ภาค 1 บทที่ 52 มือที่งดงามข้างหนึ่ง

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 52 มือที่งดงามข้างหนึ่ง ProjectZyphon

“ใต้เท้า เช่นนั้นทางค่ายลมโชย…” เฝิงหยวนซิงลองถามดู

หลี่มู่ตบหน้าผากเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะพูดขึ้น “อ้อ ลืมบอกไป อาการบาดเจ็บของหม่าจวินอู่ดีขึ้นแล้วกระมัง เจ้าให้เขาเลือกทหารองครักษ์สักห้าสิบคนไปเก็บกวาดสนามรบที่ทางแยกฮั่นเสียหน่อย ที่นั่นสยดสยองไปนิด อย่าปล่อยให้พ่อค้าประชาชนที่ผ่านไปมาตกใจกลัว”

ทางแยกฮั่น?

เฝิงหยวนซิงและเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงตะลึงไปพร้อมกัน

จากนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา

หรือว่า…

“ใต้เท้า ที่ทางแยกฮั่นเมื่อคืน หรือว่า…” เฝิงหยวนซิงถามลองเชิงเสียงสั่น

ตอนนี้ฝ่ายครัวเริ่มลำเลียงอาหารมาแล้ว

กลิ่นหอมฉุยทำเอาน้ำลายของหลี่มู่แทบไหลย้อย

ผ่านศึกใหญ่เมื่อคืนมา เขาใช้พลังไปไม่น้อย ท้องร้องโครกครากไปหมด ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่อ่าน ‘เพลงดาบโลกันตร์’ จบเพียงรอบเดียวก็พุ่งออกมาจากห้องฝึกยุทธ์หรอก ตอนนั้นเขาไม่สนใจจะเปลืองน้ำลายกับเฝิงหยวนซิงอีก พุ่งไปที่โต๊ะอาหารทันที “พวกเจ้าไปก็รู้เองนั่นแหละ…”

แต่ทว่า เขาไม่ใช่คนแรกที่พุ่งไปยังโต๊ะอาหาร

หมิงเยวี่ยคนโง่ผู้บ้องแบ๊วไม่รู้ว่ามากินอย่างสุขสำราญอยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่

“เจ้ากินไปแล้วไม่ใช่หรือไง?” หลี่มู่แย่งขาแกะย่างมา เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “กล้าแย่งเนื้อของข้างั้นรึ?”

“ของเจ้าของข้าอะไรกันเจ้าคะ ตกถึงท้องของใครก่อนก็เป็นของคนนั้น” หมิงเยวี่ยน้อยถือเซี่ยงจี๊ผัดไฟแดงจานเบื้องหน้า ก่อนจะเงยหน้าอ้าปาก ใช้วิธีที่เหมือนกับเทขยะเทเข้าไปในปากของตัวเองทั้งหมด จากนั้นหยิบขาหมูสองขามา โวยวายสะอึกสะอื้น “ชิงเฟิงทารุณข้า ให้ข้ากินข้าวเช้าแค่โจ๊กหมูสิบชามเท่านั้น จะไปอิ่มได้อย่างไรกัน”

โจ๊กหมูสิบชามยังกินไม่อิ่ม?

หลี่มู่จนคำพูด

ต่อให้เลี้ยงจั้งเอ๋า[1]ตัวหนึ่งมันก็ยังกินไม่ได้เท่าเจ้าเลย

ท้องของเจ้าเป็นหลุมดำหรืออย่างไร?

เขาเองก็ไม่ได้สนใจคำพูดไร้สาระของเด็กโง่นี่อีกต่อไป รีบเดินศึกแย่งชิงอาหารทันที

ทั้งสองล้อมโต๊ะอาหารเอาไว้ ต่างจ้องกันเขม็ง ลงมือแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง

เฝิงหยวนซิงอับจนคำพูดเช่นกัน

ใต้เท้าขุนนางเมืองของตนผู้นี้ บางครั้งก็ทรงอำนาจสยบผู้คน บางครั้งก็บ้าบอเหมือนเด็กน้อย บางเวลาแข็งแกร่งดุจเทพสงคราม บางเวลาโง่เง่าคล้ายปัญญาอ่อน…นี่มันช่าง…ช่างไม่อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์ มีลักษณะท่าทางแบบคุณชายยิ่งนัก

นอกจาก ‘ไม่อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์’ เขาก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายใต้เท้าผู้นี้ของตนแล้ว

เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงเหมือนจะเห็นจนชิน เขานวดขมับพูดกับตัวเอง “เฮ้อ เหนื่อยใจนัก เห็นทีคงต้องเพิ่มอาหารอีกแล้ว…”

เขาหมุนตัวเดินไปยังห้องครัว สั่งให้พ่อครัวเตรียมปริมาณเนื้อเพิ่มอีกสามเท่าเข้ามา

เหล่าพ่อครัวได้ยินแล้วได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ

นับจากพวกเขาได้งานมาเป็นพ่อครัวในที่ว่าการอำเภอ ถึงแม้ค่าตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสี่ห้าเท่า แต่งานก็เพิ่มขึ้นเยอะเช่นกัน ทำอาหารให้ใต้เท้าขุนนางเมือง เหนื่อยกว่าคอยปรนนิบัติลูกค้าทั้งหลายที่ไปๆ มาๆ อยู่ในภัตตาคารเสียอีก

เขาคนเดียวกับเด็กรับใช้บัณฑิตอีกสองคน ไยจึงกินเก่งเช่นนี้

สงสัยจริงว่าใต้เท้าขุนนางเมืองแอบเลี้ยงสัตว์ร้ายตะกละฝูงหนึ่งเอาไว้ในที่ว่าการหรือไม่

……

อรุณรุ่ง

แสงอาทิตย์ไม่นับว่าแรงเท่าใดนัก

ท้องถนนอำเภอขาวพิสุทธิ์เต็มไปด้วยด้วยบรรยากาศประหลาดบางอย่าง

ประชาชนชาวอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้รับประกาศแจ้งจากทางการไม่ให้ออกจากบ้าน ร้านค้าและภัตตาคารให้หยุดกิจการชั่วคราว ปิดประตูให้สนิท

เรื่องราวเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อหลายวันก่อนจะต้องสร้างความโกรธเคืองให้กับเหล่าบุรุษในยุทธจักรที่รวมตัวกันมาที่นี่อย่างแน่นอน

ร้านค้าที่ปิดกิจการเหล่านั้นเกรงว่าจะถูกชาวยุทธ์พังร้าน เจ้าของร้านก็ถูกทุบตีไม่น้อย

แต่หลังจากศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวที่เยี่ยมยุทธ์เชือดสังหารอย่างไม่ปรานีเมื่อวานนี้ ทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล

บุรุษในยุทธจักรที่แต่เดิมอันธพาลระรานพวกนั้นตกใจกลัวกันไม่น้อย

ว่ากันว่าคนในยุทธจักรที่ทำเรื่องชั่วเอาไว้ในเมืองกลัวจนฉี่ราด หลบหนีไปกันทั้งคืน ส่วนคนที่ยังอยู่ ส่วนมากก็เก็บคมดาบ สงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ ไม่กล้ากร่างเที่ยวทำเรื่องวุ่นวายอีก

ตามการประกาศของทางการอำเภอ ร้านค้าหยุดกิจการ ประตูเรือนปิดสนิท

ชาวยุทธ์มากมายรวมกันเป็นกลุ่ม พูดคุยเสียงดังลั่น ต่างมุ่งไปยังซากพรรคเสินหนง การนัดประลองของสองพรรคใกล้จะเปิดฉากเต็มทีแล้ว สำหรับคนในยุทธจักรที่มีเลือดกระหายเรื่องครึกครื้นไหลเวียนในกาย นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่พลาดไม่ได้

……

ห่างจากเวลาเริ่มนัดประลองครึ่งชั่วยาม

ประตูเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีชายหนุ่มผมขาวหลังแบกกระบี่โบราณคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น

ใบหน้างามโดดเด่นเหนือสามัญ คิ้วกระบี่ดวงตาเป็นประกาย สง่างามยิ่งนัก ภายใต้การขับเน้นของผมยาวสีขาวราวหิมะ ยิ่งทำให้รูปลักษณ์เขาราวเซียนลงมาจุติอย่างน่าประหลาด เขาเข้ามาในเมืองทีละก้าวๆ ส่วนทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็ราวกับมองไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น ไม่สกัดกั้นเลยสักนิด

“กลิ่นสัตว์ปีศาจ ทั้งยังเป็นปีศาจร้ายกาจด้วย…เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มผมเงินที่แบกกระบี่โบราณเผยสีหน้าตื่นตระหนก เงยหน้ามองไปยังที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่อยู่สูงในเมืองภูเขา

ลึกลงไปในดวงตาของเขามีแสงประหลาดเป็นเส้นๆ ลอยวน ยิ่งคล้ายกับมีหมอกเพลิง (เนบิวลา) ลอยอยู่

กระบี่โบราณที่หลังของเขาก็สั่นไหวเสียงหึ่งด้วยความเร็วสูง เป็นจังหวะที่คนอื่นไม่อาจจับสัมผัสได้

ไม่นานนัก ทุกอย่างนี้ก็หายไป

ชายหนุ่มผมขาวเก็บประกายในดวงตา เดินไปในถนนซอกซอยอย่างไม่รีบร้อน ราวกับกำลังชมทิวทัศน์ แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือ ตลอดทางถึงแม้บุรุษในยุทธจักรทั้งหลายจะเฉียดผ่านชายหนุ่มผมขาวแบกกระบี่โบราณคนนี้ก็สัมผัสถึงเขาไม่ได้

คนผู้นี้ราวกับเป็นอากาศ ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น

……

ผ่านไปไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นที่ประตูเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์

แต่เป็นคาราวานสินค้าขนาดเล็กที่เดินทางเหนื่อยล้ามาจากแดนไกล

“ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ไฉนยังมีขบวนสินค้ามาอีก?” เหล่ามือปราบที่เฝ้าประตูแปลกใจยิ่งนัก

เพราะหลายวันมานี้ การที่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั่วทุกทิศมารวมตัวกันทำเอาบรรยากาศในเมืองอึมครึม พ่อค้าเร่ที่ผ่านไปมาถูกดักปล้นหลายต่อหลายครั้ง ความปลอดภัยนอกเมืองรับประกันไม่ได้ ส่วนมากจึงหายกันไปหมดแล้ว

โดยเฉพาะขบวนสินค้าเล็กๆ ที่มีแค่รถม้าหนึ่งคัน มีคนห้าหกคนเบื้องหน้านี้ ยิ่งไม่มีทางปรากฏขึ้นได้

“หยุด…”

รถม้าหยุดลงที่ประตูเมือง

“คุณชาย ถึงแล้วขอรับ” คนขับดึงบังเหียน หันกลับมาพูดกับห้องโดยสารรถม้า

คนขับรถม้าคนนี้เป็นชายรูปร่างใหญ่โต อายุประมาณสามสิบต้นๆ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ชุดคลุมผ้าหยาบบนร่างก็ยากจะปิดบังรัศมีเหี้ยมโหดได้ บุคลิกประดุจดาบยาวคมกริบ มีรัศมีอำนาจสยบผู้คน องอาจกว่าพวกชาวยุทธ์ที่เรียกตัวเองว่ายอดฝีมือในเมืองขาวพิสุทธิ์ตอนนี้เสียอีก

ยากจะจินตนาการได้ว่า คนเช่นนี้จะยอมลดตัวลงมาขับรถให้กับผู้อื่น

ส่วนทั้งสองข้างของรถม้ามีองครักษ์อยู่สี่นาย

องครักษ์สองนายข้างซ้าย คนหนึ่งเป็นชายชราร่างผอมบางสวมชุดดำใส่หมวกอ่อน อีกคนหนึ่งเป็นเด็กรับใช้บัณฑิตอายุประมาณสิบสี่สิบห้า ทั้งสองล้วนแต่งตัวแบบบัณฑิต รัศมีสุภาพชนเข้มข้น ไม่เหมือนยอดฝีมือในยุทธจักร

ส่วนองครักษ์สองคนข้างขวากำยำล่ำสัน ต่างเป็นจอมยุทธ์ที่ใช้กระบี่คู่ ข้างหลังแบกกระบี่สองเล่มประสานเป็นกากบาทอยู่

“นี่คือเมืองขาวพิสุทธิ์อย่างนั้นรึ?” เสียงแบบเด็กๆ ดังออกมาจากในรถม้า

ประตูรถม้าแง้มออก

ศีรษะที่มีผมยุ่งเหยิงลอดออกมาจากช่อง

เป็นเด็กผู้ชายที่ดูไปแล้วยังไม่ถึงสิบขวบ ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตามีชีวิตชีวา ท่าทางซุกซนอย่างที่เด็กน้อยอายุเท่านี้มี ผมดำขลับยุ่งเหยิง ที่หน้าผากมีผ้าคาด เหนือคิ้วขึ้นมาสองนิ้วมือมีหยกทรงกลมเม็ดงามประดับอยู่ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าราคาไม่ธรรมดา

เด็กชายมองดูทิวทัศน์ด้านนอกอย่างสนใจใคร่รู้ คิดอยากจะเบียดตัวออกไปจากรถม้าทันที

แต่มือข้างหนึ่งลากเขากลับเข้ามาจากข้างหลัง

นั่นเป็นมือข้างหนึ่งของสตรี

มือที่ขาวเนียนละเอียดยิ่งกว่าหยกบนหน้าผากของเด็กชาย

คำพูดมากกว่านี้ก็ยังยากจะพรรณนาความงามของมือข้างนี้ได้ คำอุปมาอุปไมยที่มากกว่านี้ก็พรรณนาถึงมืองามข้างนี้ได้ยาก ราวกับว่าเป็นมือที่แกะสลักจากหยกงามที่สุดในโลก ทั้งยังมีประกายแสงประหลาดบางอย่าง เห็นมือข้างนี้แล้วก็อดใจไม่ไหวอยากทำความรู้จักกับเจ้าของของมัน

“เฮ้อ ท่านพี่…” เด็กชายถูกลากกลับมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย

ประตูรถม้าปิดสนิท

เสียงใสกังวานน่าฟังราวเสียงหยกกระทบกันดังมาโดยมีประตูรถม้ากั้นไว้ “อาจารย์หวาง เข้าเมืองหาโรงเตี๊ยมพักก่อนเถิด ที่นี่ทัศนียภาพงดงาม ค้างหลายวันหน่อยก็แล้วกัน”

“น้อมรับคำสั่ง” ผู้อาวุโสร่างผอมบางคนนั้นพยักหน้า

หลังจากที่คนกลุ่มนี้ผ่านการตรวจสอบอย่างง่ายๆ จากมือปราบของทางการก็เข้าเมืองไปอย่างราบรื่น

จวบจนกระทั่งรถม้าคันนั้นหายลับไปจากถนนไกลๆ ในเมือง มือปราบทั้งหมดยังคงมองตามไปอย่างเลื่อนลอย ในหัวของทุกคนยังมีมือเนียนงามที่เหมือนกับมีมนตร์สะกดข้างนั้นวนเวียนอยู่ ในหัวล้วนยังจินตนาการถึงเจ้าของมือข้างนั้น นางจะเป็นสาวงามเลิศล้ำถึงเพียงใดกัน

ทันใดนั้น เสียงเห่าโฮ่งๆ เป็นระยะๆ ของสุนัขปลุกสติของมือปราบทุกคนที่คล้ายโดนสะกดจิต

เหล่ามือปราบหันไปมองตามเสียง

กลับเห็นขอทานเฒ่าจูงสุนัขสีน้ำตาลลายขาวตัวหนึ่งมาถึงหน้าประตูเมืองไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ขอทานเฒ่าคนนี้ดูแล้วอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ปลายจมูกแดง ใบหน้าใหญ่อิ่มเอิบ คิ้วดาบดกหนา ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก

รูปร่างเขาสูงใหญ่ โครงร่างกำยำ บนร่างคลุมจีวรร้อยชิ้น[2]ที่ซักสะอาดหมดจด สวมรองเท้าฟาง มือซ้ายถือบาตร มือขวาหิ้วน้ำเต้าใส่เหล้าสีน้ำตาล บนบ่าพาดกระสอบเอาไว้ ดูไปแล้วใบหน้าอิ่มเอิบ เทียบกับขอทานทั่วไปแล้วสีหน้าดูดีกว่ามาก

สุนัขตัวอ้วนพีสีน้ำตาลลายขาวอยู่ข้างเท้าของเขา กระดิกหางดิกๆ ท่าทางไร้พิษสง

“ใต้เท้าทุกท่าน ข้าขอทานเฒ่าอยากเข้าไปในเมืองขอน้ำแกงใส่ท้อง โปรดอำนวยทางให้ด้วยเถิด” เขาหัวเราะพูดขึ้น กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว

มือปราบคนหนึ่งมองประเมินอยู่สองสามที ก่อนพยักหน้าสื่อให้ขอทานเฒ่ารีบเข้าไปอย่าขวางทาง

“ขอบคุณ ขอบคุณใต้เท้าทุกท่าน” ขอทานชราจูงหมาอ้วนสีน้ำตาลลายขาวเดินเข้าไปในเมือง

“ช้าก่อน” หัวหน้ามือปราบพลันเอ่ยปากขึ้น

ขอทานเฒ่าหันหลังกลับมามอง

หัวหน้ามือปราบกล่าว “ช่วงนี้ในเมืองไม่ค่อยปลอดภัยนัก เจ้าเองก็ดูตาม้าตาเรือหน่อยแล้วกัน อย่าได้ไปขอทานจากคนในยุทธจักรพวกนั้น จะได้ไม่มีเรื่องมีราว อายุปูนนี้แล้ว อย่าโดนใครตีแข้งขาหักที่นี่”

“ขอบคุณใต้เท้า” ขอทานคนนั้นยกมือประสาน ก่อนจะจูงสุนัขสีน้ำตาลตัวอ้วนจากไป

……………………………………………………

[1] จั้งเอ๋า หรือทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan mastiffs) เป็นสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ฝั่งทิเบต อดีตมักเอาไว้ใช้เฝ้าฝูงแกะและจามรีบนภูเขา ตัวใหญ่ยักษ์ ดุร้าย และมีราคาแพงมาก

[2] จีวรร้อยชิ้น คือจีวรที่ทำจากการนำผ้าชิ้นเล็กมาเย็บติดกัน