ตอนที่ 103 / ตอนที่ 104

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ตอนที่ 103 

 

 

พวกเขาปลดเกวียนที่อยู่กับวัวที่ตายออก 

 

 

เกาถูฮู่แข็งใจยกมีดฆ่าหมู ตวัดชำแหละเนื้อไปมา เลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนบนใบหน้าและแขนของเขา 

 

 

เกาถูฮู่ฟังคำแนะนำของซ่งฝูเซิง เขาเลือกชำแหละเอาแต่เนื้อดีที่อยู่บนตัวของวัว เขาชำแหละเสร็จแล้วก็นำเนื้อที่โชกเลือดโยนขึ้นไปบนรถ 

 

 

เขาฆ่าวัวของบ้านตนเองเสร็จแล้วก็เดินไปข้างหน้าเพื่อไปฆ่าวัวของบ้านหลี่เจิ้งต่อ 

 

 

ตอนนี้ซ่งหลี่เจิ้งกำลังนั่งอยู่บนพื้น เขาถูกทุกคนห้อมล้อม 

 

 

เดิมทีเกวียนก็ไม่ได้สูงมากเท่าไร ไม่ใช่ตกลงมาจนขยับร่างกายไม่ได้ 

 

 

แต่เพราะชายชรามัวแต่ห่วงจะปกป้องเหลนชายไว้ ทำให้กระดูกก้นกบกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนไม่กล้าเคลื่อนไหว 

 

 

บ้านของเขาถึงแม้จะเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย แต่เด็กเล็กก็มีกันหลายคน สิ่งของก็มีไม่น้อย 

 

 

ในภายภาคหน้า หากไม่มีวัวลากเกวียนแล้ว เขาไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างน้อยก็ต้องมีชายฉกรรจ์สองคนมาปลดออกจากรถ 

 

 

ท่านย่าหม่ามองไปยังด้านหลัง สะใภ้ใหญ่บ้านเกากำลังจัดเก็บสิ่งของ ส่วนบ้านหลี่เจิ้งที่อยู่ด้านหน้าก็กำลังจัดเก็บสิ่งของไว้ตามเดิมและจัดสิ่งของบนรถเข็นให้มีพื้นที่ว่างพอให้ซ่งหลี่เจิ้งสามารถนอนได้ ท่านย่าหม่าถึงกับถอนหายใจ 

 

 

ท่านย่าหม่ามีสีหน้าเคร่งเครียด นางกำลังครุ่นคิดวางแผนในใจ 

 

 

สิ่งของบ้านของนางมีเยอะกว่า ตอนนี้ก็ฆ่าล่อไปแล้วหนึ่งตัว ถ้าล่ออีกสองตัวล้มลง นางก็ต้องกังวลใจว่าใครจะมาลากรถแทนล่อ โดยเฉพาะตู้รถที่เหลือ ที่ล่อสองตัวนั้นกำลังลากอยู่ 

 

 

ช่างเถอะ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยแยกส่วนรถลากออกมา 

 

 

เมื่อตอนกลางวันที่ฆ่าล่อตัวนั้นไปแล้ว ตอนนี้มีหูจือกับซื่อจ้วงคอยรุนรถแทนล่อตัวนั้น 

 

 

เถียนสี่ฟารุนรถของบ้านเถียน ก่อนหน้านี้ซื่อจ้วงรุนรถบ้านเถียน เถียนสี่ฟายังสามารถออกไปค้นหาน้ำได้ ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แรงงานคนไม่พอใช้ 

 

 

ถ้าล่อสองตัวนั้นล้มลง ตอนนั้นคงต้องให้ลูกสามของนางช่วย? 

 

 

เฮ้อ ลูกสามของนางก็ใช้ไม่ได้ แค่แบกเด็กยังเหนื่อยหอบเลย หากให้เดินไปด้วยรุนรถไปด้วย นั่นคงจะยิ่งแย่ไปใหญ่ 

 

 

หนิวจั่งกุ้ยก็อายุมากแล้ว ถ้าให้หนิวจั่งกุ้ยกับลูกสามช่วยกันรุนรถคันหนึ่ง แล้วอีกคันที่เหลืออยู่ล่ะ ท่านย่าหม่าหันไปมองต้าหลัง อืม ให้ลูกชายคนโตกับเอ้อร์หลังรุนรถคันเดิม ส่วนต้าหลังออกมาช่วยรุนรถกับ… 

 

 

ซ่งฝูหลิงเห็นท่านย่ากำลังจ้องมองมาที่นาง “มีอะไรหรือ?” 

 

 

ท่านย่าหม่าส่ายหัว เจ้าคนนี้ก็เหมือนพ่อของนาง ได้แค่มองแต่ใช้การไม่ได้ เดินยังเดินไม่ไหว ต้องมานั่งบนรถอยู่บ่อยครั้ง คาดหวังอะไรไม่ได้ 

 

 

นางหันกลับไปมองซ่งอิ๋นเฟิ่ง ลูกสะใภ้ทั้งสามคน และหลานสาวสามคนที่แบกตะกร้าอยู่ รวมทั้งท่านยายเถียน นางก็จ้องมองอยู่หลายครั้ง 

 

 

ถ้าไม่ได้ก็ให้ผู้หญิงพวกนี้ช่วยกันรุนรถแล้วกัน เฮ้อ จะให้ทำอย่างไรได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห 

 

 

ตอนนี้ท่านย่าหม่ามีประสบการณ์แล้ว เมื่อยามที่นางสิ้นหวังมากๆ นางจะหันไปมองบ้านพี่สะใภ้ 

 

 

อืม มองแล้ว แม้แต่วัวตัวสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว พี่ใหญ่ขาไม่ดียังต้องมารุนรถ สถานการณ์บ้านของพี่สะใภ้แย่มาก ทำให้ท่านย่าหม่ามีความมั่นใจมากขึ้น 

 

 

นอกจากท่านย่าหม่าจะกังวลใจแล้ว บ้านอื่นที่มีแรงงานสัตว์ก็เกิดความกังวลใจเช่นกัน 

 

 

ถึงขนาดที่คนในบ้านมีความเชื่ออะไร ก็อยากจะคุกเข่ากราบไหว้ขอพรให้คุ้มครองสุดท้ายก็พึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอพรให้วัวยังสามารถมีเรี่ยวแรงเดินต่อไปได้ตลอด โดยที่ไม่ต้องกินหญ้ากินน้ำอีก 

 

 

ขบวนเริ่มเคลื่อนที่ออกเดินทางอีกครั้ง ด้านหลังของขบวนทิ้งไว้เพียงซากสัตว์สองตัวที่ถูกชำแหละเนื้อออกไปแล้ว 

 

 

“ฝูเซิง ท้องฟ้ามืดแล้ว จะหยุดพักผ่อนหรือไม่” ซ่งหลี่เจิ้งที่อยู่บนรถเข็นเอ่ยถาม 

 

 

“ไม่ได้ ไม่สามารถหยุดพักได้ ก่อนที่ข้าจะมาถึงที่นี่ ข้ามองเห็นด้านหน้า ดูเหมือนมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่” ซ่งฝูเซิงชี้ให้ดูกล้องส่องทางไกล 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งได้ยินก็รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น 

 

 

เป็นที่รู้ดีว่าพวกเขาเดินทางมาหลายร้อยลี้แล้วก็ยังไม่เคยเห็นบ้านคนสักหลัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านเลย 

 

 

มองจากกล้องส่องทางไกล สามารถมองเห็นสถานที่กว้างใหญ่ที่ไกลออกไป ขบวนผู้คนเดินทางตั้งแต่ช่วงเย็นสิบเก้านาฬิกาจนถึงยี่สิบสามนาฬิกายามค่ำคืน มีเสียงยุงดังระงมอยู่ข้างหู 

 

 

ในที่สุดก็เห็นบ้านหลายหลังคาเรือนดังที่คาดหวัง แต่ปรากฏว่า 

 

 

ซ่งฝูเซิงผู้ที่ไม่มีการศึกษาถึงกับหลุดพูดออกมา “แม่เจ้าโว้ย นี่มันหมู่บ้านอะไรกัน โอ้ย แย่แล้ว!” 

 

 

ซ่งฝูหลิงผู้มีการศึกษาอย่างดี พูดพึมพำในใจกับตนเองด้วยความหวาดกลัว 

 

 

“บ้านเรือนร้างหลายห้อง หมู่บ้านไร้หมาเห่าหอน… 

 

 

…นำไฟส่องเห็นชัดเจน ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิต… 

 

 

…ไม่ระวังอาจเหยียบโดนโครงกระดูกได้… 

 

 

…หลังจากเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่พบผู้คนที่มีชีวิตดำรงอยู่แม้แต่คนเดียว” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 104 

 

 

หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ แต่กลับไม่พบผู้คนทำไร่ไถนากันแม้แต่คนเดียว 

 

 

ทำไร่ไถนา ทุกคนต่างก็เป็นเกษตรกรเพาะปลูกกัน 

 

 

แต่ตั้งแต่เข้ามาภายในหมู่บ้านก็ไม่พบเห็นใครทำงานเลยสักคน 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งนั่งอยู่บนรถ เขาใช้ช้อนเคาะก้นหม้อ “มีคนอยู่ไหม? มีใครอยู่บ้าง?” 

 

 

ไม่มีแม้แต่เสียงคนตอบกลับมา 

 

 

ซ่งฝูเซิงอาศัยแสงจากไฟส่องมอง เขาหันกลับมาก็เห็นมือหนึ่งของลูกสาวกำลังกอดแขนแม่ของนางเอาไว้แน่น ส่วนอีกมือก็จับมือท่านย่าของนาง ส่วนด้านล่างก็มีหัวเล็กๆ ของหมี่โซ่วซบกับขาของนางอยู่ อีกทั้งดูเหมือนว่าลูกสาวจะเรียกซื่อจ้วง ให้ซื่อจ้วงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกนาง 

 

 

เมื่อเขาละสายตามองไปยังด้านหลัง ส่วนใหญ่ทั้งผู้หญิงและเด็กต่างรวมตัวกันจับกลุ่มเป็นกลุ่มก้อนด้วยความหวาดกลัว 

 

 

พูดเรื่องจริง ยามค่ำคืนยี่สิบสามนาฬิกาใกล้ช่วงเวลายี่สิบสี่นาฬิกา เดินเข้าไปภายในหมู่บ้านที่ไร้เสียงผู้คน เขาก็รู้สึกขนลุกจนไม่กล้าเดินเข้าไปสำรวจข้างในแล้ว 

 

 

ซ่งฝูเซิงเรียกเถียนสี่ฟา “พี่เขย คนของพวกเรามีเยอะ ขบวนผู้คนจะหยุดตรงนี้รอพวกท่านแล้วกัน ท่านพาคนสามสี่คนไปค้นหาบ่อน้ำในหมู่บ้าน เมื่อพบบ่อน้ำแล้วให้รีบมาบอกพวกเรา ข้าให้ไฟแช็กนี้กับท่านไว้ เมื่อไฟดับท่านก็รีบหยิบของสิ่งนี้มาจุดไฟ” 

 

 

“ตกลง” 

 

 

“เกาเถี่ยโถว” 

 

 

“ข้าอยู่นี่ อาสาม” 

 

 

“พวกเจ้าชายหนุ่มหลายคนเดินเหินว่องไวหน่อย เลือกคนที่มีหน้าตา เปิดประตูเข้าไปดูว่ามีคนอยู่หรือไม่อย่างไรและหยิบอาวุธของที่บ้านนั้นติดมือไปด้วย” 

 

 

ซ่งฝูเซิงจัดการเสร็จก็พูดเน้นย้ำกับพวกเขาหลายคน “ต้องปิดจมูกให้แน่น จำเป็นต้องนำไฟส่องทางก่อนเดิน หากมองเห็นไม่ชัดเจนก็ห้ามทำอะไรโดยพลการ พบเหตุการณ์อะไรผิดปกติก็ให้รีบกลับมา” 

 

 

พวกเขาต่างพากันตะโกนตอบรับ “เข้าใจแล้ว!” 

 

 

กลุ่มเล็กๆ ของเกาเถี่ยโถวที่มีหน้าที่ค้นหาผู้มีชีวิต มีปฏิกิริยาตอบกลับมาก่อนอย่างรวดเร็ว 

 

 

“อ๊าห์!” 

 

 

เกาเถี่ยโถวรีบกระโดดออกมาทันที 

 

 

ถึงแม้ว่าเถี่ยโถวของเขาจะไม่ใช่ลูกชายคนโตหรือลูกคนสุดท้อง แต่เป็นคนที่เกาถูฮู่ให้ความคาดหวังมากที่สุด เพราะลูกคนที่สองนี้เป็นคนที่กล้าหาญและละเอียดรอบคอบมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง เหมือนเขามากตอนที่ยังเป็นหนุ่ม 

 

 

ตอนนี้แม้แต่เถี่ยโถวที่ใจกล้ามากที่สุดก็ยังตกใจจนถึงกับตะโกนร้องออกมา นี่เขาคงไปเห็นอะไรเข้าให้แล้ว 

 

 

สักพักพวกเกาเถี่ยโถวก็วิ่งกลับมา แต่ละคนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป “อาสาม นอกจากในห้องไม่มีคนแล้ว ยังมีศพคนแขวนคอ บนเตียงก็มีคนตาย ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่ซากศพ ข้ายังเห็นหนูตัวใหญ่กำลังกัดกินลูกนัยน์ตาของพวกเขาด้วย” 

 

 

เกาเถี่ยโถวมีคำพูดหนึ่งที่ไม่ได้บอก พวกหนูเหล่านั้นเห็นพวกเขาแล้ว หนูยามเห็นคนกลับไม่ตกใจวิ่งหนี แต่กลับจ้องมองพวกเขา ทำให้พวกเขากลัวจนต้องวิ่งออกมา ตกใจไม่น้อยเลย 

 

 

บ้านเรือนรกร้างหลายหลังคาเรือน ผู้คนส่วนใหญ่คงหนีไปแล้ว เหลือเพียงคนพวกนั้นที่กลายสภาพเป็นซากศพ 

 

 

“น้องสาม!” พวกเถียนสี่ฟาก็พากันกลับมาแล้ว “บ่อน้ำเหือดแห้งและบริเวณข้างบ่อมีกระดูกขาวกองอยู่มากมาย ข้าเดาว่าก้นบ่อก็คงมีเศษกระดูกเช่นกัน ข้าวิ่งจากจุดที่พวกเราอยู่ตรงนี้ไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ก็พบศพสภาพเพิ่งตายไม่นานมากนักเช่นกัน สภาพแต่ละศพท้องป่อง คาดว่าคงกินดินยังชีพ” 

 

 

ซ่งฝูเซิงกล้ำกลืนน้ำลายอย่างลำบาก “พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว ไปเถอะ” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งรีบร้อนป่าวประกาศ เขารีบเคาะหม้อพร้อมกับตะโกน “เร็วเข้า อย่าชักช้า รีบตามกันมา รีบหน่อย ที่นี่ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้!” 

 

 

เสียงไม้ของรถเข็นดังขึ้นอีกครั้ง พวกผู้ชายต่างออกแรงผลักอย่างเต็มที่เพื่อให้ล้อเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วขึ้น ส่วนพวกผู้หญิงก็ทั้งแบกทั้งอุ้มลูก พยุงคนชรา แต่ละคนต่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็ว พวกนางคอยเดินตามอยู่ข้างกายพวกผู้ชายด้วยเกรงว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง 

 

 

ในเวลานี้ก็มีสายลมอันเย็นยะเยือกพัดผ่านมาทางพวกเขาทุกคน 

 

 

ทุกคนที่ต่างร้อนอบอ้าวมาทั้งสองวัน ในทุกวัน ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่แทบจะแผดเผาพวกเขาจนมอดไหม้ ไม่เคยได้สัมผัสลมเย็นๆ เช่นนี้มานานแล้ว  

 

 

แต่พูดตามความจริง เพราะไม่ได้เจอมานาน จึงทนรับความเย็นนี้ไม่ได้ ยอมที่จะโดนแดดแผดเผาเสียมากกว่า 

 

 

อย่างเช่นตอนนี้ที่ซ่งฝูเซิงรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นลมปีศาจ เป็นอะไรที่ผิดปกติมาก ทุกคนต่างไม่พูดไม่จา ลมพัดเสมือนกับผีร้องไห้อย่างนั้น 

 

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก 

 

 

“พี่กัวคนโต!” 

 

 

“ข้าอยู่นี่ ฝูเซิง!” 

 

 

“ท่านช่วยเป่าแตรอันที่ข้าให้ไว้กับท่านที ถ้ายังไม่ออกจากหมู่บ้านห้ามหยุดเป่าเป็นอันขาด!”