บทที่ 66 สั่นสะท้าน Ink Stone_Romance

แม้ว่านายหญิงจะกำชับและเดาตัวตนของท่านผู้เฒ่าถูกว่าเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เพราะจวนของท่านผู้เฒ่านั้นก็ไม่ได้สะดุดตาอะไร

สาวใช้มึนงงและพ่อแม่ของนางที่อยู่ด้านนอกก็ฟังจนอึ้งไปตามๆ กัน

เด็กดีของข้า ตระกูลเช่นนี้ แม้เป็นเพียงทาสผู้ต้อยต่ำ แต่ทั่วทั้งเมืองเจียงโจวก็ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า

ตระกูลเฉิงไม่เหมือนกับตระกูลจาง เป็นสาวใช้กับแม่ครัวก็แตกต่างกันสิ้นเชิง

เป็นสาวใช้ไม่ได้เป็นทั้งชีวิตหรอก ทว่า แม่ครัวถึงได้เป็นตลอดชีวิต

สถานะแม่ครัวของตระกูลร่ำรวยสูงนักและยืมระหว่างกันได้ หากเชิญแม่ครัวฝีมือดีมาจัดเตรียมอาหารเต็มโต๊ะ ก็จะเป็นหน้าเป็นตายิ่งนัก

ไม่ต้องพูดถึงเงินรางวัลที่จะได้รับอีก

ลูกไปอยู่ที่นั่น แม้ว่าครอบครัวจะไม่ได้ตามไปด้วย อยู่บ้านตระกูลเฉิงก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเช่นกัน

“ย่อมเต็มใจไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ” แม่นมอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าแล้วตะโกนด้วยความดีใจ “ขอบคุณนายท่านและฮูหยินที่ให้โอกาสเจ้าค่ะ ขอบคุณนายท่านและฮูหยินที่ให้โอกาสเจ้าค่ะ”

 นางคุกเข่าไปข้างหน้า พร้อมกับยื่นมือไปผลักสาวใช้ที่ยังเหม่อลอยอยู่

 “รีบขอบคุณนายท่านกับฮูหยินเร็ว ย้ายไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ อย่าทำให้นายท่านกับฮูหยินต้องเสียหน้าและห้ามลืมว่าเจ้าแซ่อะไรเป็นอันขาด” นางกระซิบ

สาวใช้ถูกผลักไปข้างหน้าแล้วล้มลง มือนางจับพื้นด้วยความตกใจเล็กน้อย

“นายท่าน ฮูหยินเจ้าคะ ข้า…” นางพูดด้วยเสียงสั่น

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ไปแล้วก็จงปฏิบัติภาระหน้าที่อันพึงกระทำให้ดี จากนี้ไปเจ้าก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” นายรองเฉิงกล่าว

“ไม่ใช่เจ้าค่ะนายท่าน” สาวใช้รีบเอ่ยพร้อมกับหมอบกราบ “ข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ”

ห้องเงียบไปชั่วขณะ นายรองเฉิงและฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย

อะไรนะ

“เด็กบ้า พูดจาไร้สาระ ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาเสแสร้งดัดจริตเช่นนี้ คำพูดของนายท่านและฮูหยิน ฟังไว้ก็พอแล้ว” แม่นมรีบผลักนางแรงๆ อีกครั้งแล้วตะโกน

 “ท่านแม่ ท่านไม่รู้เรื่อง อย่าพูดไร้สาระเช่นนี้” สาวใช้รีบหันหลังกล่าว แล้วมองไปทางนายท่านและฮูหยิน “นายท่านและฮูหยินเจ้าคะ ข้าไม่มีฝีมือหรอกเจ้าค่ะ อาหารเหล่านี้ นายหญิงเป็นคนสอนข้าทั้งหมด ข้ามิบังอาจไปสร้างความอับอายต่อหน้าท่านผู้เฒ่าได้เจ้าค่ะ”

ประโยคนี้อีกแล้ว…

ฮูหยินรองเฉิงมึนงงเล็กน้อย

อันนี้ อันนี้ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ นายหญิงสอนข้าทำเจ้าค่ะ…

สาวใช้ที่หมอบกราบอยู่ เหมือนกับว่าเป็นสาวใช้นางเดิมคนนั้นที่มีความตื่นตระหนกและ…

“เจ้าคิดว่าเจ้าแซ่โจวหรือ” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเยาะถาม

สาวใช้เงยหน้าขึ้นอย่างงวยงง

“ข้าเรียกเจ้ามา เพื่อจะบอกว่าพรุ่งนี้เจ้าต้องไปจวนท่านผู้เฒ่าจาง มิได้ถามเจ้าว่าจะไปหรือไม่” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว แล้วมองนางด้วยสายตามองต่ำ

ในช่วงพลบค่ำ เจ้าอาวาสซุนรีบไปที่วังไท่ผิงพร้อมกับเด็กน้อย

“อะไรกัน แม่นางปั้นฉินยังไม่กลับมาอีกหรือ” นางเอ่ยถาม

เซียนหญิงที่เฝ้าหน้าประตูพยักหน้าอย่างเป็นกังวล

“ใกล้มืดแล้ว เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเล่า” นางกล่าว

“ไม่ใช่ว่าเข้าเมืองไปส่งขนมไหว้พระจันทร์ให้แก่ท่านผู้เฒ่าหรือ ดูเวลาแล้วก็ควรจะกลับมาถึงนานแล้ว” เจ้าอาวาสซุนพูด แล้วถูมืออย่างกังวล “เจ้าเรียกศิษย์พี่สักสองสามคนเข้าเมืองไปรับนางกลับมา”

เซียนหญิงรับคำ แล้วรีบเดินออกไป เจ้าอาวาสซุนก็พาเด็กน้อยเข้าไปที่ลานของเฉิงเจียวเหนียง

เมื่อเดินเข้าประตูไปก็มองเห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ซึ่งกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่

“นายหญิงเจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนรีบตะโกน “แม่นางปั้นฉินน่าจะไปซื้อผักไกลมาก จึงยังกลับมาไม่ถึงเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงละสายตา แล้วหันไปมองนาง

“ไม่หรอก” นางกล่าว “คืนนี้นางไม่กลับมาแล้ว”

เจ้าอาวาสซุนตะลึงแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แท้จริงแล้วนายหญิงรู้ว่านางไปที่ไหน ทำเอาข้าตกใจหมดเลย” นางกล่าว พร้อมกับให้เด็กน้อยเรียกศิษย์พี่กลับมา

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดต่อ นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าต่อไป

เจ้าอาวาสซุนมาที่นี่กี่รอบ ก็มองเห็นแต่นางมองท้องฟ้าเช่นนี้ จึงรู้สึกงวยงงเล็กน้อย

“นายหญิงมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” นางอดไม่ได้ที่จะมองตาม

พระอาทิตย์ตกดิน พลบค่ำของสารทฤดูมืดสนิท

“มองท้องฟ้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“ท้องฟ้ามีอะไรน่ามองหรือเจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนถาม

“ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงพูดพร้อมกับดึงสายตากลับมา “ก็แค่เมื่อก่อนเหมือนข้าจะชอบมองมาก”

เจ้าอาวาสซุนสับสนเล็กน้อย เมื่อมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง นางก็ได้หันหน้าเข้าข้างในแล้ว แม้ว่าหญิงสาวนางนี้ไม่ได้บ้า แต่ก็แปลกยิ่งนัก ไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป เจ้าอาวาสจึงรีบเดินตามไป

“นายหญิงเจ้าคะ แม่นางปั้นฉินไม่อยู่ ท่านอยากกินอะไรหรือเจ้าคะ ข้าให้พวกนางทำให้เจ้าค่ะ” นางกล่าว

“ได้” เฉิงเจียวเหนียงพูดพร้อมกับจับโต๊ะไม้เตี้ยแล้วนั่งลง “ข้าอยากกินเนื้อนึ่งกับรากบัว เห็ดและดอกลิลลี่ โจ๊กมังสวิรัติใส่เครื่องเจ็ดชนิด และหูปิ่งที่ใส่งาเยอะๆ”

อะไร อะไร อะไรกัน เจ้าอาวาสซุนฟังจนรู้สึกมึนงงยิ่งนัก ราวกับว่าตนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก นี่คือของกินหรือนี่

ชื่อเรียกเหล่านี้ทำให้ใจสั่นสะท้าน ฟังดูสับสนพอๆ กับเซียนเล่อ

คนดีของข้า ปกตินายหญิงกินอะไรถึงโตมาได้ขนาดนี้

“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนรีบตะโกนด้วยความลำบากใจและมองไปที่หญิงสาวที่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว “ข้าทำไม่เป็นเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้าฝึกได้นี่ กิน นอน สวมใส่และเที่ยว กินมาเป็นอันดับแรก และเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด”

กิน นอน สวมใส่และเที่ยว หมายความเช่นนี้หรือ

เจ้าอาวาสซุนดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจเสียทั้งหมด

เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้น สองเซียนหญิงก็รีบเดินออกจากวัดเสวียนเมี่ยว

“ข้าบอกกับท่านอาจารย์ว่าให้ข้าอยู่เฝ้านางเถอะ ท่านอาจารย์ก็ไม่วางใจ อยากจะเฝ้าด้วยตัวเอง”

“แม่นางปั้นฉินไปที่ไหนกัน ไม่ยอมบอกกล่าวสักคำ”

“นั่นสิ แม้ว่านางจะมาหรือไป ไม่ได้อยู่ในความดูแลของพวกเรา แต่นายหญิงที่บ้านั่นล่ะ จะปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ โดยไม่บอกไม่กล่าวเลยหรือ”

 “อาหารของเมื่อคืน ทำเอาเหนื่อยล้าเหลือเกิน ข้าทุบเนื้อและผักนั่นจนปวดเมื่อยหมดแล้ว”

“ของเจ้าแค่นึ่งอย่างเดียว ไม่เหนื่อยเท่าหูปิ่งของข้าหรอก”

“แต่ว่ามันอร่อยมากจริงๆ คนรวยช่างเลือกกินนัก คิดออกมาได้อย่างไรกัน…”

“ไปเร็ว มื้อเช้าไม่รู้ว่าจะกินอะไรแปลกๆ อีก”

ทั้งสองเดินไปด้วยพูดไปด้วย ขณะกำลังจะขึ้นเขา ด้านหน้าก็ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง

“ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ ไม่กี่วันก็เปลี่ยนคนอีกชุดแล้วหรือ”

 “ไม่หรอก ครั้งนี้ไม่ได้โชคร้าย เพราะชิงเหมยโชคใหญ่หล่นทับแล้ว”

“ใช่ๆ นางไม่ได้โชคร้าย เราต่างหากที่โชคร้าย ต้องมาปรนนิบัติรับใช้นางแทน”

“พูดจริงๆ แล้ว เพราะชิงเหมยติดตามนางบ้าเจียวเหนียงถึงได้รับโชคเช่นนี้ มาที่นี่อาจไม่ถือว่าโชคร้ายก็เป็นได้”

สาวใช้สองคนหัวเราะด้วยเสียงแผ่ววเบา

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า คนกลุ่มนั้นก็หันกลับมามอง

“ประสกและสีกาทั้งหลาย” เซียนหญิงทั้งสองกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม

คนกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจ พวกเขาหันหลังกลับแล้วเดินต่อ

เซียนหญิงทั้งสองสบตากันโดยไม่ได้พูดต่อ แล้วเดินตามหลังอย่างช้าๆ

ในไม่ช้าคนกลุ่มนี้ก็เดินทางมาถึงประตูของวังไท่ผิง เด็กน้อยที่ยืนอยู่หน้าประตูมองไปรอบๆ เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเซียนหญิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง นางก็รีบต้อนรับอย่างมีความสุข

“พี่ปั้นฉินกลับมาแล้วหรือไม่” นางถามอย่างรีบร้อน

“ยังไม่กลับมาอีกหรือ” เซียนหญิงทั้งสองถามกลับ

เมื่อฟังถึงเพียงเท่านี้ คนกลุ่มนั้นก็เดินเข้ามา

“ปั้นฉินหรือ” หนึ่งในพ่อบ้านมองสำรวจไปที่พวกเขาทั้งสามแล้วกล่าว “นางไม่กลับมาแล้ว”

สาวใช้สองคนที่อยู่ในลานมองไปรอบๆ ด้วยความรังเกียจเล็กน้อยและกระซิบกันเป็นระยะๆ

“นี่คือสาวใช้ใหม่สองคน” พ่อบ้านกล่าวพลางมองไปที่เจ้าอาวาสซุนกวนที่อยู่ตรงหน้า

เจ้าอาวาสซุนและเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลังต่างประหลาดใจ

“แล้วแม่นางปั้นฉินล่ะ” เจ้าอาวาสซุนถาม

“นางหรือ ถูกส่งไปที่บ้านของท่านผู้เฒ่าจางแล้ว” พ่อบ้านพูดพร้อมกับรู้สึกเป็นเกียรติเล็กน้อย

ทาสรับใช้ในบ้านก็เปรียบเสมือนสิ่งของที่สามารถถูกจัดวางได้ตลอดเวลา ถูกขายก็ดี ถูกมอบเป็นของขวัญก็ดี ล้วนเป็นเรื่องปกติที่ทำกัน

เจ้าอาวาสซุนเงียบ ในใจของนางกำลังเศร้าโศกเสียใจ

พวกเจ้าจำท่านผู้เฒ่าได้ใช่ไหม ปั้นฉินเล่าว่านางเจอท่านที่นี่และชอบกินอาหารที่นางทำมาก มหาโชคหล่นทับนางจริงๆ อยู่ที่นี่ก็สามารถหาที่พึ่งใบบุญได้…” พ่อบ้านพูดต่อ

หลังจากงุนงงอยู่ชั่วครู่ เจ้าอาวาสซุนและคนอื่นๆ ก็ถึงเข้าใจ

“คือผู้เฒ่าผู้หิวโหยท่านนั้นหรือ!”

“เยี่ยมมาก ต้องเป็นฝ่ายท่านผู้เฒ่าที่เอ่ยปากขอพี่ปั้นฉินเป็นแน่”

“ข้าเคยบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าครั้งนี้พี่ปั้นฉินต้องหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ได้แล้ว”

“พี่ปั้นฉินคงตื่นเต้นดีใจมากแน่”

ความหวังที่เหล่าบรรดาเซียนหญิงรอคอยมานานเป็นจริงแล้ว พวกนางอดไม่ได้ที่จะวิพากษณ์วิจารณ์ด้วยเสียงหัวเราะชอบใจและถามอย่างสงสัยว่าท่านผู้เฒ่าจางนั้นเป็นใครกันแน่

เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิงต่างอิจฉาในความโชคดีของสาวใช้ผู้นี้ พวกเขาได้ยินชัดเจนและยินดีที่จะพูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น

ขณะนี้ สาวใช้ทั้งสองได้เล่าถึงสถานะที่แท้จริงของท่านผู้เฒ่าจางอย่างโอ้อวดเล็กน้อย ซึ่งเหล่าบรรดาเซียนหญิงที่ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกปีติยินดีมากและขอบคุณเทียนจุนกันยกใหญ่

ทว่า มีเพียงเจ้าอาวาสซุนที่รู้สึกตกใจ

“งั้น นางจากไปเช่นนี้เลยหรือ” นางพูดพึมพำ “แล้วนายหญิงจะอยู่อย่างไรเล่า”

“ไม่ใช่ส่งสาวใช้มาใหม่สองนางหรือ” พ่อบ้านเมื่อได้ยินเข้าจึงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด สะบัดเสื้อและมองไปที่ท้องฟ้า “ไม่เช้าแล้ว ข้าควรกลับแล้ว ที่นี่คงต้องรบกวนเซียงกูท่านแล้วล่ะ”

เจ้าอาวาสซุนรีบขวางไว้

“เรื่องเช่นนี้ เจ้าควรบอกนายหญิงด้วยตัวเอง” นางกล่าว “เพราะข้าเป็นคนนอก”

ใครๆ ก็รู้ว่านายบ่าวคู่นี้สนิทสนมกันมาก เรื่องที่ต้องล่วงเกินผู้อื่นเช่นนี้ นางไม่อยากเข้าไปยุ่ง มิหนำซ้ำ ต้องล่วงเกินนายหญิงผู้นี้ ยิ่งมิบังอาจหรอก

พ่อบ้านหัวเราะเสียงดัง พูดเรื่องเหล่านี้กับคนบ้า นางจะฟังเข้าใจหรือ

“เข้าใจ เข้าใจ ตามข้ามา” เจ้าอาวาสซุนรีบเดินนำไปที่ลานด้านใน

พ่อบ้านไม่มีทางเลือก จึงพาสาวใช้ทั้งสองเดินตามไปด้วย ทันทีที่เดินเข้าประตูลานกว้าง ก็มองเห็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดคลุมสีเรียบนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ โดยหันหน้าไปทางเข้าประตู ผมยาวถึงเอว ซึ่งถือกิ่งไม้ไว้ในมือและกำลังวาดเขียนไปมาบนพื้น

“นายหญิงเจ้าคะ” เจ้าอาวาสซุนเรียกด้วยความเคารพ

นี่คือแม่นางเจียวเหนียงที่เป็นบ้าหรือ พ่อบ้านและสาวใช้ทั้งสองมองสำรวจอย่างประหลาดใจ เมื่อได้ยินเสียงเรียก นายหญิงก็เงยหน้าขึ้น

“นายหญิงเจ้าคะ นี่คือคนของที่บ้าน มีเรื่องจะมาแจ้งให้ทราบเจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนพูดพร้อมกับชี้ไปที่ข้างหลังนาง

เวลาผ่านไปนานมาก ไม่ได้ยินเสียงพูดใดๆ นางจึงรีบหันหน้ากลับไป ทว่า เห็นพ่อบ้านและสองสาวใช้กำลังตะลึงอยู่

ช่างน่าเสียดายที่หน้าตางดงามนัก แต่กลับเป็นบ้าตั้งแต่กำเนิด

พ่อบ้านพูดได้แค่ในใจ ส่วนเจ้าอาวาสซุนก็เรียกให้เขาพูดอีกครั้ง

“นายหญิงขอรับ นี่คือสองสาวใช้ใหม่ที่นายท่านและฮูหยินส่งมาขอรับ” เขาได้สติและพูดเสียงดังด้วยความเวทนาและชี้ไปที่สาวใช้ทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร

สาวใช้คนก่อนๆ ของคนบ้ามีชื่อเรียกว่าปั้นฉิน บางทีความจำที่จำกัดของนาง ชื่อนี้อาจเป็นชื่อเรียกที่คุ้นเคยมากที่สุด ดังนั้น หลังจากสาวใช้คนแรกจากไป สาวใช้คนใหม่จึงถูกเรียกว่าปั้นฉิน พ่อบ้านจึงเกิดความคิดขึ้นมาอย่างเฉียบไว

“ปั้นฉิน พวกเขาทั้งสองคือปั้นฉินขอรับ” เขาพูดเสียงดัง

มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงโค้งขึ้นแล้วยิ้ม

“อืม ดี” นางกล่าว “ปั้นฉิน”

ในเมือง ตรงนอกประตูบ้านของจวนตระกูลจาง พ่อบ้านจ้องมองไปที่สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ

“ห้ามร้อง” เขากระซิบพร้อมกับตักเตือน “อย่าทำเรื่องดีให้กลายเป็นเรื่องร้ายนะ นึกถึงหน้าพ่อแม่เจ้าไว้”

สาวใช้กัดริมฝีปากล่าง กลั้นน้ำตาไว้และก้มศีรษะลง

ประตูถูกเปิดออก บ่าวเฝ้าประตูชะโงกหน้าอย่างระมัดระวัง

“ข้ามาจากตระกูลเฉิง นายท่านบอกให้ข้า…” พ่อบ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างนอบน้อม

พูดไม่ทันจบประโยค บ่าวเฝ้าประตูก็จะปิดประตูใส่แล้ว

“เฮ้ เฮ้ มาส่งคน มาส่งคน เจ้าไม่ต้องปิดประตู” พ่อบ้านรีบผลักประตูสุดแรงพร้อมกับตะโกนเรียก“ยังไม่รีบเดินมาอีก”

สาวใช้ก้าวไปข้างหน้าอย่างอึกอัก ทันทีที่บ่าวเฝ้าประตูเห็นเข้าจึงรีบปล่อยมือ พ่อบ้านเดินตามเข้าไปด้วย แล้วมองไปที่บ่าวเฝ้าประตู ซึ่งก่อนหน้าทำหน้าเหมือนกับติดหนี้ก็ไม่ปาน แต่ตอนนี้กลับยิ้มราวกับดอกเบญจมาศแรกบาน

“แม่นางปั้นฉินเองหรือ มาที่นี่มีอะไรหรือ”

 ท่านผู้เฒ่าจางวางถ้วยน้ำชาลงและมองไปที่พ่อบ้านและสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“เมื่อได้ยินมาว่าท่านผู้เฒ่าอยู่คนเดียวเพียงลำพัง บังเอิญว่าสาวใช้นางนี้นี้มีทักษะการทำอาหารอยู่บ้าง นายท่านจึงส่งมาให้ปรนบัติท่านผู้เฒ่าขอรับ” พ่อบ้านกล่าวอย่างนอบน้อม

หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่สาวใช้

“ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าคือ…ข้าล่วงเกินท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้หมอบกราบพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

ท่านผู้เฒ่าจางหัวเราะ พร้อมกับพยักหน้า

ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้ล่วงเกินข้าและยังเป็นคนช่วยชีวิตข้าด้วยซ้ำ” เขาหัวเราะ “เจ้าอยากเป็นแม่ครัวของที่นี่หรือ”

“จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ข้า…” สาวใช้พูดด้วยเสียงสั่น แต่พ่อบ้านไอ สาวใช้จึงก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าพูดต่อ

สาวใช้ตะโกนลั่นบ้านว่าตนทำอาหารไม่เป็น อาหารเหล่านี้มีนายหญิงเป็นคนสอนทำทั้งหมด มาที่นี่ยังทำเช่นนั้นอีก ไยมิใช่หมายความว่าไม่เต็มใจมาหรือ

ท่านผู้เฒ่าจางไม่ได้ใส่ใจและดื่มชาด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าจะทำให้การสร้างสัมพันธ์อันดีครั้งนี้กลายเป็นเรื่องบาดหมางกันอย่างนั้นหรือ ก็อย่าโทษว่าข้าเป็นคนไร้ความปรานีนะ”

“เจ้าช่างเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เลี้ยงเสียข้าวสุกนัก นี่เหมือนกับทำลายครอบครัวเจ้าทางอ้อม ไม่มีทางรอดแน่…”

หูของสาวใช้เต็มไปด้วยคำด่าทอของนายรองเฉิงและเสียงร้องไห้ของพ่อแม่ นางกัดริมฝีปากล่างและกลั้นน้ำตา

“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ” นางตอบพร้อมกับก้มหน้าลง

พอตกกลางคืน บริเวณเชิงเขาก็ไม่มีผู้คนเดินผ่าน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาแล้ว

เจ้าอาวาสซุนหันหลังจากนอกประตูและถอนหายใจเบาๆ

“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” นางกล่าว

“ท่านอาจารย์มองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ เห็นมองอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยถามอย่างงวยงง

“ไม่มีอะไร” เจ้าอาวาสซุพูดพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าไปดูนายหญิงก่อน”

“หนึ่งวันมาแล้วที่มีคนดูแลไม่ขาดสาย ไม่ใช่ท่านอาจารย์ ก็เป็นสองเซียนหญิงผลัดกันเฝ้า ตกเย็นแล้วยังต้องไปอีกหรือเจ้าคะ ไม่ใช่ว่ามีสาวใช้ใหม่สองคนแล้วหรือเจ้าคะ”

เด็กน้อยงวยงง แต่ก็ยังทำตาม

ณ ลานกว้าง สาวใช้ใหม่สองคนนั่งคุยเล่นกันในศาลาเล็กๆ บนพื้นเต็มไปด้วยเมล็ดทานตะวัน ส่วนห้องครัว เซียนหญิงทั้งสองกำลังถือถาดอยู่

“ข้าเอง” เจ้าอาวาสซุนกวนพูดอย่างรีบร้อน พร้อมกับยื่นมือไปถือ

“ท่านอาจารย์ ให้พวกข้าทำเถอะเจ้าค่ะ” เซียนหญิงพูดอย่างถ่อมตัว

สาวใช้หัวเราะเบาๆ

“หรือว่าพวกเราไปกันดี” สาวใช้นางหนึ่งยิ้มกล่าว แต่ไม่มีทีท่าที่จะลุกขึ้น

“ให้พวกเขาไปเถอะ เอาอาหารของบ้านเราไปเซ่น ก็ไม่ใช่ทำเช่นนี้อยู่เนืองๆ หรือ” สาวใช้อีกนางหนึ่งหัวเราะกล่าว

เจ้าอาวาสซุนกวนจูทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วเปิดประตูบ้าน

“นายหญิงเจ้าคะ ข้าวต้มกุ๊ย พร้อมแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลง แล้วนั่งหลังตรง

“ลำบากเจ้าแล้ว” นางกล่าว

“มิบังอาจเจ้าค่ะ มิบังอาจเจ้าค่ะ” เจ้าอาวาสซุนหัวเราะกล่าว พร้อมกับคุกเข่าลง จัดวางชามและตะเกียบ “นายหญิงเจ้าคะ เชิญทานเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง มุมปากนางโค้งขึ้น

“เซียนหญิงมีชื่อเรียกหรือไม่” นางถามอย่างกะทันหัน

………………………………………….