เรื่องที่น่าหลานหลาน สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลน่าหลานถูกวิทยาลัยไล่ออกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่ง หินก้อนเดียวก่อให้เกิดคลื่นน้ำนับพัน ทุกตรอกซอกซอยต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
ณ ตระกูลน่าหลาน
ในห้องโถงใหญ่ ประมุขตระกูลน่าหลานนั่งอยู่บนที่นั่ง ผู้อาวุโสสองคนนั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนคนอื่นๆ แยกกันนั่งอยู่ทั้งสองฟาก
ที่กลางห้อง น่าหลานหลานผู้สวมชุดสีฟ้าตลอดร่างคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางก้มศีรษะลง เรือนผมยาวสยายลงมาปกคลุมแก้มของนางเอาไว้
น่าหลานฉีคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองดูคนที่เดือดดาลแทบตายในห้องแล้วเอ่ยปากว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้จะตำหนิท่านพี่มิได้นะ เป็นเพราะซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นแท้ๆ หากมิใช่เพราะเขา ท่านพี่คงไม่ถูกวิทยาลัยไล่ออกหรอก!”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ!” น่าหลานเหอกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง พลางมองน่าหลานหลานและน่าหลานฉีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยอย่างดุดัน “ก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าทำเรื่องพรรค์นั้นภายในวิทยาลัยไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังทำลงไปอีก ตอนนี้ถูกไล่ออกแล้ว ที่ขายหน้าคือตระกูลน่าหลานของข้าต่างหากเล่า!”
น่าหลานหลานก้มหน้า ไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว
“ท่านประมุข หลานเอ๋อร์ก็คงไม่คิดหรอกว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ เดิมทีคิดว่าส่งคนไร้ค่าผู้นั้นไปตาย เขาก็คงตายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้” ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้างๆ พูด “หลานเอ๋อร์แค่อยากจะโจมตีตาแก่ซือหม่าเลี่ยผู้นั้นดูบ้าง ท่านดูตอนที่เจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นหายตัวไปสิ พวกเราก็ยังอาศัยโอกาสนั้นโจมตีตระกูลซือหม่าเลย”
“ถูกต้อง ท่านประมุข หลานเอ๋อร์มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ไม่มีวิทยาลัยแล้วพวกเราตระกูลน่าหลานจะบ่มเพาะชนรุ่นหลังมิได้เชียวหรือ” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งช่วยน่าหลานหลานพูดเช่นกัน
“แต่การถูกวิทยาลัยไล่ออกนี้ทำให้วงศ์ตระกูลต้องอับอายขนาดไหน! เรื่องนี้จะปล่อยไปโดยไม่ลงโทษมิได้ ดังนั้นเจ้าจงไปรับโทษ หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดที่โถงบรรพบุรุษเป็นเวลาสามเดือน ไปเข้าฌานพินิจตนให้ดีๆ เสีย!” น่าหลานเหอได้ฟังผู้อาวุโสทั้งสองพากันแก้ต่างแทนบุตรสาวของตนแล้วค่อยคลายใจไปไม่น้อย จึงได้มอบบทลงโทษที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับน่าหลานหลาน
น่าหลานหลานโขกศีรษะคำนับคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากไป ตั้งแต่กลับมาจนจากไป นางก็ยังมิได้พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว ผู้อื่นล้วนคิดว่านางถูกกำราบเพราะเรื่องนี้ ทว่านัยน์ตาที่หลุบลงของนางนั้นกลับสาดประกายชิงชังและแวววอาฆาตอย่างแรงกล้าพลางพึมพำว่ารอให้ตนออกมาจากโถงบรรพบุรุษแล้วจะต้องไปเอาชีวิตเจ้าคนไร้ค่าชาติสุนัขผู้นั้นมาอย่างแน่นอน!
รอจนน่าหลานหลานจากไปแล้วผู้อาวุโสใหญ่ก็โบกมือให้คนรุ่นหลังแยกย้ายกันกลับไป เพราะเรื่องที่จะพูดกันต่อจากนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขามีส่วนร่วมแล้ว
“ท่านประมุข คราวนี้ถือว่าตระกูลซือหม่าฉีกหน้าพวกเราตรงๆ เลยนะ!” ผู้อาวุโสรองพูด
“คราวนี้พวกมันตระกูลซือหม่าทำให้พวกเราต้องอัปยศขายหน้ากันถึงเพียงนี้ พวกเราจะต้องแก้แค้นพวกมันให้สาสม!” น่าหลานเหอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เมื่อวานตอนข้าไปพบท่านบรรพชน ท่านก็พูดอยู่พอดีว่าให้พวกเรากำจัดตระกูลซือหม่าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มทอดแหกันเลยดีกว่า”
เมื่อได้ยินว่านี่เป็นความต้องการของท่านบรรพชน ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองจึงพากันพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลซือหม่าคอยกดดันพวกเขาตระกูลน่าหลานอยู่ตลอด คราวนี้พวกเขาจะต้องล้มตระกูลซือหม่าลงให้จงได้
หลังจากนั้นการต่อสู้ของสองตระกูลย้ายจากในมุมมืดขึ้นสู่สังเวียน ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใด ทั้งสองตระกูลก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่วิทยาลัยก็พอรู้เรื่องการต่อสู้กันทั้งแบบซึ่งหน้าและลับหลังของทั้งสองตระกูลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ซือหม่าเลี่ยกำชับให้เธออยู่แต่ในวิทยาลัย ห้ามกลับบ้าน เธอจึงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่พยายามยกระดับตนเองอยู่ภายในวิทยาลัยเท่านั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกฝนการหลอมยาวิเศษอยู่ภายในมณีวิญญาณตลอดหนึ่งเดือนต่อมา
ก่อนหน้านี้เธอได้ฝึกการกลั่นไปไม่น้อยแล้ว หลังจากฝึกฝนอยู่อีกหลายวัน เธอก็เพ่งสายตาอยู่กับการผสานรวมขั้นที่สองอีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์เลือกยาวิเศษที่ง่ายดายที่สุดอย่างยาผนึกโลหิตมาใช้ฝึกฝนการผสานรวมครั้งนี้
ยาผนึกโลหิตชนิดนี้จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบเพียงแค่สี่ชนิดเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยาฤทธิ์อ่อนอีกด้วย โอกาสเกิดการระเบิดจึงค่อนข้างน้อย โอกาสสำเร็จเป็นยาวิเศษค่อนข้างสูง เป็นยาวิเศษสำหรับนักหลอมยาขั้นเริ่มต้น
หลังจากให้เจ้าวิญญาณน้อยตระเตรียมเครื่องยาเสร็จเรียบร้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทบทวนให้แน่ใจว่าตนจดจำขั้นตอนการหลอมยาได้แน่นอน แล้วเธอจึงค่อยเริ่มต้นการกลั่นเครื่องยา
เธอค่อนข้างคุ้นเคยกับขั้นตอนการกลั่นสารสำคัญของเครื่องยาแล้วจึงทำการกลั่นเครื่องยาทั้งสี่ชนิดเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เธอวางเครื่องยาที่ทำการกลั่นสกัดเสร็จแล้วเอาไว้แยกชนิดกัน
หลังจากนั้นจึงนำสองชนิดในนั้นใส่เข้าไปในเตาหลอมยาก่อน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยใส่อีกชนิดตามเข้าไป
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในคราวก่อน ตอนซือหม่าโยวเย่ว์ใส่เครื่องยาเข้าไปจึงยังมีความหวาดหวั่นวนเวียนในใจอยู่บ้าง เกิดความกลัวว่าพอใส่เครื่องยาเข้าไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์เช่นคราวก่อนขึ้นมาอีก
แต่คราวนี้เครื่องยาก็ยังไว้หน้าเธออยู่บ้าง มิได้เกิดการระเบิดขึ้นแต่อย่างใด ทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธอควบคุมขนาดของเปลวเพลิงโดยอ้างอิงจากที่เขียนไว้ในหนังสือ ขณะนี้เธอค้นพบแล้วว่าหากไม่มีเปลวเพลิงของตน การหลอมยาก็เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ผ่านไปอีกหลายนาที ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยใส่สารสำคัญของเครื่องยาอย่างสุดท้ายลงไป ยังดีที่คราวนี้มิได้เกิดการระเบิดขึ้นเช่นเดียวกัน
แต่ในขณะที่เธอคิดว่าสำเร็จแล้วนั้นเองก็มีเสียงขลุกขลักดังขึ้นมาภายในเตาหลอมยา หลังจากนั้นก็มีเสียงซ่าดังขึ้น กลิ่นอับๆ สายหนึ่งแผ่กำจายออกมาจากรูขนาดเล็กบนฝาเตาหลอมยา เป็นการประกาศว่าการผสานรวมในครั้งนี้ล้มเหลว
ซือหม่าโยวเย่ว์ดับไฟก่อนจะเปิดฝาเตาหลอมยาออก แน่นอนว่าได้เห็นกองขี้โคลนเหนียวหนืดสีดำเมี่ยมกองหนึ่ง เธอจึงอดถอนหายใจมิได้
“เย่ว์เย่ว์ อย่าเพิ่งสิ้นหวังนะ นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกของเจ้า จะล้มเหลวก็เป็นเรื่องปกติ รอให้เจ้าคุ้นเคยแล้วเดี๋ยวก็ออกมาดีเองแหละ” เจ้าคำรามน้อยปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเธอพลางส่งเสียงปลอบประโลม
“ข้ามิได้หมดหวังหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางส่ายหน้า “ข้าแค่กำลังคิดว่าการหลอมยานี้มิใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เลยจริงๆ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” เจ้าวิญญาณน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเช่นกันก่อนจะพูดว่า “เจ้านายคนก่อนๆ โน้นเคยบอกว่าการหลอมยานี้พอดูขั้นตอนแล้วเหมือนจะมิได้ยากเย็นอะไรนัก แต่กลับกีดกันปรมาจารย์วิญญาณนับพันนับหมื่นเอาไว้ได้ ดูท่าว่าคำพูดนี้จะมีเหตุผล ตอนหลอมยานั้นการให้ความร้อนทุกนาที การควบคุมทุกขั้นตอนจำเป็นจะต้องแม่นยำ และข้อกำหนดทางด้านพลังจิตนี้ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในล้านเลยทีเดียว”
“ดูเหมือนว่าจำเป็นจะต้องให้อาจารย์สักท่านหนึ่งมาชี้แนะจึงจะใช้ได้สินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนพลางเริ่มคิดว่าจะเลือกใครมาเป็นอาจารย์ของตนดี แต่เธอกลั่นกรองบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นอยู่ในหัวรอบหนึ่งแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าใครจะเหมาะสม
“มีแต่พวกอัปลักษณ์ทั้งนั้นเลย อยู่กับพวกเขาไปก็เรียนอะไรไม่ลงหรอก” เมื่อนึกถึงว่าบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกเย่อหยิ่งคับฟ้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว
ถ้าหากบรรดานักหลอมยาเหล่านั้นรู้ว่าตัวเองถูกคนเห็นเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระทืบเท้าเร่าๆ หรือไม่!
“ช่างเถิด ลองหลอมเองดูก่อนแล้วกัน ถ้าถึงตอนนั้นได้พบนักหลอมยาดีๆ แล้วค่อยคิดเรื่องกราบอาจารย์ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วพลันหยิบเครื่องยาอีกส่วนหนึ่งขึ้นมาเริ่มต้นฝึกฝนการหลอมยาอีกครั้ง
สามวันต่อมา ในที่สุดเธอก็ทำการผสานรวมตัวยาเหลวเตาแรกออกมาได้สำเร็จ
“ตอนนี้เหลือขั้นตอนสุดท้าย ผนึกยา!” ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากนั้นก็วางมือลงตรงหน้าเตาหลอมยาพลางรวบรวมปราณวิญญาณออกมา แล้วค่อยๆ ส่งถ่ายเข้าไปภายในเตาหลอมยา
“ปัง…”
เมื่อพลังวิญญาณสัมผัสกับตัวยาเหลวเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นมา เตาหลอมยาถูกระเบิดจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ถูกแรงระเบิดจนกระเด็นไปเช่นเดียวกัน
“บ้าเอ๊ย! ระเบิดอีกแล้ว!”
ก่อนจะสิ้นสติไป ในภวังค์ของเธอก็เห็นเงาร่างไอหมอกสีแดงเพลิงสายหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกาย รวมถึงนัยน์ตาอันซับซ้อนคู่หนึ่งที่มองตรงมาที่ตนอีกด้วย
……………………