ตอนที่ 81 ย้ายเข้าบ้านนาน้อยวัวจวู ปฏิเสธงานสมรส (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เมื่อเดินเข้าไปทางทิศตะวันออกของเรือนนั้นมีหีบเสื้อผ้าวางเป็นแถว ข้างในใส่เสื้อผ้าทั้งสี่ฤดูของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ และอีกข้างเป็นพวกตำราหนังสือ พู่กัน น้ำหมึกและอื่นๆ ที่นี่ยังตั้งตั่งไม้และโต๊ะเก้าอี้ไว้ เหยาเยี่ยนอวี่บอกเฝิงหมัวมัวให้นอนที่นี่ ทว่าเฝิงหมัวมัวรู้ดีว่าตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้ คนเป็นบ่าวจะนอนที่เรือนของนายได้อย่างไร ดังนั้นตั่งนอนไม้ก็ยังว่างอยู่ ส่วนโต๊ะพร้อมเก้าอี้จึงกลายเป็นโต๊ะอาหารของเจ้านาย

ตรงทิศตะวันตกของเรือนมีเรือนอีกสองเรือนที่สามารถเดินทะลุผ่านกันได้ นั่นก็คือเรือนนอนของเหยาเยี่ยนอวี่ ที่นอนตั่งไม้ติดมุ้งไว้ ชั้นวางพวกตำราต่างๆ รวมถึงโต๊ะเครื่องแป้งและของใช้ต่างๆ ล้วนเป็นของใหม่เอี่ยมทั้งหมด ทุกอย่างก็ได้จัดวางตามความโปรดปรานของเจ้าของเรือน

เหยาเยี่ยนอวี่มองแล้วรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนว่าชีวิตต่อจากนี้ นางจะใช้อย่างไร นางมัวแต่ยุ่งอยู่กับการขนข้าวของเครื่องใช้เข้าออกนอกเรือน จึงไม่ได้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้แผลของหันซังเกอก็ครบเจ็ดวันแล้ว

วันนี้ จวนเจิ้นกั๋งกง องค์หญิงหนิงหวาทรงมาเยี่ยมเยียนบุตรชายของตนโดยเฉพาะ เมื่อเห็นหมอทหารหลูแกะผ้าตาข่ายสีขาวที่ห่อหุ้มเป็นชั้นๆ ตรงข้อเท้าของหันซังเกอออก เผยให้เห็นแผลของเขาสมานเชื่อมติดกัน และไม่เห็นรอยเย็บใดๆ มีเพียงรอยแผลอ่อนๆ ที่เป็นสีอมชมพูเท่านั้น

องค์หญิงหนิงหวาทรงรู้สึกตกพระทัยยิ่งนัก จึงรีบพูดขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ ถามบุตรชาย “ซู่เอ๋อร์ เท้าของเจ้าตอนนี้ขยับได้หรือไม่”

“ขยับได้ขอรับ” หันซังเกอจึงพยายามขยับเท้าให้มารดาดู

องค์หญิงหนิงหวาจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก และก็ถามขึ้นอย่างกังวลใจ “นิ้วเท้าล่ะ ขยับได้หรือไม่”

“ขยับได้ขอรับ” หันซังเกอขยับนิ้วเท้าทั้งห้า “แค่รู้สึกปวดเล็กน้อย จึงยังไม่กล้าออกแรงมาก”

“ไม่เป็นเช่นไร ไม่เป็นเช่นไร! วันเวลายังอีกยาวนาน นี่ก็เพิ่งจะผ่านไปเจ็ดวันเท่านั้น!” หมอทหารหลูจึงรีบเอ่ยขึ้น “คุณหนูเหยาบอกว่า ผ่านไปสิบวันก็สามารถทำการฟื้นฟูสมรรถภาพได้แล้ว ทว่าเท่าที่กระหม่อมดู ผลลัพธ์ที่ได้มาเหมือนจะดีกว่าที่คุณหนูเหยาคาดไว้”

องค์หญิงหนิงหวารีบพูดขึ้น “เช่นนั้นก็รอหลังจากสิบวันเถอะ จำต้องเชื่อฟังคุณหนูเหยา พวกเจ้าอย่าได้คิดไปเองและตัดสินใจไปเอง นางบอกว่าสิบวันก็ต้องสิบวัน!”

หมอทหารหลูไม่กล้าแสดงความเห็นเรื่อยเปื่อย จึงทำได้เพียงตอบตกลง

เจิ้นกั๋วกงเห็นแผลตรงนิ้วเท้าของบุตรชาย จึงพยักหน้าขึ้นไม่หยุด “คุณหนูเหยาผู้นี้…ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ไม่มีผิดจริงๆ !”

องค์หญิงหนิงหวาแย้มยิ้มขึ้น “ท่านพี่กำลังจะบอกว่าคุณหนูดีหรือว่าอย่างไร”

หันเวยจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “แน่นอนว่าดีสิ คุณหนูผู้นี้มีวิชาการแพทย์ที่อัศจรรย์ยิ่งนัก บาดแผลของซู่จือสามารถหายดีได้ ต้องยกความดีความชอบให้นาง ว่าไปก็ถือว่าเป็นความโชคดีของตระกูลหันเราอยู่เหมือนกัน!”

“จะว่าไป นางก็ยังเป็นเพียงสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง หากนางเป็นบุรุษ เปิ่นกงก็คงจะไปทูลเสด็จพี่ ให้นางได้เข้าไปประจำตำแหน่งที่สำนักหมอหลวง ซึ่งนั่นคงจะเป็นเรื่องดียิ่งนัก”

หันเวยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “วาจาดังกล่าว องค์หญิงเพียงตรัสขึ้นอย่างผิวเผินเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้นางมิได้เป็นสตรี การที่จะเข้าออกจวนต่างๆ ที่มีเรือนหลังของสตรีอยู่เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยเป็นประจำทุกวัน หากเป็นเช่นนั้น เหยาหย่วนจือจะไม่เป็นบ้าหรอกหรือ”

องค์หญิงหนิงหวายิ้มและถอนหายใจ “ข้าเพียงแค่เอ่ยขึ้นลอยๆ เท่านั้น”

เจิ้นกั๋วกงหันเวยจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ว่าไปแล้ว พวกเรายังไม่ได้ไปขอบคุณนางอย่างเป็นทางการเลย เวลานี้ บาดแผลของซู่จือก็หายดีแล้ว ตามสถานการณ์เช่นนี้ อีกไม่นานก็คงจะเดินได้ องค์หญิงส่งคนไปที่จวนติ้งโหวอีกครั้งเถอะ แล้วก็ส่งคนไปเจียงหนานด้วย ให้ไปกล่าวขอบคุณเหยาหย่วนจือต่อหน้าเขาที ข้าก็รู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ค่อยเข้าตากับการกระทำและนิสัยของเหยาหย่วนจือ ทว่าบุตรีของเขาช่วยรักษาขาข้างหนึ่งของบุตรชายพวกเราไว้ หากไม่ไปกล่าวขอบคุณถึงจวน ผู้คนจะครหาว่าพวกเราไม่รู้จักมารยาททางสังคม”

องค์หญิงหนิงหวายิ้มพลางพูด “นี่ยังต้องให้ท่านพี่ออกคำสั่งอีกหรือ ของกำนัลที่จะไปขอบคุณข้าจัดเตรียมไว้แล้ว และกำลังรอให้ของกำนัลผ่านตาข้าก่อนหนึ่งรอบ ข้าจึงจะสั่งให้คนส่งไป”

เจิ้นกั๋วกงได้ยินดังกล่าวก็ไม่ได้คิดจะแสดงความเห็นไปมากกว่านี้ จากนั้นสองสามีภรรยาจึงสนทนาถึงเรื่องในจวนไปสักพัก ท่านกั๋วกงก็ได้ออกไปทำกิจธุระ องค์หญิงหนิงหวากลับไม่ได้รีบไปไหน จิบชาไปด้วยและพูดคุยกับบุตรชายและสะใภ้ไปด้วย

พอพูดถึงเรื่องของจวนติ้งโหว เฟิงเซ่าอิ่งจึงพูดขึ้น “ทางฝั่งจวนโหว ให้สะใภ้ไปจึงจะเหมาะสมกว่าเพคะ”

องค์หญิงหนิงหวาพยักหน้า “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าที่ไปเยือนที่นั่นด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นผู้อื่นจะนินทาครอบครัวเราได้”

หันหมิงชั่นพูดขึ้น “ท่านแม่และพี่สะใภ้เอ่ยแค่ว่าจะไปจวนติ้งโหว และยังจะไปจวนตระกูลเหยาที่เจียงหนาน กลับไม่มีผู้ใดออกคำสั่งให้ส่งคนไปขอบคุณคุณหนูเหยาที่บ้านนาแถวชานเมืองเลย ตอนนี้คุณหนูเหยาพักอาศัยอยู่ที่บ้านนาเพียงลำพัง และก็ไม่ได้เขียนจดหมายตอบกลับกับพี่สาวนางมาราวๆ สิบกว่าวันแล้ว ยิ่งมิได้พูดคุยเรื่องนี้กับบิดาของนางเลยด้วย ข้ารู้สึกว่า พวกเราจะขอบคุณผู้ใด ก็ให้ขอบคุณผู้ที่กระทำดีกว่า อีกอย่าง หากได้ไปเจอะเจอกับคุณหนูเหยายังสามารถไถ่ถามเรื่องแผลของพี่ชายใหญ่ว่าควรระวังเรื่องใดอีกบ้าง”

องค์หญิงหนิงหวาได้ยินเช่นนี้จึงแย้มยิ้มทันที จากนั้นก็ยกมือไปกุมมือของบุตรีพลางพูดขึ้น “สุดท้ายก็เป็นชั่นเอ๋อร์ของข้านี่แหละที่คิดได้รอบคอบที่สุด เมื่อวานข้าเหมือนจะนึกเรื่องนี้ได้ ทว่าวันนี้กลับลืมเลือนไป ดูสิ ความจำของข้ายิ่งนานวันก็ยิ่งแย่แล้ว”

“คุณหนูเหยาเป็นแม่นางที่ยังไม่ออกเรือน ท่านแม่มองเรื่องนี้ด้วยภาพในมุมกว้าง แน่นอนว่าต้องไปเยือนจวนติ้งโหวและจวนตระกูลเหยาที่เจียงหนาน เหตุเพราะลูกได้เจอะเจอกับคุณหนูเหยาไปสองครั้ง และรู้สึกว่านางมีท่าทีที่สมควรได้รับความเคารพนับถือ ดังนั้นลูกจึงอยากจะไปเยี่ยมเยียนนาง” หันหมิงชั่นกล่าวจบก็ได้ก้มหน้าลงและครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเพิ่มเติมขึ้นอีก “อีกอย่าง ลูกมีเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือจากนาง”

“เจ้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ” องค์หญิงหนิงหวาทรงรู้สึกตกพระทัยขึ้นมาทันที หรือว่าบุตรีของตนป่วย?

“ท่านแม่” หันหมิงชั่นยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปจับบาดแผลบนใบหน้าของตนเอง “คราวที่แล้วลูกกับเหล่าจวิ้นจู่และคุณหนูแต่ละจวนไปเที่ยวเล่นที่บ้านนาของคุณหนูเหยา ดวงหน้าของน้องยั่งเอ๋อร์ถูกกิ่งไม้กรีดจนเป็นแผล ท่านยังจำได้หรือไม่”

องค์หญิงหนิงหวาใช้ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักมองใบหน้าของบุตรี จากนั้นก็ทอดถอนหายใจ พยักหน้าพูดขึ้น “ความหมายของเจ้า แม่เข้าใจ แม่จะสั่งให้คนเตรียมของกำนัลให้คุณหนูเหยา เจ้าอยากไปเมื่อใดก็ไป”

“แน่นอนว่ายิ่งเร็วยิ่งดีเพคะ” นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ผ่านปีใหม่ไปนางก็อายุสิบแปดปีแล้ว สตรีที่มีอายุสิบแปดปี เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการออกเรือน นางที่มีฐานันดรศักดิ์เป็นถึงบุตรีขององค์หญิงใหญ่และท่านกั๋วกง อย่างไรนางก็ย่อมรู้สึกกดดัน

หลังจากปีนี้ไป การไว้อาลัยให้กับไทเฮาก็จะเหลืออีกหนึ่งปีเต็ม ถึงแม้เหล่าราชนิกุลจะปฏิบัติตามกฎที่จะห้ามมีการจัดพิธีมงคลสมรส ทว่าเรื่องการสู่ขอก็สามารถกระทำขึ้นได้ ที่สำคัญก็คือสตรีอย่างหันหมิงชั่น ไปร่วมงานในจวนใด ก็มักจะมีคนเอ่ยถึงงานสมรส หันหมิงชั่นได้รับบาดแผลที่หน้าตั้งแต่อายุแปดขวบ เพราะเหตุนี้รอยแผลเป็นที่อยู่บนคางของนางจึงถูกผู้อื่นกล่าวถึงอยู่ไม่น้อย

นางเป็นบุตรีของเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ งานมงคลสมรสจึงจัดขึ้นอย่างขอไปทีไม่ได้

บุตรหลานของเหล่าตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง องค์หญิงใหญ่ก็เห็นว่ามีคนไม่รู้เท่าใดที่รังเกียจในบาดแผลบนดวงหน้าของนาง และพวกที่ไม่สนใจในบาดแผลนี้ องค์หญิงใหญ่และท่านกั๋วกงก็ไม่ได้รู้สึกโปรดปราน พวกเขากลัวว่าบุตรีของตนเองจะกลายเป็นหินบนทางเดินที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของฝ่ายตรงข้าม หลังจากออกเรือนไปแล้ว ก็จะเกาะติดกับอำนาจของจวนกั๋วกง และจะปฏิบัติตัวแย่ๆ กับหันหมิงชั่น

ทว่า เวลากลับไม่เคยคอยใคร

หันหมิงชั่นเห็นว่าตนใกล้อายุสิบแปดปี เรื่องการแต่งงานจึงไม่ควรรีรออีกต่อไป หากคอยต่อไปก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันของเมืองหลวงอวิ๋น

นี่ก็คือเรื่องที่องค์หญิงใหญ่เองก็รู้สึกฝังใจ แม้นางจะโปรดปรานในตัวเว่ยจาง ทว่าพอนึกถึงเว่ยจางที่ไม่มีบิดามารดา และไม่มีพี่น้อง ตอนนี้ตระกูลจางกำลังจะตกต่ำไร้ซึ่งที่ยืน ด้วยอำนาจของตระกูลหันในค่ายทหาร คิดว่าเว่ยจางเองก็คงไม่กล้าทำไม่ดีกับบุตรีตนเอง

อย่างไรก็ตาม เว่ยจางก็เป็นคนที่มีรากฐานที่ตื้นเขิน ตั้งแต่ตอนอายุสิบสี่ปีก็ถูกส่งตัวเข้าไปในค่ายทหาร จึงมีอุปนิสัยที่เลือดเย็นและแข็งกระด้างของทหาร วันทั้งวันก็มักจะทำสีหน้าที่เย็นชา ดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่บุรุษที่อ่อนโยนและเอาใจผู้อื่นเก่ง หากบุตรีของตนได้สมรสกับคนเช่นนี้…