บทที่ 62 อัดแกมันต้องอัดที่หน้าโดยเฉพาะ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 62 อัดแกมันต้องอัดที่หน้าโดยเฉพาะ Ink Stone_Fantasy

เมื่อเจอกับฉินเหิงที่มาสร้างความยุ่งยากและหาเรื่องตนเอง เย่เทียนเฉินก็ไม่เกรงใจ ถ้าหากปล่อยให้คนคนนี้โอหังอวดดีต่อไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นการรบกวนชีวิตอันสงบสุขของคนในครอบครัวตนเองหรอกหรือ? ดังนั้นจึงต้อนรับฉินเหิงด้วยตะเกียบข้างหนึ่ง ชิงหักขาซ้ายของเขาก่อนเพื่อเป็นการสั่งสอน หากว่ายังกล้าโอหังอีกล่ะก็ เกรงว่าขาขวาของเขาก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว

คำพูดของหลูวั่งทำให้นายน้อยจอมเสเพลทุกคนที่นี่มองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงตาค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยรุ่นที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดไม่จามาโดยตลอด ที่แท้ก็เป็นอดีตตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง ชายที่ทุกวันนี้เป็นตำนานอันจับต้องได้ของทั่วทั้งเมืองหลวง

“อะไรนะ? ไอ้หมอนั่นก็คือเย่เทียนเฉิน?”

“เป็นไปไม่ได้ ดูไปแล้วไม่เห็นโง่เลย!”

“ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้ว กล้าลงมือกับฉินเหิงต้องตายแน่ๆ”

“ท่าทางไอ้หมอนี่คงปัญญาอ่อน ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับฉินเหิง ไม่ใช่แค่เขารนหาที่ตาย เกรงว่าตระกูลเย่ทั้งตระกูลก็จบเห่แล้ว”

เหล่าคุณชายที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ไม่มีสักคนที่จะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี แม้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจะทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจไม่มากก็น้อย แต่ว่าพวกเขาไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” ใบหน้าของฉินเหิงปรากฏรอยยิ้มน่าเกลียด มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าวออกมา

                “ฉันจำเป็นต้องบอกแกด้วยเหรอ? ทำไมต้องบอกแกด้วยล่ะ? แกอาศัยอะไรมาสอดรู้มิทราบ?” เย่เทียนเฉินไม่แยแสฉินเหิงโดยสิ้นเชิง ใช้น้ำเสียงสนุกสนานกล่าวไป

“แก…ดี กล้าดี วันนี้บิดาจะทำให้แกรู้ว่าคำว่าตายเขียนยังไง…” ฉินเหิงคำรามด้วยความโกรธ

เย่เทียนเฉินยังคงนั่งอยู่บนโซฟา หาวออกมาครั้งหนึ่ง มือขวาหยิบตะเกียบข้างที่เหลือมาเล่น มองหลูวั่งครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ แต่ก็ต้องโทษแกด้วยที่ฉลาดเกินไป อยากให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดี แต่กลับทำเรื่องเลวๆ…”

หลูวั่งมองเย่เทียนเฉิน ไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ ที่เทียนซ่างเหรินเจียน ฉากที่เย่เทียนเฉินอัดลั่วเหลยอย่างรุนแรงฉากนั้น เขายังจำได้ฝังใจ ส่วนเรื่องที่เย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเหิงได้หรือไม่นั้น เขาหลูวั่งไม่กล้ายืนยัน ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

ฉินเหิงใช้อำนาจบาตรใหญ่ หยิ่งผยอง หาเรื่องไม่ได้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เย่เทียนเฉินที่กลับมาที่เมืองแล้วก็ไม่ใช่สัตว์กินหญ้า อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน นี่ก็ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและแปลกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

ฉินเหิงอีกด้านหนึ่ง สองมือกุมอยู่บริเวณต้นขาของตนเอง เจ็บเสียจนขบฟันแน่น เขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะปรากฏตัวที่นี่ อีกทั้งมาถึงก็หักขาซ้ายของเขา ยิ่งตอนที่ตนเองพูดกับเขา เย่เทียนเฉินดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก เขาฉินเหิงไม่เคยได้รับการดูถูกเช่นนี้มาก่อน ทำให้ยิ่งเพิ่มพูนความโกรธเข้าไปอีก

“ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ฆ่าไอ้ลูกเต่านี่ให้ฉันสิวะ ฆ่ามันซะ!” ฉินเหิงคำรามใส่บอดี้การ์ดสองคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังเขา

บอดี้การ์ดสองคนนั้นเป็นลูกน้องของฉินเหิง และเป็นสมุนนักสู้ของตระกูลฉิน ความสามารถย่อมไม่อ่อนแอ บอดี้การ์ดทั้งสองเป็นคนที่ฉินเทาหยวนบิดาของฉินเหิงส่งมาคุ้มครองฉินเหิงด้วยตัวเอง เขารู้ว่าฉินเหิงวันๆ เอาแต่สร้างปัญหาอยู่ข้างนอก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอตอเข้าสักวัน ดังนั้นจึงส่งบอดี้การ์ดสองคนนี้มาซึ่งล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อย

ได้ยินคำสั่งของฉินเหิง บอดี้การ์ดทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันครู่หนึ่ง แล้วพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินแทบจะพร้อมๆ กัน บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้าไปด้านหน้าสุดปล่อยหมัดซัดไปยังบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อต้องเผชิญกับหมัดของบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาหน้าสุด ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าสมแล้วที่ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง เห็นได้จากบอดี้การ์ดทั้งสองที่ติดตามข้างกายฉินเหิงมานี้ เนื่องจากบนร่างกายของบอดี้การ์ดสองคนมีการผันแปรของพลังยุทธ์อันแข็งแกร่ง คนธรรมดาย่อมมิอาจสังเกตเห็นได้ แต่เย่เทียนเฉินนั้นรู้ผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้ตั้งนานแล้ว

ปัง!

ลงมือที่หลังแต่จัดการได้ก่อน ตอนที่หมัดของยอดบอดี้การ์ดผู้นั้นยังต่อยไปไม่ทันถึงศีรษะ ขาขวาของเย่เทียนเฉินก็เตะกวาดไปในแนวนอน เตะถูกบริเวณท้องของบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาก่อนอย่างรุนแรงจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันตัวเขาก็กระโดดขึ้นสุดตัว เนื่องจากในมือขวาของบอดี้การ์ดที่เหลืออีกคนหนึ่งปรากฏกริชขึ้นมาหนึ่งเล่ม ทั้งยังแทงตรงเข้ามายังหน้าอกของเขา

ในขณะที่บอดี้การ์ดที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็น ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง เหล่าคุณชายบริเวณนั้นถึงจะมีปฏิกริยาขึ้นมา ทุกคนมองปรากฏการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึงจนตัวแข็งเป็นหิน หลังจากที่เย่เทียนเฉินกระโดดส่งตัวบินขึ้นไปก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอีก เขาหันหลังให้บอดี้การ์ดที่เหลืออีกคนหนึ่ง

เห็นเพียงเย่เทียนเฉินหันหลังให้กับบอดี้การ์ดคนที่เหลือ แต่ตะเกียบในมือของเขากลับพุ่งไปยังลำคอของบอดี้การ์ดที่เหลือคนนั้น ส่วนกริชในมือบอดี้การ์ดคนนั้นยังคงอยู่ในท่าแทงไปด้านหน้า เหงื่อเย็นบนหน้าผากไหลออกมาเป็นสาย ใบหน้าซีดขาว เขาคิดไม่ถึงเลยว่ายอดบอดี้การ์ดทั้งสองคนอย่างตน ฝีมือไม่นับว่าอ่อนแอ กลับไม่มีโอกาสรับมือกับเย่เทียนเฉินแม้แต่กระบวนท่าเดียว ต่อให้ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน ก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้เย่เทียนเฉินได้

บอดี้การ์ดที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นไปนั้นดิ้นอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง แล้ว็ไม่ลุกขึ้นมาอีก ทำให้หลูวั่งและกลุ่มคุณชายรีบถอยหลังไป มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ เพียงลูกเตะเดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้ยอดบอดี้การ์ดสลบไปได้ คนคนนี้ยังเป็นตัวตลกของเมืองหลวง ยังเป็นไอ้คนไม่เอาไหนและเศษสวะที่เลื่องชื่อหรือไม่? เกรงว่าตอนนี้จะไม่มีสักคนกล้าที่จะเชื่อ

“ฉินเหิง ดูท่าลูกน้องบอดี้การ์ดของแกก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่ คุ้มครองแกไม่เห็นจะได้!” เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินเหิงในตอนนี้ตกใจจนตัวสั่นไปตั้งนานแล้ว เขาอยู่กับบอดี้การ์ดข้างกายไม่ใช่แค่วันสองวัน ฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหนฉินเหิงรู้เป็นอย่างดี คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้เลย ต่อให้เจอกับคนที่ร้ายกาจก็ยังมีฝีมือพอที่จะปกป้อง แต่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ยอดบอร์ดี้การ์ดสองคนของตนเองกลับอ่อนแอไร้ทางสู้เช่นนี้ ทำให้การป้องกันที่เป็นไพ่ตายในใจของเขาพังทลายสิ้น

“แก…”

“อย่าพูดเชียว แกพูดคำหนึ่ง ฉันก็เกิดมีความคิดว่าอยากจะเตะแกขึ้นมาหนึ่งครั้ง” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของฉินเหิงด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

ฉินเหิงตกใจจนถอยหลังไม่หยุด ณ เวลานี้ เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ขาขวาของตนแล้ว แทบอยากจะออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ในใจเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ตนเองลำพองใจเกินไป ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาจนเกินไป ไม่คิดว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขอเพียงแค่ตนเองหนีไปได้ เช่นนั้นแล้วด้วยศักยภาพของตระกูลฉิน ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธ์โบราณก็ดี ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษก็ดี ล้วนสามารถเชิญมาได้ ถึงตอนนั้นค่อยเชิญยอดฝีมือมาเก็บกวาดเย่เทียนเฉินก็เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายดูท่าทางแล้ว เย่เทียนเฉินเหมือนจะไม่คิดปล่อยตนเองไปง่ายๆ

เสียงฟิ้วดังขึ้น บอดี้การ์ดคนที่เหลือก็ล้มลงไปกับพื้น แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเขา ยังคงกล่าวได้ดังเดิมว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่ผู้ที่เสพติดการฆ่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนนี้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงปล่อยหมัดใส่บอดี้การ์ดคนนั้นทำให้เขาสลบสติลงกับพื้น

เย่เทียนเฉินสองมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา มองไม่เห็นถึงเจตนาร้ายแม้เพียงครึ่งส่วน เดินยิ้มไปยังฉินเหิง ฉินเหิงตกใจจนเดินเซ หากไม่ใช่เพราะใช้มือยันโซฟาเอาไว้คงจะล้มลงกับพื้นราวสุนัขกินขี้ไปแล้ว

ตอนที่ฉินเหิงหมุนตัว เย่เทียนเฉินก็เดินมาถึงด้านหน้าเขาแล้ว ทำเพียงยิ้มมองเขาอยู่เช่นนั้นไม่ได้ลงมือลงไม้อะไร ทำเพียงแค่จ้องมองเช่นนั้น

“แก…แกคิดจะทำอะไร?” ฉินเหิงตกใจจนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทิ้ม

“ประโยคนี้ฉันควรจะถามแกมากกว่ารึเปล่า? นายน้อยฉิน แกหาฉันมีธุระอะไร?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ผม…ผมก็แค่ได้ยินชื่อเสียงของพี่เย่มานาน อยากจะรู้จักสักหน่อยก็แค่นั้น…”

พูดประโยคนี้จบ ฉินเหิงเองทั้งโกรธทั้งอาย ใบหน้าแดงก่ำ แทบอยากจะมุดหน้าเข้าไปในดิน ส่วนเหล่าคุณชายที่อยู่ตรงนี้ ต่างก็อยากจะถ่มน้ำลายใส่ฉินเหิงให้จมน้ำลายตาย เมื่อสักครู่นี้เจ้าหมอนี่ยะโสโอหังขนาดไหน ตบหลูวั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ข้างๆ มีคนพูดถึงความเป็นธรรม ก็เตะไม่เลี้ยง แถมยังประกาศศักดาว่าใครกล้าหาเรื่องเขาฉินเหิง ก็ต้องถูกหักขาสุนัข ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่เห็นคนทั้งหมดที่นี่อยู่ในสายตาเลย กล่าวได้ว่าเหิมเกริมเกินพิกัด อวดเบ่งตัวเองขั้นสุด

แต่ว่าฉินเหิงที่เมื่อสักครู่ยังหยิ่งผยองไม่มีใครเกินและประกาศว่าจะบุกไปที่บ้านของเย่เทียนเฉินเพื่อไปหักขาทั้งสองของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีหน้าไปโดยสิ้นเชิง ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ยังเทียบไม่ได้กับหนูในท่อน้ำเน่าเหม็น ใบหน้าราวกับไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน สีหน้าอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก

“ไม่หรอกมั้ง เมื่อกี้ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอด คำพูดของพวกแกทุกคนฉันได้ยินหมด แกบอกว่าจะหักขาสุนัขของฉัน ฉันคิดว่าฉันไม่ยินไม่ผิดหรอกใช่ไหม? แกผิดคำพูดของตัวเองแบบนี้ ช่างไม่รักษาหน้าตัวเองเลยจริงๆ ไม่เห็นหน้าตาตระกูลฉินสำคัญอะไรเลย…” เย่เทียนเฉินส่ายหัวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินเหิงได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม  เดิมทีเขามาเพื่อจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ในความคิดของเขา ขอเพียงเขาฉินเหิงลงมือ เย่เทียนเฉินจะต้องรีบคุกเข่าขอชีวิตทันที จะฆ่าเย่เทียนเฉินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาฉินเหิง แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่เกิดขึ้นจริง ตอนนี้ชีวิตของเขาถูกกุมอยู่ในมือของเย่เทียนเฉิน ความเป็นความตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว

“แก…เฮอะ เย่เทียนเฉิน แกนับเป็นตัวอะไรได้ ตระกูลเย่ของแกนับเป็นอะไรได้ แกกล้าลงมือกับฉันไหม? กล้าล่วงเกินตระกูลฉินของพวกเราไหม? แกต้องคิดถึงผลลัพธ์ให้ดีๆ!” ฉินเหิงไม่ใช่ว่าเพราะมีความเคารพในตัวเอง ไม่ใช่ว่าเพราะได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินแล้วโกรธขึ้นมา แต่เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาหรือกล้ามองข้ามตระกูลฉินของพวกเขาเช่นนี้มาก่อน ความหยิ่งผยองในใจของเขาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ลดลงไปเลย

ปัง!

เย่เทียนเฉินตอบฉินเหิงด้วยหมัดเพียงหนึ่งหมัด ซัดเข้าไปที่ใบหน้าของฉินเหิง ซัดจนฉินเหิงลงไปนอนร้องโอดครวญกับพื้น สองมือกุมปากของตนเอง กระอักเลือดสดๆ และฟันออกมา ไม่รอให้ความเจ็บปวดของฉินเหิงลดลง เย่เทียนเฉินก็ใช้เท้าที่สวมรองเท้าหนังเหยียบลงไปบนใบหน้าของฉินเหิงโดยตรง เหยียบเขาลงกับพื้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยฉิน โบราณกล่าวว่า ตีคนไม่ตีหน้า แต่ว่าคนอย่างแก ไม่ตีที่หน้าก็ไม่จำ ดังนั้นฉันก็ทำได้แต่อัดหน้าแกโดยเฉพาะแล้ว!”

……………………………………………..