ถ้าคนสำคัญจะออกจากป้อมปราการ อย่างไรก็ต้องผ่านเมืองไป เริ่นเสี่ยวซู่มักเห็นพวกเขาใส่ชุดสูทนั่งอยู่ในรถ ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าคนสำคัญเหล่านั้นมีท่วงท่าเขื่องโขไม่น้อยเลย

แต่ถ้ามีคนคิดจะใส่สูทออกมาทอดน่องในแดนรกร้างจริง แถมยังเป็นสูทสีขาวปลอดขนาดนี้ เริ่นเสี่ยวซู่คงด่าเช็ดเข้าให้ว่า “ไอ้หน้าโง่!”

ใส่สูทเช่นนี้ ยามต่อสู้มีแต่จะขวางมือขวางเท้า เคลื่อนไหวหาความสะดวกไม่ได้ ถ้าเกิดเจอสัตว์ป่าที่สู้ไม่ไหว จะหนีก็คงไม่ไหวไปด้วยเลยกระมัง

ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นชายหนุ่มผู้ยืนอยู่เหนือไซต์งาน เขากลับไม่รู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้จะไม่เหมาะหรือไร้กาลเทศะแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะว่าคนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องสู้รบตบมือกับใครก็ได้

เขาน่าจะเป็นผู้นำในภารกิจของสมาคมตระกูลชิ่งนี้ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าคนใหญ่คนโตแห่งสมาคมตระกูลชิ่งผู้นี้ด้วยต่างจากผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ อยู่ไม่น้อยเชียว

เขาก้มหัวลงต่ำ ด้วยกลัวว่าทหารของสมาคมจะสังเกตเห็นเขาเข้า มีทหารพันกว่านายคอยตรวจตรารอบไซต์งาน เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าสูเสี่ยนฉู่จะประเมินความรัดกุมกระชับพื้นที่ของสมาคมตระกูลชิ่งต่ำไปหน่อย

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ ไม่รู้สูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นหายไปไหนแล้ว

ถึงจะไม่เห็นร่องรอย แต่เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจว่าพวกเขาอยู่แถวนี้แน่นอน

“ต้องออกไปจากที่นี่แล้วสิ” เริ่นเสี่ยวซู่บอกตัวเอง คนอื่นจะทำอะไรไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว พอรับรู้แล้วว่ามือตัวเองเอื้อมไม่ถึงความลับของเขาจิ้งซานแน่นอน เขาก็พร้อมจะถอยทันที

อยู่นี่ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ส่วนความลับแห่งเขาจิ้งซานอะไรนั่น หยางเสียวจิ่นกับสูเสี่ยนฉู่ดูสนอกสนใจกว่าเขามาก

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตตนเองไปกับความลับนี้ ถ้าเกิดว่าที่นี่มีคนที่มีทักษะระดับสูงอยู่ดาษดื่น บวกถ้าเกิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่ที่มีคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานและขั้นปรมาจารย์อยู่หลายสิบละก็ เขาคงต้องลองสักรอบ ต้องแบบนั้นแหละถึงจะเป็นขุมสมบัติที่แท้จริงสำหรับเขา

แต่ในความเป็นจริง ที่สำคัญที่สุดคือเริ่นเสี่ยวซู่เห็นตึกสูงโดนรถขุดทุบทำลายกลายเป็นเศษซากมากขึ้นเรื่อยๆ บางตึกโดนรถแตะเบาๆ ก็พังครืนลงมาแล้ว ที่ตอนแรกตั้งตรงอยู่ได้ ก็เพราะว่าไม่มีอะไรไป ‘แตะต้อง’ มัน

เหนือพื้นดินยังมีบางอาคารที่เขาพออ่านป้ายได้ว่าคือสถานที่อะไร เพราะตัวป้ายยังถือว่าเกือบครบดี อย่างเช่นร้านเสริมสวย ร้านนวด และอื่นๆ เป็นต้น

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าที่นี่จะมีอะไรมีค่าหรอก จึงคิดอยากจะจากไป

ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นป้ายร้านพวกนั้น ก็พลันรู้สึกว่าความเชื่อมั่นของตนถูกทรยศหักหลัง ปัญญาของตนถูกดูหมิ่น พอยิ่งนึกย้อนไปถึงคิวอาร์โค้ด เสี่ยวหลงข่าน และตุ๊กตาพลาสติก ก็พบว่าพวกนั้นไม่ได้เป็นของหายากอะไรเลย!

ใจอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าสูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นเห็นป้ายร้านพวกนี้แล้วจะคิดอะไรอย่างไร เอาเถอะ เริ่นเสี่ยวซู่พอแล้ว อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ เจออันตรายสารพัด ก็เพื่อเจออะไรยังงี้เนี่ยนะ

เริ่นเสี่ยวซู่กดหัวลงต่ำ ขณะมุ่งไปทางข้างภูเขาอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้เขายังได้ยินเสียงปืนจากข้างหลังดังลั่นไม่หยุด หมายว่าจนถึงตอนนี้กองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งก็ยังไม่สามารถปราบปรามเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นได้ เสียงปืนนี้อย่างน้อยก็ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจว่าพวกสมาคมตระกูลชิ่งจะไม่สามารถแบ่งสมาธิมาจัดการเขาได้

ถึงแม้ที่ตีนเขายังมีทหารคอยลาดตระเวนอยู่ ทว่าพวกเขาต่างให้ความสำคัญกับไซต์ที่ขุดค้นอยู่เป็นสำคัญ ส่วนไซต์ที่ถูกทิ้งร้างก็ดูจะไร้ค่าไปแล้ว พวกทหารเลยไม่สนใจจะมาเฝ้าอะไรอีก

ซึ่งเริ่นเสี่ยวซู่สามารถใช้ไซต์งานที่ถูกทิ้งโดยเหล่าสมาคมเหล่านี้เป็นทางผ่านลอบเร้นออกไปจากที่นี่ได้

ระหว่างทางมานี้ สมาคมตระกูลชิ่งตัดไม้ไปจำนวนมหาศาลเพื่อเกลี่ยทางยาวไปจนถึงป้อมปราการ 112 เริ่นเสี่ยวซู่ต้องซูฮกให้กับขีดจำกัดที่องค์กรหนึ่งสามารถทำได้จริงๆ

สถานที่อย่างแดนรกร้าง ยังสามารถแผ้วถางสร้างทางได้ตามใจ สัตว์ป่าอะไรในเขาไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ

เรื่องนี้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประมาณการขีดจำกัดขององค์กรหนึ่งใหม่ ที่สำคัญคือนี่เป็นเพียงกองกำลังในป้อมปราการเดียว จากที่หยางเสียวจิ่นว่ามา องค์กรหนึ่งอาจจะควบคุมป้อมปราการตั้งแต่สิบถึงยี่สิบป้อม!

ดังนั้นถ้าเริ่นเสี่ยวซู่หนีไปทางป้อมปราการ 112 สัตว์ป่าหรือตัวอะไรก็ตามคงหนีไปหมดแล้ว

ถึงจะกลับไปป้อมปราการ 113 ยากหน่อย เพราะทางกลับต้องเดินทางอ้อมมากขึ้น แต่ไม่มีทางอื่นแล้วเพราะนี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่เดินตรงไปยังส่วนอื่นของ ‘เมือง’ คูธรรมชาติและซากปรักที่อยู่บนพื้นนั้นเป็นแหล่งกำบังชั้นดี

เขาเห็นซากตึกสูงที่ทลายเป็นสองซีกแห่งหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่อดสงสัยไม่ได้ว่าในยุคก่อนภัยพิบัติ จะมีคนยืนเหนือตึกสูง สายตาทอดลงมองทั้งตัวเมืองหรือเปล่า

เมื่อก่อนยามอยู่ในเมือง เริ่นเสี่ยวซู่มักวาดฝันว่าถ้าตัวเองได้ไปอยู่ในป้อมปราการกับเหยียนลิ่วหยวนจะดีเพียงไร แต่ดูเหมือนว่า ถึงป้อมปราการจะมีพื้นที่กว้างขวางกว่าเมืองนี้ แต่ความซิวิไลซ์นั้นเทียบชั้นไม่ติดเลย

แน่ล่ะ มันเป็นความซิวิไลซ์ในอดีตกาล ตอนนี้หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังและความเวิ้งว้าง

เริ่นเสี่ยวซู่สไลด์ตัวลงมาจากเนินตามแนวใต้ร่มไม้ ก่อนจะเห็นป้ายอะไรบางอย่างใต้กองฝุ่นเศษเต็มไปทั่วซากเมือง เขาพึมพำ “ทำไมในเมืองถึงมีป้ายสปานวดฝ่าเท้าเยอะขนาดนี้ คนสมัยก่อนชอบล้างเท้าขนาดนั้นเลย?”

ระหว่างเดินกลางไหล่เขาและซากเมือง เริ่นเสี่ยวซู่หลบลี้จากการสังเกตของทุกคนด้วยความระมัดระวังยิ่ง ตอนนี้เขาห่างจากกองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่งเพียงแค่ราวๆ ห้าร้อยเมตร ตราบใดที่สามารถใช้มุมอับสายตาตามสิ่งก่อสร้างได้ เขาก็คงไม่โดนจับได้

ทว่าระหว่างเดินไปนั้น เริ่นเสี่ยวซู่เกิดบังเกิดความรู้สึกอยากรั้งฝีเท้าไว้ ด้วยสายตาเหลือบไปเห็นร้านค้าขายเหล้ายาสูบสภาพดีอยู่ทางซ้ายมือ

ถึงส่วนใหญ่เมืองนี้จะโดนแผ่นดินไหวจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกจนพังไป แต่สามสิบเปอร์เซ็นต์ของเมืองยังอยู่ดี

เริ่นเสี่ยวซู่เห็นร้านเหล้ายาสูบแบบนี้ก็ตาสว่างโรจน์

ในเมืองยาสูบและสุราเป็นของหายากมีราคา ไม่อย่างนั้นจางจิ่งหลินคงสูบบุหรี่ทุกวันไปแล้ว

สินค้าที่เก็บไว้ในร้านนี้น่าจะมากกว่าร้านของเหล่าหวังและเหล่าหลีรวมกันเสียอีก ถ้าเอากลับไปได้หมด บอกเลยว่าในกลายเป็นคนที่รวยที่สุดของเมืองแน่!

เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองหาคนของสมาคมตระกูลชิ่ง พอมั่นใจแล้วว่าแถวนี้ไม่มีพวกเขาอยู่ ก็รีบวิ่งเข้าร้านไปอย่างตื่นเต้น

เขาเอื้อมไปยังบุหรี่ที่เคาน์เตอร์ ซองบุหรี่มีห่อพลาสติกคลุมไว้ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ามันน่าจะอยู่ในสภาพปกติเพราะมีพลาสติกกันไว้อยู่ชั้นนอก

แต่ทว่าพอเขาแตะไปที่ซองบุหรี่นั้น มันก็สลายกลายเป็นผุยผง…

เริ่นเสี่ยวซู่เจ็บหัวใจแปลบ เจ้านี่มีอายุขนาดไหนแล้วเนี่ย

เอาตรงๆ เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่รู้หรอกว่าบุหรี่เองก็มีวันหมดอายุ ถึงโรงงานยาสูบไม่เคยบอกว่าบุหรี่ของตนนั้นเก็บได้นานเท่าใด แต่พอเก็บไปมากกว่าสามปีสภาพก็ไม่ดีแล้ว

อย่างไรซองพลาสติกก็ทำไว้แบบง่ายๆ