ตอนที่ 131 ประสาทฟั่นเฟือน! + ตอนที่ 132 ตั้งเป้าหมายแรก! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 131 ประสาทฟั่นเฟือน!
หลินเหล่าพยักหน้า กล่าวว่า “นั่นก็ถูกขอรับ หลินเหล่าว่าท่านผู้เฒ่าคงเกิดปัญหาอะไรตอนฝึกวิชา ทำให้จิตวิกลจริตไปเล็กน้อย”
“อะไรนะ?”
เฟิ่งเซียวส่งเสียงอุทาน “เจ้าคิดว่าเขามีปัญหาระหว่างฝึกฝน ทำให้จิตวิกลจริตเล็กน้อยรึ? จะเป็นไปได้ยังไง! หากเกิดปัญหาตอนฝึกวิชา เดาว่าคงเพียรฝึกฝนเสียจนจิตวิปลาส แต่ข้าดูท่าทีแล้ว พลังเร้นลับทั้งหมดในร่างล้วนปกติดี ไม่น่าจะเกิดเรื่องอย่างที่เจ้าว่า เจ้าวินิจฉัยผิดรึเปล่า?”
ฟังคำพูดนี้ ชายชราขมวดคิ้วน้อยๆ “หากนายท่านไม่เชื่อ เชิญคนอื่นมาตรวจรักษาท่านผู้เฒ่าได้ แต่ข้าแค่อยากบอก ไม่ว่าจะเรียกใครมาก็เหมือนๆ กัน หนำซ้ำ อย่างดีที่สุดตอนนี้ต้องขังท่านผู้เฒ่าไว้ มิเช่นนั้นรอเขาฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะเป็นเหมือนเช่นก่อนหน้านี้หรือไม่ เวลานี้เขาอันตรายยิ่งนัก ทำเรื่องอะไรลงไปแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รับรู้ด้วยซ้ำ”
“ท่าน ท่านจะบอกว่า หากท่านปู่ฟื้นขึ้นมา ก็อาจจะถือกระบี่มาฆ่าข้าอีกรึ?” เฟิ่งชิงเกอเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
หลิ่นเหล่าพยักหน้า “อืม เป็นไปได้มากขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเฟิ่งเซียวผึ่งผายขึ้นมา มองลูกสาวที่กำลังพยายามข่มความหวาดกลัวไว้ แล้วมองท่านพ่อที่หมดสติอยู่บนเตียง ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ตามหมอหลายๆ ท่านมาตรวจดูก่อนค่อยว่ากัน ชิงเกอ เจ้ากลับเรือนไปก่อน ที่นี่มีพ่ออยู่ก็พอแล้ว”
“อืม”
นางหลับตาลงพยักหน้า ในใจนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่จับท่านผู้เฒ่าขังอย่างง่ายดายเช่นนั้น อันที่จริง ความรู้สึกพ่อลูกระหว่างเขากับท่านผู้เฒ่าก็ดียิ่งเสมอมา คงไม่ตัดสินว่าท่านผู้เฒ่าสติฟั่นเฟือนเพียงเพราะคำพูดของหมอท่านหนึ่ง และยิ่งจะไม่กักขังตัวท่านผู้เฒ่าขึ้นมาโดยง่าย
ทว่า ต่อให้เชิญใครมาก็เหมือนๆ กัน นางจะทำให้เขาเชื่อ ว่าท่านผู้เฒ่าเสียสติไปแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วนั่งเอามือหนึ่งเท้าคางอยู่ในเรือน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ขนาดเหลิ่งซวงกลับมา ก็ยังไม่ทันสังเกต
“นายท่านเจ้าคะ?”
“หืม?” เธอดึงสติกลับมา เห็นนางยืนอยู่ข้างกาย จึงเอ่ยถาม “พวกเจ้ากลับมาแล้วรึ? เลือกคนมาได้รึเปล่า?”
“ได้เจ้าค่ะ คุณชายซื้อตัวกลับมาห้าคน จึงอยากเชิญนายท่านออกไปนอกเรือนเจ้าค่ะ”
“อืม” เธอผูกผ้าคลุมหน้า ก้าวนวยนาดมาถึงด้านนอกเรือน
กวนสีหลิ่นเห็นนางเข้า จึงรีบร้อนเข้าไปรับหน้า “เสี่ยวจิ่ว เจ้ามาแล้ว ลองดูสิ ข้าซื้อตัวกลับมาห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นแม่ครัวด้วยนะ” ไม่ทันไร ก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นมาให้น้องสาวข้าดูสิ”
“เจ้าค่ะ”
ทุกคนตอบรับ ถึงจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย เมื่อเห็นสาวน้อยที่ทั่วร่างล้วนดูสง่างามยืนอยู่เบื้องหน้า ในดวงตาพวกเขาต่างฉายแววตื่นตาตื่นใจ กลับไม่กล้าพินิจมองอย่างเหิมเกริมเกินไปนัก แต่มองแค่แวบเดียวก็รีบก้มหน้าลง
สายตาเฟิ่งจิ่วเหลียวมองผ่านพวกเขา หลังจากพินิจมองรอบหนึ่ง ก็เอ่ยถาม “พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง?”
“เชิญคุณหนูตั้งชื่อให้พวกข้าน้อยได้เลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวที่อายุค่อนข้างมากปริปากบอก เพราะพวกนางล้วนถูกซื้อตัวมา หลังจากนี้ก็จะเป็นคนของบ้านนี้แล้ว จึงไม่สามารถใช้ชื่อแซ่ก่อนหน้าได้เป็นธรรมดา
“งั้นใช้คำว่า ชิง นำหน้า ผิง อัน หรู อี้ สี่คำนี้พวกเจ้าเลือกคนละหนึ่ง ส่วนแม่ครัว ก็ชื่อ ชิงเหนียง ละกัน!”
“ขอบคุณคุณหนูที่ตั้งชื่อให้เจ้าค่ะ” พวกเขาคุกเข่าคำนับ
เธอพยักหน้า บอกกับกวนสีหลิ่นข้างๆ ว่า “ท่านพี่ ให้เหลิ่งซวงจัดการที่พักให้พวกนาง บอกกฎระเบียบเสียหน่อย วันนี้ออกไปข้างนอกมาทั้งวันข้าจึงเหนื่อยๆ อยู่บ้าง ขอกลับห้องไปพักผ่อนก่อนนะ”
“ได้สิ เจ้าไปเถอะ!” เขาพยักหน้า หลังจากมองส่งนางออกไป ถึงจะกำชับเหลิ่งซวงให้จัดที่พักให้พวกนาง แล้วค่อยเดินตามไป
“ตามข้ามา!” เหลิ่งซวงบอก พาพวกนางไปยังด้านในเรือน
………………………………
ตอนที่ 132 ตั้งเป้าหมายแรก!
ผ่านไปสองสามวัน ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งก็ไม่มาอีกเลย เดิมทีเฟิ่งจิ่วคิดว่า หลังจากเห็นเฟิ่งชิงเกอคนในจวนตระกูลเฟิ่ง เขาอาจนึกว่าเธอเป็นตัวปลอม แต่สองวันมานี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ถูกต้อง
ว่ากันตามท่าทางและน้ำเสียงของท่านผู้เฒ่าเฟิ่งในตอนนั้น ต่อให้นึกว่าเป็นตัวปลอม ก็ต้องมาหาเธออีกแน่ๆ แต่รอมาสองสามวันแล้ว ก็ไม่เห็นมาเลย นี่แหละที่น่าสงสัย
ดังนั้น พอเธอออกประตูห้องมา จึงสั่งกับเหลิ่งซวงที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาอยู่ในลานบ้าน “เหลิ่งซวง เจ้าไปไถ่ถามเสียหน่อย ว่าสองวันมานี้ที่จวนตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” แม้ในใจเหลิ่งซวงคิดสงสัย กลับลุกขึ้นจากไปโดยไม่ถามอะไรมาก
เธอมานั่งในลานบ้าน เฝ้ารอคำตอบที่เหลิ่งซวงไปสอบถามกลับมาอยู่เงียบๆ หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี ก็ไม่อาจมีกะใจมาฝึกฝนวิชาได้ตลอด เดิมไม่ได้คิดจะรีบกลับบ้านตระกูลเฟิ่งถึงเพียงนั้น ทว่า สถานการณ์ตอนนี้…
“เสี่ยวจิ่ว ชิงเหนียงต้มซุปหวาน ข้าเลยยกมาให้เจ้าถ้วยหนึ่ง ลองชิมสิ รสชาติไม่เลวเลยนะ” กวนสีหลิ่นยิ้มพลางเดินเข้ามา บนถาดในมือยังมีซุปหวานอยู่ถ้วยหนึ่ง
“ขอบคุณท่านพี่” เธอเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นรับไว้
กวนสีหลิ่นนั่งลงข้างโต๊ะหิน พูดว่า “เสี่ยวจิ่ว ที่ข้ามา ยังมีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“หืม? เรื่องอะไรรึ?” เธอซดซุปหวาน พลางเอ่ยถาม
เขาลังเลสักพัก ถึงจะบอกว่า “ข้าอยากไปประลองที่ตลาดมืด”
ฟังคำพูดแล้ว เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น “ท่านคิดจะใช้วิธีนั้นมาหาเงินรึ? ของพรรค์นั้นเดิมทีก็หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ หนำซ้ำ หากเจอคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าเขาคงไม่ปราณีท่าน แม้แต่โอกาสจะยอมแพ้ยังไม่มีเลย”
“ข้าคิดว่า ในสถานที่เช่นนั้นนอกจากหาเงิน ยังสามารถพัฒนากำลังต่อสู้ได้ด้วย ตอนนี้สำหรับข้า ข้อด้อยที่สุดก็คือประสบการณ์จริง ดังนั้นข้าจึงอยากสั่งสมประสบการณ์ก่อน จากนั้นค่อยเข้าร่วมงานประลองคัดเลือกของแคว้นแสงสุริยันที่จะจัดขึ้นทุกสามปี กลายเป็นสิบอันดับแรกของรายชื่อนักสู้ผู้โด่ดเด่น เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสเข้าไปฝึกฝนวิชาในสำนักดาวประดับเมฆา”
“สำนักดาวประดับเมฆารึ?”
เธอค้นหาในห้วงความทรงจำสักพัก กล่าวว่า “สำนักฝึกวิชาที่จัดอยู่ในระดับเจ็ดดาวน่ะรึ? ข้าจำได้ว่าการคัดสรรของที่นั่นเข้มงวดยิ่งนัก ซ้ำยังคัดเลือกทุกสามปี ในแคว้นเล็กๆ ระดับเก้าอย่างแสงสุริยันนี้ เหมือนว่าจะไม่มีใครสักคนได้เข้าไปในสำนักดาวประดับเมฆามาหลายปีแล้วนะ!”
“อืม สำนักดาวประดับเมฆาเกณฑ์ผู้ฝึกได้เคร่งครัดมาก หนำซ้ำในแคว้นเหินเวหาที่เป็นถึงแคว้นขนาดกลางระดับหก ก็ยังต้องอยู่ในสิบอันดับผู้แกร่งกล้าของแคว้นแสงสุริยัน ถึงจะมีโอกาสได้ลองไปที่นั่นสักครั้ง แม้จะรู้ว่ายากนัก แต่ข้ายังอยากลองดู อีกอย่าง เพียงออกจากแคว้นแสงสุริยัน ในอนาคตข้าอาจจะหาท่านพ่อพบก็ได้”
ฟังคำพูดเขา เธอก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาพูดได้ไม่เลวเลยจริงๆ หากจะออกจากแคว้นเล็กๆ ระดับเก้าไปยังแคว้นอื่นที่ระดับสูงกว่านี้ ต้องมีพละกำลังเป็นที่ยอมรับถึงจะเข้าไปได้ มิเช่นนั้น ต่อให้เป็นท่านอ๋องแคว้นหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่นก็ทำได้แค่ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูเมือง
พูดถึงมู่หรงอี้เซวียน เขาเป็นท่านอ๋องของแคว้นแสงสุริยัน และเป็นผู้มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทานเช่นกัน เดิมทีมีโอกาสมากที่จะเข้าไปฝึกวิชาในสำนักดาวประดับเมฆา ทว่าสามปีก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทำให้เขาพลาดโอกาสไป กระทบไหล่ผ่านสำนัก หากอยากจะเข้าไปอีก ก็ทำได้เพียงร่วมงานประลองที่จัดขึ้นทุกสามปี
“ในเมื่อท่านตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ก็ทำไปเถอะ! แต่จงจำไว้ให้มั่น สู้กับคนอื่นจำต้องระวัง หากเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งต้องยอมแพ้ทันที ควรรู้ไว้ แพ้ประลองหนึ่งรอบไม่เสียหน้า หากสิ้นชีพก็สายเกินจะเสียใจภายหลัง”
“อืม ข้ารู้ดี”
เขาคลี่ปากแย้มยิ้ม ก็เห็นเหลิ่งซวงเดินเข้ามา
………………………………