บทที่ 72 คุยกันส่วนตัว

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 72 คุยกันส่วนตัว Ink Stone_Romance

เกิดฟ้าร้องบนท้องฟ้าแล้วหลังจากนั้นไม่นานฝนก็เทลงมาห่าใหญ่

ในฤดูใบไม้ผลินี้ในที่สุดฝนก็เริ่มตก…

ปิงซินรีบวิ่งเข้ามาแล้วส่งกล่องอาหารในอ้อมกอดให้กับซู่เจี๋ยที่อยู่ใต้ชายคา นางเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าพลางบ่นว่า “อยู่ดีๆ ฝนก็ตกขึ้นมาเสียได้ อีกเพียงนิดก็จะวิ่งไปถึงอยู่แล้วเชียว”

ซู่เจี๋ยบอก “เปียกถึงเพียงนี้แล้วเจ้าไม่ต้องเช็ดหรอก กลับไปอาบน้ำเถอะ” ทั้งสองคนพูดคุยกันแล้วเดินเข้าไปในห้อง

ภายในห้องแม่นมถงนอนพิงเตียงด้วยสภาพจิตใจห่อเหี่ยว อาหว่านกำลังตรวจจับชีพจรของนาง

หมิงเวยนั่งอยู่อีกฝั่งนางทำมือบอกพวกนางให้เงียบเสียงลง ทั้งสองวางกล่องอาหารลงเบาๆ คนหนึ่งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอีกคนหยิบอาหารออกมา

ผ่านไปไม่นานอาหว่านถอนมือกลับแล้วพูดว่า “แม่นมไม่เป็นอันใด เพียงจัดยาให้ และพักผ่อนให้เพียงพอก็ดีขึ้นแล้ว ต้องให้นางปล่อยวางจิตใจ อย่าเอาแต่อุดอู้ ไม่เช่นนั้นจากที่ไม่ป่วยก็จะป่วยขึ้นมาได้”

ได้ยินอาหว่านพูดเช่นนั้นทุกคนในห้องก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตั้งแต่ฮูหยินสามจากไปแม่นมถงก็ล้มป่วย อีกทั้งอายุนางก็มากแล้ว พวกนางเกรงว่าแม่นมถงจะรับไม่ไหว

อาหว่านเขียนใบสั่งยาแล้วให้ตัวฝูออกไปสั่งให้คนจัดยามาให้ ซู่เจี๋ยประคองแม่นมถงให้ลุกขึ้นแล้วคอยช่วยป้อนข้าวนาง ส่วนหมิงเวยกับอาหว่านเดินออกจากห้องไป

ในเวลาเพียงไม่กี่วันที่สวนอวี๋ฟางเงียบเหงาไปไม่น้อย เหล่าสาวใช้ต่างใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เซื่องซึมไม่กระตือรือร้น

ไม่ใช่เพียงแค่สวนอวี๋ฟาง แต่ทั้งจวนตระกูลหมิงก็เป็นเช่นนี้ด้วย คนตายหนึ่งคน แต่ล้มป่วยกันหลายคน บรรยากาศดูซบเซายิ่งนัก

หมิงเวยยืนอยู่ใต้ชายคานางเอื้อมมือไปสัมผัสสายฝนที่ตกลงมา พลางคิดว่าช่างน่าแปลกเสียจริง เพียงแค่เดือนกว่าที่นางและฮูหยินสามได้ใช้ชีวิตด้วยกันสองแม่ลูก นางที่เคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียวในตอนนี้กลับรู้สึกเหงาเป็นอย่างมาก

“คุณชายอยากพบท่าน” อาหว่านพูด

หมิงเวยพยักหน้า “เมื่อใดหรือ”

“เรื่องเวลาทางเราจะจัดการเองเจ้าค่ะ”

“อืม…” อาหว่านไม่พูดอันใดอีก หมิงเวยเองก็ไม่ได้ถามอันใดต่อ ฝนตกหนักอยู่ทั้งวันทั้งคืนถึงจะหยุด

ในเวลาเช้าตรู่ของวันที่สองตัวฝูบอกว่า “ไผ่ดำในสวนถูกฟ้าผ่าเมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นและมองออกไปทางหน้าต่าง

ตัวฝูยิ้ม “ไผ่ดำอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ มองจากตรงนี้จะไม่เห็น” หมิงเวยดื่มนมแพะที่เหลืออยู่จนหมดจากนั้นจึงยืนขึ้น

“ไปดูกัน” เจ้านายและสาวใช้เดินไปที่ท้ายสวนแล้วพวกนางก็เห็นไผ่ดำที่ถูกฟ้าผ่าไปครึ่งหนึ่ง คนสวนหลายคนกำลังตัดกิ่งไม้ที่ได้รับความเสียหายอยู่

หมิงเวยมองสักพักแล้วพูดว่า “ไผ่ต้นนี้ตัดตรงส่วนนั้นแล้วนำมาให้ข้า” คนสวนรับคำแล้วตัดส่วนที่หมิงเวยต้องการออกมา จากนั้นหมิงเวยจึงนำกระบอกไม้ไผ่กลับไปด้วย อาหว่านที่ออกไปเดินเล่นหลังทานอาหารเสร็จก็เห็นหมิงเวยนั่งอยู่ใต้ชายคา นางค่อยๆ ตัดกระบอกไม้ไผ่

“ท่านกำลังทำอันใดหรือเจ้าคะ”

หมิงเวยเงยหน้าขึ้น “เจ้าลองเดาดูสิ”

อาหว่านขมวดคิ้วนางมองอยู่สักพัก “ขลุ่ยผิว[1]งั้นหรือ”

“ขลุ่ยเป่า[2]น่ะ” หมิงเวยตอบ “ขวางเป่าตี๋จื่อ ตั้งเป่าเซียว”

อาหว่านตอบในใจนางไม่ใช่ไม่รู้เรื่องนี้เพียงแต่เห็นแม่นางหมิงเจาะไปไม่กี่รูก็เลยมองไม่ออกก็เท่านั้น

นางนึกถึงคำพูดของคุณชายได้ เรื่องในคืนนั้น…

“ท่านคุ้นชินกับการใช้ขลุ่ยควบคุมวิญญาณเร่ร่อนหรือ”

“พูดให้ถูกก็คือ นำทางวิญญาณ” หมิงเวยแก้ไขคำพูดของนางอย่างจริงจัง

อาหว่านไม่เข้าใจ “มันต่างกันด้วยหรือ”

“ต่างกันสิ ภาระหน้าที่ของปรมาจารย์แห่งชีวิตคือการกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายให้หายไปจากใต้หล้า ในสถานการณ์ปกติแล้วก็คือการส่งวิญญาณไปสู่สุขคติเพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การควบคุมแต่เป็นการปลดปล่อย”

ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ออกมานางดูมีความศรัทธาเป็นอย่างมาก

อาหว่านไม่ค่อยเข้าใจนัก เป็นเพราะนางติดตามคุณชายหยางตอนอายุหกขวบ เมื่ออายุสิบปีนางก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งพิณกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาดจีน การแพทย์ วรยุทธ์ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนใช้พรสวรรค์ในการเรียนรู้

นางเรียนวรยุทธ์ไม่ใช่เพื่อเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าหรือเพื่อค้นหาความลับของวรยุทธ์

นางเรียนการแพทย์ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่งบนโลก นางก็แค่ศึกษาวรยุทธ์เพื่อไม่ให้เป็นภาระของคุณชาย ศึกษาการแพทย์เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคุณชายในหลายๆ เรื่อง

แต่หมิงเวยไม่เป็นเช่นนั้น…นางเรียนเคล็ดวิชาเพราะมีความศรัทธาอันกว้างไกล กวาดล้างใต้หล้าเพื่อช่วยเหลือผู้คน

อาหว่านคิดมาตลอดว่าคำพูดพวกนี้มันช่างว่างเปล่า เป้าหมายยิ่งไกลเพียงใด ยิ่งเป็นข้ออ้างเพื่อทำให้ตนเองสบายใจก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนหมิงเวยจะปฏิบัติตามอย่างจริงจัง

คุณชายเคยพูดว่าคนบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่จะเด็ดเดี่ยวและองอาจแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ยากยิ่งที่จะมีทั้งสองอย่างนี้ด้วยกันอย่างแท้จริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม่นางหมิงเวยผู้นี้อาจเป็นคนดีที่หาตัวจับยาก

มีเสียงหวีดหวิวดังมาจากท้องฟ้า อาหว่านเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “คุณชายมาแล้ว”

หมิงเวยเงยหน้าตามเห็นนกอินทรีสีขาวบินอยู่บนท้องฟ้า นกอินทรีสีขาวราวกับหิมะทั้งตัว ตรงปลายปีกมีสีดำเพียงเล็กน้อย ดูสง่างามและกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง

หมิงเวยกล่าวชม “นกอินทรี…คุณชายของเจ้าจำแลงร่างได้หรือ”

อาหว่านจ้องเขม็ง “ท่านพูดไร้สาระอันใดกันเจ้าคะ”

“ก็เจ้าบอกว่าคุณชายมาแล้ว แล้วก็มองไปที่นกอินทรีข้าก็เลยคิดว่านกอินทรีตัวนั้นคือคุณชาย”

“…..” อาหว่านตัดสินใจเรียกคืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับมา คนผู้นี้ดูเหมือนคนดีตรงไหนกัน มาหยอกล้อนางเล่นเช่นนี้ ช่างใจแคบเกินไปแล้ว!

หมิงเวยหัวเราะแล้วนางก็ลงมือตัดขลุ่ยต่อ มีร่องรอยฟ้าผ่าไหม้เกรียมบนกอไผ่ดำ ขลุ่ยเลานั้นของนางในชาติก่อนท่านอาจารย์ของนางทำจากไม้ที่โดนฟ้าผ่า

เมื่อคืนฝนตกหนักเกิดฟ้าผ่าไผ่ดำตรงหน้านาง ดูเหมือนเทพเจ้าจะใช้วิธีนี้เพื่อเตือนนางว่านางเป็นผู้ใด และเหตุใดถึงได้มาที่นี่

ไม่ใช่เพื่อเป็นคุณหนูเจ็ดแล้วก็ไม่ใช่เพื่อตามหาครอบครัว แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของใต้หล้า ไม่ให้มุ่งไปสู่โลกที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม

หลังจากนั้นไม่นานแม่นมหูผู้คอยอยู่ข้างกายฮูหยินสองก็เดินเข้ามาหา

“คุณหนูเจ็ด” นางย่อกายคารวะ “มีคนมารับท่านเจ้าค่ะ”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องบอกกับตัวฝู “ไปกันเถอะ”

แม่นมหูไม่บอกว่าใครมารับนาง นางก็ไม่ถาม เพราะทุกคนล้วนรู้กันดีอยู่แล้ว รถม้าประดับด้วยทองคำและหยกจอดอยู่ที่ประตูด้านข้างโดยไม่มีการปกปิดใดๆ

หมิงเวยขึ้นรถม้า เมื่อมุ่งหน้าเดินทางไปได้สักพักนางก็หัวเราะ

อาหว่านไม่เข้าใจ “ท่านหัวเราะอันใดกัน”

“ชื่อเสียงคุณชายของเจ้ามีประโยชน์อย่างมาก ตอนนี้ตระกูลหมิงไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องข้าแม้เพียงปลายเล็บ” นางตอบ

อาหว่านกลอกตา หมิงเวยพูดอีกว่า “วันนี้ให้ข้านั่งรถม้าคันนี้ ในสายตาของผู้คนคงปกปิดว่าไม่มีความสัมพันธ์กับเขาไม่ได้เสียแล้ว เจ้าไปบอกคุณชายของเจ้าทีว่าทำอันใดให้รับผิดชอบด้วย!”

อาหว่านร้องฮึ “ท่านไม่รู้หรืออย่างไรว่าคุณชายขึ้นชื่อว่าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ”

“ผู้อื่นเขาไม่รับผิดชอบได้ แต่กับข้าเขาต้องรับผิดชอบ”

อาหว่านหันหน้าไปทางอื่นพลางคิดในใจว่าฝันไปเถอะ! หากไม่พูดถึงที่มาที่ไปอันเป็นปริศนาของนาง เมื่อมองจากฐานะของนางแล้วมีส่วนใดที่เหมาะสมกับคุณชายกัน

จากนั้นบนรถม้าก็ไม่มีการสนทนาตลอดทาง จนมาถึงที่หมายรถม้าก็ขับเข้าไปในส่วนหลังของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พอพวกนางลงจากรถม้าก็มีคนมาต้อนรับแล้วพาพวกนางไปยังห้องรับรองชั้นบน

หมิงเวยก้าวเข้าไปในประตู และเห็นหยางชูกำลังยืนพิงหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน เขาเล่นพัดงาช้างในมือพลางมองลงไปที่คนเดินเท้าชั้นล่าง

“คุณชาย!” อาหว่านร้องเรียกอย่างดีใจ

หยางชูหันหน้ามาแล้วยิ้มก่อนกล่าวว่า “หลายวันมานี้เจ้าลำบากหรือไม่ อาสวนบอกว่าวันๆ เจ้าไม่ทานข้าวต้มก็หมั่นโถว”

“ใช่เจ้าค่ะ!” อาหว่านบ่น “แม้แต่เนื้อข้าน้อยก็ไม่ได้ลิ้มลอง”

หยางชูหัวเราะแล้วยื่นมือไปเกลี่ยจมูกนาง “วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้กินอาหารดีๆ เจ้าไปสั่งอาหารเถอะ!”

นี่เป็นการกันนางออกไปแน่นอนว่าอาหว่านไม่พอใจอย่างยิ่ง

“เด็กดี ไปเร็วเข้า! เพราะว่ารอพวกเจ้าข้าเลยยังไม่ได้ทานอันใดจนถึงตอนนี้เลย” หยางชูปลอบนาง

อาหว่านกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจก่อนหมุนตัวเดินออกไป ไม่รู้ว่าคุณชายหยางจงใจหรือไม่จงใจกันแน่ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขาทำตัวเหมือนอยู่กับอาหว่านเพียงสองคน ไม่เหลือบมองหมิงเวยเลยเสียด้วยซ้ำ

………………………………………

[1] ขลุ่ยผิว (ตี๋จื่อ) : รูเป่าอยู่ด้านข้าง จับแบบขวาง

[2] ขลุ่ยเป่า (เซียว) : รูเป่าอยู่ด้านบน จับแบบตั้ง