บทที่ 89 ฝึกฝน

ราชาซากศพ

บทที่ 89
ฝึกฝน

เมื่อเสี่ยวหลงมองเห็นท่าทางยอมจำนนของหมาป่าลมกรด ทำให้มันเริ่มมีความกล้ามากยิ่งขึ้น มันยื่นอุ้งเท้าออกไปและสะกิดเบา ๆ ที่ร่างของหมาป่าลมกรด จากนั้นมันก็รีบหันกลับมามองไปที่หมาป่าตรงหน้าเขา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง เขาก็ตื่นเต้นและยื่นอุ้งเท้าไปสะกิดหมาป่าอีกครั้ง คราวนี้เขาเพียงแค่ลูบร่างกายของอีกฝ่ายเท่านั้น

“ฮึ! ข้าต้องการให้เจ้าต่อสู้..ไม่ใช่ไปหาเพื่อน เสี่ยวหลง” หลินเว่ยเอื้อมมือไปจับหน้าผากของเขา และอุทานอย่างช่วยไม่ได้
“อ๊ะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสี่ยวหลงก็หันศีรษะ และมองไปที่หลินเว่ยอย่างโง่งม ไม่รู้ว่าหลินเว่ยนั้นต้องการอะไร

“ฮ่าฮ่า … “! ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ฮ่า ๆ เจ้าให้เสี่ยวหลงไปต่อสู้กับหมาป่าลมกรดขั้นต่ำ ข้าอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง เมื่อได้ยินการสนทนาของหลินเว่ยและเสี่ยวหลง เสี่ยวไป๋ก็อดทนที่จะไม่ขบขันต่อไปอีกไม่ไหว
เขาหัวเราะและกลิ้งไปกับพื้น โดยไม่เหลือภาพลักษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

“บ้าเอ๊ย! ข้าจะสลัดเรื่องขำขันนี้ออกไปจากสมองข้าได้อย่างไร แมวเงาดำตนแรกก็วิ่งหนีหางจุกก้น ข้าคิดว่ามันคงกลัว” เมื่อหลินเว่ยได้ยินเสี่ยวไป๋หัวเราะใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ายก้นหม้อ เขารู้สึกเสียใจที่ตอนแรกคิดว่า ตนเองนั้นโชคดีมาก ๆ ที่สูญเสียทรัพยากรเพื่อแลกกับเสี่ยวหลงมา

“เสี่ยวหลง….กลับมาได้แล้ว!” หลินเว่ยไม่สนใจเสี่ยวไป๋ และเรียกเสี่ยวหลงกลับไปที่ถ้ำ ที่เขาอาศัยอยู่ชั่วคราว
มังกรน้อยที่ติดตามหลินเว่ยกลับมา คิดว่าหลินเว่ยจะย่างเนื้อเพื่อเป็นรางวัลให้มันชิ้นโต ทันทีที่เข้าไปในถ้ำ เขามองเห็นร่างของสัตว์ร้ายโครงกระดูก ปรากฏตัวต่อหน้าเสี่ยวหลงและขวางทางของมันเอาไว้ทั้งสองตัว
“กึก!” เสี่ยวหลงรู้ว่า นี่คือลูกน้องของหลินเว่ย มันจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ และเตรียมที่จะเดินผ่านสัตว์ร้ายโครงกระดูกไป
“กึก!”
“พรึ่บ!” เสียงกรีดร้องโหยหวน ดังก้องไปทั่วถ้ำ ปรากฏว่าเสี่ยวหลงถูกอสูรโครงกระดูกเตะออกมาด้วยเท้าข้างเดียวและกลิ้งไปมาบนพื้นหลายตลบ
“พลั่ก!” เสี่ยวหลงลุกขึ้น และส่ายหัวมึน ๆ เขาพบว่าสัตว์ร้ายโครงกระดูกกำลังเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ร่างกายของเขาแข็งทื่อและมองไปที่หลินเว่ยด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ หลินเว่ยก็ขมวดคิ้ว กัดฟันและหันศีรษะไปด้านหนึ่ง ด้วยท่าทีเฉยเมย

การต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียวนั้นกินเวลานาน เสี่ยวหลงที่มีรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้า บัดนี้เขานอนกินเนื้อย่างอยู่ข้าง ๆ หลินเว่ย ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น และมีน้ำตาสองหยดที่หางตาและมีน้ำมูกไหลออกมาตรงจมูก
“ใจร้ายจริง ๆ ตอนนี้เสี่ยวหลงยังเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ เพียงแค่เอาเนื้อย่างมาล่อ ก็พร้อมที่จะคุกเข่าลงและพยายามทำตัวเชื่อฟังสงบเสงี่ยมกับเจ้า” เสี่ยวไป๋มองไปที่อาหารของ เสี่ยวหลง และมองไปที่หลินเว่ยด้วยใบหน้าที่พูดไม่ออก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ
“ข้าฟักไข่ออกมาแล้ว แต่มันยังเด็กมาก จนเหมือนทารก! ข้าต้องการให้เสี่ยวหลงเติบโตมาด้วยความแข็งแกร่ง
“ซี๊ด! เจ้าจิตใจทำด้วยอะไร มันจะโหดร้ายเกินไปหรือไม่? เขาพึ่งเกิดมาไม่ถึงสองวันดีเลยด้วยซ้ำ” เมื่อได้ยินคำพูดของ หลินเว่ย เสี่ยวไป๋ก็กลอกตาและมองไปที่หลินเว่ยด้วยความรังเกียจ จากนั้นมันก็ขมวดคิ้ว และกล่าวแสดงร่องรอยของความไม่พอใจฉายบนใบหน้าของมัน

“ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าการเลี้ยงสัตว์อสูรนั้นต้องทำอย่างไร? ข้าทำได้เพียงใช้วิธีที่ตนเองเคยเรียนรู้มาก่อน เพื่อให้เด็กน้อยคนนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว” หลินเว่ยยักไหล่และพูดอย่างอดไม่ได้ เขามองไปที่เสี่ยวหลง ด้วยร่องรอยของการจดจ่อ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเกิดมาไม่นาน แต่กลับต้องมาพบเจออุปสรรคมากมาย
“เห้อ……” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจโดยไม่พูดอะไร จากนั้นภายใต้ดวงตาที่ตกตะลึงของหลินเว่ย เสี่ยวไป๋ก็วิ่งไปหาเสี่ยวหลงแล้วคว้าเนื้อย่างในมือของอีกฝ่าย โดยไม่ระมัดระวังและถูกเสี่ยวหลงไล่ล่าอยู่นานสองนาน
“กึกๆ!” หลังจากวิ่งตามเสี่ยวไป๋อยู่นาน เสี่ยวหลงก็ยอมแพ้ รีบวิ่งไปหาหลินเว่ย ในความเป็นจริง เสี่ยวหลงแค่ต้องการให้หลินเว่ยส่งเนื้อย่างของตนมาให้เขา

“นี่คือ ชิ้นที่สองของเจ้า! รับไปซะ หลินเว่ยไม่มีทางเลือก นอกจากหัวเราะและดุเสี่ยวหลง เขายื่นเนื้อย่างในมือออกไปให้ จากนั้นเห็นอีกฝ่ายรับวิ่งหนีไปพร้อมกับเนื้อย่างอย่างมีความสุข หลินเว่ยส่ายหัวเอาเนื้อดิบออกมาแล้วย่างต่อ

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชายหนึ่งคนและสัตว์สองตัว เริ่มวุ่นวายไม่ได้หยุดหย่อน หลินเว่ยยุ่งอยู่กับการฝึกฝนออกคำสั่งโครงกระดูกและฝึกฝนเสี่ยวหลงในตอนกลางวันวัน ในตอนกลางคืนเขาเป็นคนทำอาหารทำเนื้อย่างและใช้เวลาฝึกฝนเป็นครั้งคราว
ในช่วงสองสามวันแรก เสี่ยวหลงถูกทุบตีในตอนกลางวัน และในตอนกลางคืนเขาก็กินเนื้อย่างอย่างมีความสุข ต่อมาเขาค่อย ๆ เรียนรู้ทักษะการต่อสู้บางอย่าง ในขณะที่เสี่ยวไป๋ทำตนราวกับเป็นอาจารย์คอยสั่งสอน เสี่ยวหลงจึงเริ่มรู้วิธีการในการใช้พลังงาน
วันแล้ววันเล่าผ่านไป ประสบการณ์ที่ยากลำบากก็สิ้นสุดลง ในวันนี้หลินเว่ยเดินทางออกจากม่อเทียนหลิง กับเสี่ยวไป๋ เมื่อมองไปยังเบื้องหลังของเขา หลินเว่ยแสดงให้เห็นถึงความอาลัยอาวรณ์ เขาใช้เวลาทั้งหนึ่งปีกับอีกสามเดือนในเขตของหุบเขา ม่อเทียนหลิง ตอนนี้ดูเหมือนกับเขาผ่านอะไรมาอย่างมากมาย

ในตอนนี้ ไม่มีมังกรตัวน้อยอยู่ข้างๆหลินเว่ย เพราะร่างปัจจุบันของอีกฝ่ายหลังจากกินยาของหลินเว่ยจำนวนมากเมื่อครึ่งปีก่อน ระดับขั้นพลังของมันทะลวงไปถึงขั้นหก และร่างกายของมันก็เริ่มที่จะขยายตัวสูงขึ้น ในตอนนี้มันมีขนาดที่สูงกว่า หลินเว่ย
และโหนกแก้ม หน้าผากและหลังของมัน เริ่มชัดเจนว่าเป็นร่างมังกรมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันเด่นชัดเกินไป ดังนั้น หลินเว่ยจึงสั่งเสี่ยวหลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอีกฝ่ายก็พยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็ถูกหลินเว่ยนำเข้าไปในพื้นที่มิติ
เพราะไม่มีข้อจำกัดอื่นใดในพื้นที่มิติ สามารถอยู่ได้อย่างอิสระเพื่อฝึกฝน หลังจากเดินทางออกมาจากหุบเขาม่อหลิงเทียน หลินเว่ยกลับตกกระไดพลอยโจน ติดอยู่ท่ามกลางบุคคลอันธพาล ที่กำลังจะสังหารคนกลุ่มหนึ่ง
ตัวเขานั้นแฝงตัวอยู่บนต้นไม้ถูกล้อมรอบไปด้วยคนหลายสิบคนที่อยู่เบื้องล่าง
…………
“เซี่ยเจี้ยน เจ้าคนเนรคุณ! บิดาของข้าให้ความสำคัญกับเจ้ามาก หากไม่ได้บิดาช่วยไว้ และปล่อยให้เจ้าอยู่ในกองทหารรับจ้าง เจ้าจะมีวันลืมตาอ้าปากได้แบบนี้หรือ? และในวันนี้สมคบคิดกับคนนอก เพื่อสังหารบิดาและบุตรสาวของเขา”
คนที่พูดคือเด็กสาวคนหนึ่ง นางกำลังช่วยชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเซียวและมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บสาหัส ด้านข้างพวกเขามีชายสองคนที่มีใบหน้าซีดเซียวเหมือนกัน และมีคราบเลือดที่มุมปากของเขา รอบ ๆ พวกเขามีคนมากกว่าสิบคนยืนอยู่รอบ ๆ พวกเขาล้อมรอบทั้งสี่คนเอาไว้

“เนรคุณหรือ? ฮ่าฮ่า….ใช่….เขาช่วยข้าเอาไว้ แต่ข้านั้นใช้ชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณ มานานกว่าหนึ่งปีแล้ว ถ้าไม่มีข้า ในวันนี้ทหารรับจ้างจะเป็นอย่างไร? ฮ่าวเค่อจะสามารถสร้างความก้าวหน้าในเลื่อนขั้นสู่นักรบขั้นสี่ได้หรือ?

หากไม่ใช่ความทุ่มเทของข้า เขาจะยินดีช่วยเหลือข้าเอาไว้น่ะหรือ? หรือว่าเจ้าจะปฏิเสธว่าบิดาของเจ้านั้น ไม่ได้รับผลประโยชน์จากข้า? “ชายคนหนึ่งในบรรดาชายสิบคนพูดขึ้น เขามีอายุยี่สิบต้น ๆ เขาเป็นคนธรรมดามีริมฝีปากบาง ดวงตาเย็นชา และใบหน้าที่เสแสร้ง

เป็นฮ่าวเค่อที่เคยพบกับหลินเว่ยเมื่อครั้งที่อยู่ที่เมืองหมั่นฉีและอีกคนหนึ่งคือเฟยเอ๋อ