ตอนที่88 ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่88 ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’

เมื่อกลับมาถึงห้องพักอาจารย์ ผ่านไปได้ไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ก้นสัมผัสเก้าอี้ ก็มีเสมียนคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาพร้อมกล่าวว่า

“อาจารย์ฉีคะ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเรียกให้ไปพบที่ห้องทำงานค่ะ”

เสมียนคนนี้ชื่อเสี่ยวเกอ เธอเป็นสาวแว่นหน้าตาน่ารักและดูอ่อนโยนอย่างมาก เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ ดังนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอกับนักศึกษาที่นี่จึงค่อนข้างใกล้ชิด รวมไปถึงอาจารย์ที่เคยสอนเธอมาเช่นกัน เธอมีหน้าที่ดูแลเอกสารในสำนักงานทะเบียนชั่วคราว

ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ฉีเล่ยก็ได้หันไปมองตาแก่ซงเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายในตอนนี้ ดูไม่ต่างจากคนขี้ขลาดคนหนึ่ง

เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์ซี ฉีเล่ยก็พบกับแขกสองคนที่นั่งรออยู่บนโซฟาอยู่

ฉีเล่ยจำหน้าสองคนนี้ได้อย่างแม่นยำ คนหนึ่งคือโห่วเจียนและอีกคนก็คือโห่วเซินกัวผู้เป็นพ่อ

เขายืนยิ้มอยู่หน้าประตูพร้อมถามขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี เรียกผมมาพบเหรอครับ?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่พูดไม่จาใดๆ เพียงผายมือเชิญให้ฉีเล่ยนั่งข้างๆเขาก่อน

“อาจารย์ฉี นักศึกษาคนนี้เป็นเด็กในคลาสคุณ และนี่คือพ่อของเขาคุณโห่วเซินกัว”

คล้อยหลังนั่งลง หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็แนะนำทั้งสองให้ฉีเล่ยได้รู้จัก

ฉีเล่ยลอบสังเกตสีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเล็กน้อย แต่ก็ดูจะไม่มีอะไรผิดแปลก จึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“รองประธานโห่ว พวกเราพบกันอีกแล้วนะครับ”

โห่วเซินกัวพยักหน้าตอบอย่างเฉยชา เขาไม่ต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแข็งกระด้างเกินไปเช่นกัน

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า

“อาจารย์ฉี คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ คุณโห่วต้องการย้ายคลาสเรียนของลูกชายไปลงกันอาจารย์คนอื่นแทน ในฐานะที่อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของคลาสนี้ ดังนั้นผมจึงต้องฟังความเห็นของคุณด้วย”

ถ้อยคำของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีค่อนข้างชัดเจน ที่จริงแล้วเพราะก่อนหน้านี้ โห่วเซินกัวลากลูกชายตัวดีของเขาไปเทศน์สั่งสอนชุดใหญ่ เพราะความเกเรของโห่วเจียนทำให้ถูกฉีเล่ยไล่ออกจากห้องเรียนไปในวันแรก หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะเท่ากับว่าโห่วเจียนนั้นหยุดเรียนเกินกำหนด และขาดสิทธิ์ในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้นโห่วเซินกัวจึงเดินทางมาขอร้องให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซี ช่วยย้ายคลาสเรียนของโห่วเจียนไปยังคลาสอื่นแทน

หากเป็นผู้ปกครองธรรมดาทั่วไปที่เดินทางมาร้องขอแบบนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่มีทางที่จะสนใจอยู่แล้ว แต่อย่างไร โห่วเซินกัวเป็นผู้ปกครองชนชั้นทั่วไปซะที่ไหน? ต่อหน้าคำร้องขอจากบุคคลผู้มีเบื้องหลังแข็งแกร่งปานนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมาพิจารณาไว้

เมืองหลวงอย่างปักกิ่งเปรียบเสมือนสระน้ำขนาดใหญ่ มีหมู่ปลามากมายหลายชนิด บางตัวมีขนาดใหญ่ ส่วนบางตัวมีขนาดเล็กนิดเดียว ทว่ากลับต้องถูกจับให้มาอยู่รวมกันอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าปลาเล็กปลาน้อยกล้าขัดปลาใหญ่ มีหวังโดนกินทั้งเป็นแน่นอน

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีไม่ใช่คนที่มีอำนาจอิทธิพลอะไรมากนัก แต่เขายังคงเข้าใจระดับชนชั้นของสังคมดีและพยายามระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

 ฉีเล่ยได้รับคำแนะนำจากท่านอธิการบดีหลี่และหัวหน้าภาคหลิน ภายใต้ชื่อเสียงและอำนาจของพวกเขาทั้งคู่ ไหนเลยที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะกล้าคัดค้าน แต่ในวันนี้ดันวิ่งมาชนกับโห่วเซินกัวที่ไม่ง่ายเช่นกัน เขาจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้โดยไม่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ทั้งสองฝ่าย

“ครับ ผมอนุญาตครับ”

ฉีเล่ยแสดงความเห็นของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

“ในฐานะอาจารย์ ผมย่อมเคารพการตัดสินใจของลูกศิษย์เป็นธรรมดา ถ้าต้องการย้ายคลาสเรียน ผมก็สนับสนุนครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตกใจ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ฉีเล่ยจะเป็นคนดีขนาดนี้ เดิมทีเขาพยายามคิดวิธีเกลี้ยกล่อมแทบตายเพราะกลัวว่าฉีเล่ยจะหัวรั้นไม่ยอม

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“อาจารย์ฉี ผมได้ยินมาว่าคุณไล่โห่วเจียนขณะสอนอยู่จริงรึเปล่า?”

“ไม่ใช่ครับ”

ฉีเล่ยส่ายหัวและอธิบายต่อว่า

“วันนั้นผมได้อธิบายกฎกติกาทุกอย่างโดยละเอียดให้แก่ลูกศิษย์ทุกคนในคลาสฟัง และบอกไปตามตรงว่า ถ้าใครไม่สมัครใจเข้าเรียนในคลาสของผม ก็ออกไปทำอย่างอื่นจะไม่ได้ต้องมานั่งเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทุกคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาขอเลือกที่จะเรียนกับผมต่อ เว้นแต่โห่วเจียนเพียงคนเดียวที่เลือกจะเดินออกจากคลาสไป เขาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจไม่อยากเรียนกับผม ผมเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยเลยครับ แต่ก็ต้องเคารพสิทธิในการตัดสินใจของลูกศิษย์เป็นหลัก”

“นี่มันหลักสูตรการสอนบ้าบออะไร!?”

โห่วเซินกัวตวาดสวนกลับไปทันทีด้วยความโกรธจัด

“เหตุผลที่ผมส่งลูกชายมาเรียนก็เพื่อให้อาจารย์แบบพวกคุณได้อบรมสั่งสอนเด็กให้อยู่ในกรอบ! แล้วนี่สอนเด็กภาษาอะไรกัน? ยังมีหน้าเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?”

คล้อยหลังได้ยินแบบนี้ ฉีเล่ยหันไปหาโห่วเจียนและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ปีนี้อายุ20แล้วใช่ไหม?”

โห่วเจียนยักไหล่ตอบเพียงว่า

“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบและหันไปพูดกับโห่วเซินกัวว่า

“คุณได้ยินที่ลูกตัวเองตอบไหมครับ? ปีนี้เขาก็อายุ20แล้ว แต่คุณยังจะให้คนอื่นตีก้นสั่งสอนอะไรแบบนั้นอยู่อีกเหรอ? ทั้งๆที่ลูกชายของคุณบรรลุนิติภาวะแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่มีปัญญารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้เลย ถ้าเอาแต่พึ่งอาจารย์ให้ต้องมาโอ๋เป็นพี่เลี้ยงเด็ก หรือพ่อทูนหัวอย่างที่คุณบอก ต่อให้เขาโตจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็คงจะยังไม่มีความรับผิดชอบแน่นอน แล้วที่สำคัญนะครับ ที่นี่คือ‘มหาวิทยาลัย’ไม่ใช่‘โรงเรียน’ ผมมาที่นี่เพื่อให้ความรู้และประสบการณ์แก่นักศึกษา ไม่ได้มีหน้าที่มาสอนเรื่องความรับผิดชอบให้คนแบบลูกชายของคุณ”

“นาย…”

โห่วเซินกัวแทบจะอาเจียนิออกมาเป็นเลือดสด

“หัวหน้าคณะซี! ดูทัศนคติของผู้ชายคนนี้สิ! คนสันดานแบบนี้ยังเอามาเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?!”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีคลี่ยิ้มอย่างขื่นใจ

“มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า อย่าเพิ่งใจร้อนกันเลยครับ”

พอกล่าวออกไปเช่นนั้น เขาจึงหันกลับมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“อาจารย์ฉี มหาวิทยาลัยของเรามีระบบเช็คชื่อนะ แม้นักศึกษาคนนั้นจะทำคะแนนได้ดี แต่ถ้าขาดเช็คชื่นเกินที่กำหนดก็จะถูกปรับตกเช่นกัน ดังนั้นคุณไม่น่าจะปล่อยให้พวกเขาโดดเรียนแบบนี้เลย”

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจเสียงแผ่ว พลางคิดกับตัวเองว่า ฉันเองก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อคนมันไม่เรียน จะไปบังคับให้ตั้งใจเรียนและเชื่อฟังได้ที่ไหนเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นความคิดของเด็กคนนี้ยังมีความอคติต่อเขาโดยสิ้นเชิง

ฉีเล่ยชี้ไปที่โห่วเจียนและกล่าวอธิบายขึ้นว่า

“ในคลาสเรียนวันแรก ทันทีที่ผมเข้าไปสอน เขาค่อนข้างคลางแคลงใจในคุณสมบัติและฐานะอาจารย์ของผม ซึ่งในจุดนี้ผมเองก็เข้าใจได้ แต่เมื่อพิสูจน์ความสามารถให้เห็นแล้ว เด็กคนนี้ก็ยังเลือกใช้คำหยาบคายต่างๆนาๆสาดใส่ผม แถมระหว่างเรียนยังนั่งโอบนั่งล้วงนักศึกษาหญิงร่วมห้องอย่างเปิดเผย โดยไม่แม้แต่จะสนใจระเบียบวินัยหรือมารยาทในคลาสเลยสักนิด ในตอนนั้นพวกคุณไม่อยู่ จึงไม่เห็นว่าเขาทำเกินไปขนาดไหน มือข้างหนึ่งวางอยู่บนต้นขาของนักศึกษาหญิง สวนอีกข้างก็กำลังกอดคอล้วงบริเวณหน้าอกของเธอ…”

“ไร้สาระ! ผมไม่เคยกอดคอผู้หญิงร่วมห้องเลยสักครั้ง!”

โห่วเจียนตะโกนสวนขึ้นทันทีด้วยความโกรธจัด เขารับไม่ได้แน่นอนที่จะต้องโดนประจานเรื่องน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่

ท่าทีของฉีเล่ยทำราวกับรู้สึกผิดเล็กน้อยและกล่าวว่า

“โอ้ ผมขอโทษครับ ตอนนั้นคงจะตาฝาดไป เด็กคนนี้แค่ล้วงกระโปรงนักศึกษาสาวครับ”

“เขาโกหก! ผมแค่ลูบต้นขาเองเถอะ!”

“….”

โห่วเจียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้หลุดปากพูดอะไรออกไป เขานั่งตัวแข็งทื่อค่อยๆเหลือบไปมองสีหน้าท่าทางของพ่อในตอนนี้ทันที

โดยไม่ต้องรีรอ โห่วเซินกัวหันขวับจ้องตาลูกชายเขม็งพร้อมหวดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายสุดแรง

เพี๊ยะ!

“ไอ้ลูกเวร! ทำไมฉันถึงมีลูกอย่างแกได้! ซวยชิบหาย!”

ทั่วทั้งใบหน้าของโห่วเซินกัวบ่งบอกว่ากำลังโมโหสุดขีด แม้ว่าจะได้หวดตบใบหน้าของลูกตัวเองไปแล้วหนึ่งฉาด แต่ความโกรธที่จุกแน่นอยู่ในอกยังไม่มีทีท่าว่าจะลดละ และอยากจะตวัดฝ่ามือตบหน้าลูกตัวเองอีกสักที

ฉีเล่ยไม่มีเวลามาสนใจเรื่องตลกระหว่างพ่อลูก เขาหันไปพูดกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีว่า

“ตอนนี้คุณเองก็น่าจะทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นดีแล้ว ผมคิดว่า พฤติกรรมของโห่วเจียนอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนของนักศึกษาคนอื่นๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้เห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ประจักษ์ต่อสายตาตัวเองแล้ว เขาคลี่ยิ้มขื่นกล่าวตอบไปว่า

“แต่อาจารย์ก็มีหน้าที่สอนนักศึกษาเท่านั้น คุณก็ไม่ควรไปเสนอทางเลือกแบบนั้นถูกตรงไหมครับ?”

“ผมกลับไม่คิดแบบนั้นนะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“เราทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนโตกันหมดแล้ว ทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตและวิธีคิดเป็นของตัวเอง เอาแต่ตีกรอบล้อมพวกเขาไว้อาจจะทำร้ายอนาคตของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เด็กคนนี้เลือกที่จะเป็นอันธพาลก็ตาม เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอิสระของเขาได้”

พอสิ้นเสียงพูดจบ ฉีเล่ยก็หันไปมองสองพ่อลูกสกุลโห่วและกล่าวเสริมว่า

“ยิ่งไปกว่านั้น ในวัยรุ่นแบบนี้แทนที่จะบอกให้คนเป็นอาจารย์หัดสั่งสอนเลี้ยงดู ผมว่าควรแก้ไขตั้งแต่สภาพแวดล้อมในครอบครัวดีกว่าไหมครับ?”

“….”

ใบหน้าของโห่วเซินกัวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ชั่วขณะนั้นเองก็กล่าวขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี เปลี่ยนคลาสเรียนให้ลูกชายผม”

ขืนเขายังจะให้ลูกเรียนอยู่ในคลาสของฉีเล่ย มีหวังโดนอาจารย์คนนี้เล่นงานจนตายแน่นอน…