนและเทลงบนฝา หลังจากนั้นจึงป้อนน้ำให้น้องชาย
เฉียนหมี่โซ่วเพิ่งดื่มไปได้อึกเดียว เขาถึงกับทำตาโต เงยหน้าเล็กๆ มองซ่งฝูหลิง
เด็กน้อยน่าตาดีเหมือนกับเด็กผู้หญิง ตอนนี้ดวงตากลมโตใส ในแววมีประกายทั้งดีใจและตกใจ ทำเอาซ่งฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะนั่งยองๆ ลงและใช้มือบีบที่แก้มของหมี่โซ่ว พร้อมกับพูดว่า “เจ้าดูสกปรกไปหน่อยนะ”
เฉียนหมี่โซ่วสะบัดหัวให้ออกจากมืออำมหิตของพี่สาว และรีบถามขึ้น “น้ำอะไรเนี่ย น้ำบ๊วยหวานเหรอ?”
บ๊วยหวาน นั่นเป็นอะไร “อืม อร่อยดี”
เฉียนหมี่โซ่วจ้องมองเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ในกระบอกน้ำ ก่อนจะพยักหน้า สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับของเหลวนั่น เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
“รีบดื่มสิ อย่าให้คนอื่นเห็น”
แต่เฉียนหมี่โซ่วกลับเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านป้าเคยดื่มแล้วรึยัง? ท่านลุงล่ะ?”
“อ๊าห์ นั่น…”
“พี่สาวเทกลับไปเถอะ เก็บไว้ให้ท่านป้าได้ดื่ม ให้ท่านลุงได้ลิ้มรสชาติด้วย”
ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าทุกวันนี้ ท่านย่าของนางคนหนึ่ง หมี่โซ่วอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนนี้ เพียงแค่พูดคำพูดออกมาจากใจจริง ก็เหมือนกับเข็มที่ทิ่มแทงจิตใจของนางได้ อีกทั้งยังไม่สามารถรับมือได้ อยู่ดีๆ ก็จะพูดจาแทงใจดำ
ซ่งฝูหลิงเขย่ากระบอกน้ำ บอกให้หมี่โซ่วรีบดื่มเพราะยังมีเหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่ง
ไม่คิดว่าหมี่โซ่วจะพูดออกมาด้วยความกังวล “พี่สาว เบาๆ หน่อย เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอก” กำชับเสร็จเข้าก็ใช้ลิ้นแตะเครื่องดื่ม หลังจากที่พี่สาวเร่งให้ดื่ม เขาก็ดื่มจนหมด ดื่มหมดแล้วยังใช้ลิ้นเลียตามฝาอีกรอบ
“อร่อยมากเลย หอมหวาน” เด็กน้อยแสดงความพึงพอใจออกมาทางสีหน้า ดูเหมือนมีชีวิตชีวามากขึ้นเยอะ เขาเริ่มพูดคุยกับซ่งฝูหลิงไม่หยุด
“ท่านพี่ เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะดื่มแบบนี้หรอก ข้าอยากจะดื่มแค่นิดหน่อยยามที่รู้สึกอยาก แบบนี้ถึงจะสามารถดื่มไปจนถึงตอนเย็นได้ แต่ว่า มันไม่พอนะสิ ข้ากังวลว่าคนอื่นจะเห็นด้วย สู้ดื่มลงท้องตัวเองไปแบบนี้ไม่ได้ ท่านว่าจริงไหม?”
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันน่ะ” ซ่งจินเป่าวิ่งมา
ซ่งฝูหลิงได้ยินเสียงอุทานของเฉียนหมี่โซ่ว ที่ใช้น้ำเสียงเหมือนเจอผีก็ไม่ปานอย่างชัดเจน “แย่แล้ว!” เขาอุทานเสร็จก็ดึงนางวิ่ง สองขาเล็กก็สะดุดล้ม
ซ่งจินเป่าเห็นสองคนนั้นวิ่งไปก็ถึงกับงวยงง กลับเป็นเขาที่หยุดยืนอยู่กับที่
เด็กน้อยถึงกับต้องเกาหัว “พี่พั่งยา พี่พั่งยา? ท่านย่าเรียกท่านไปกินเนื้อ พี่จะวิ่งทำไม เราจะกินเนื้อกันแล้ว!”
เขาพบว่า ตะโกนเรียกให้ไปกินเนื้อก็ไม่มีประโยชน์ สองคนนั้นก็ไม่ยอมหยุด ซ่งจินเป่าบ่นพึมพำ “ข้าตะโกนเรียกท่านแล้วนะ ไม่สนใจแหละ ข้าไปกินเนื้อดีกว่า”
โอ้ว เพียงแค่ดื่มเครื่องดื่มก็ไม่น่าคึกถึงเพียงนี้ ใกล้จะเหมือนแมววิ่งไล่จับหนูแล้ว
เฉียนหมี่โซ่วให้คำตอบกับซ่งฝูหลิง พี่สาว ท่านลืมไปแล้วรึไงว่าปากท่านมีกลิ่น? ไม่สามารถเปิดปากพูดได้
สวรรค์ สวรรค์ ทำให้คนเสียสติเช่นนี้ หมี่โซ่ว เจ้ารอให้พี่รุ่งเรืองก่อนเถอะ พี่จะให้เจ้าดื่ม เอ่อ ‘น้ำบ๊วยหวาน’ นี่ทุกวัน
ในขณะเดียวกัน เฉียนเพ่ยอิงก็อารมณ์ไม่ดี สวรรค์ สวรรค์ ทำไมคนทั้งหมดถึงกินเนื้อล่อได้ แต่ท่านย่าหม่าไม่ยอมให้นางย่างกิน และยังวิ่งมาแย่งไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ดี นางเกือบจะถูกลวกหน้าและลำคอ ทำให้นางตกใจไม่น้อย
คำตอบที่ให้อย่างไม่คาดคิด ก็เห็นคุณยายกัวตบลูกสะใภ้คนเล็กไปทีหนึ่ง “เจ้าทำไมตะกละอย่างนี้ ตะกละตะกลาม เจ้ามันเป็นไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้!”
เสียงตบดังกึกก้อง ซ่งฝูหลิงกับเฉียนหมี่โซ่วเดินผ่านมาพอดี ทั้งสองหยุดเดินพร้อมกับหันไปมอง “…”
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงมาพูดปลอบใจเฉียนเพ่ยอิง
“เมื่อครู่เจ้าตะโกนพูดกับท่านแม่น้ำเสียงดังมาก เจ้าดูพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พวกเขาอิจฉาเจ้า เจ้าก็อย่าได้โมโหไปเลย เดี๋ยวโมโหมาก ท่านแม่ก็จะร้องไห้ออกมาหรอก…
…เรื่องเหล่านี้มีเบื้องหลังอยู่ เดิมทีพวกเราจะไม่กินสัตว์ชนิดนี้ เจ้าก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน เนื้อลาจะมีกลิ่นหอม เนื้อม้าจะมีกลิ่นเหม็นสาป ต่อให้ตีให้ตายก็จะไม่ยอมกินเนื้อล่อ…
…ล่อนั้น เจ้ารู้ไหม? มันมาจากการผสมพันธุ์กันระหว่างม้ากับลา ทำให้มันเป็นสัตว์ที่เป็นหมัน ดังนั้น คาดว่าคนที่นี่คงเชื่อเรื่องพวกนี้มากกว่าเรา คงกลัวว่าหากกินเข้าไปก็จะมีลูกไม่ได้”
เฉียนเพ่ยอิงกัดฟันตอบ “เดิมทีข้าก็ไม่ได้วางแผนว่าจะมีลูกสักหน่อย”
ซ่งฝูเซิง “ใช่ ข้าก็ไม่ได้วางแผนว่าจะมี เฮ้อ แต่ละคนชอบทำแต่เรื่อง ยังดีที่พวกเขาไม่หิว ข้ารู้สึกว่าคนโบราณนี่ค่อนข้างเรื่องมากมากกว่าพวกเราเยอะเลย”