ตอนที่ 66-1 ความทะเยอทะยานและอำนาจ

ชายาเคียงหทัย

“พระสนมเพคะ” ภายในตำหนักที่ข้าวของกระจัดกระจายอยู่ในความเงียบสงบ ผ่านไปครู่ใหญ่นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่กับพื้นจึงได้เอ่ยเรียกหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

 

สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยได้กลับมาราบเรียบดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ประหนึ่งไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถิด วันนี้เกิดอันใดขึ้นที่ตำหนักหลีอ๋องหรือ” ม่อจิ่งฉีไม่มีทางที่จะคุ้มคลั่งอย่างไม่มีสาเหตุ ในวันนี้นอกจากเป็นวันที่หลีอ๋องรับตัวชายาร่วมเข้าจวนแล้วไม่มีเรื่องใหญ่เรื่องอื่นอีก ถึงแม้ช่วงนี้ติ้งอ๋องมีที่ท่าว่าจะกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้งหลังจากแต่งงาน ทำให้เขาร้อนใจจนเกือบทนไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้อยู่ดีๆ เขาลุกขึ้นมาระเบิดอารมณ์เช่นนี้ ดังนั้นวันนี้จะต้องเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

เด็กสาวนางกำนัลเอ่ยขอบพระทัยก่อนลุกขึ้น แล้วเดินไปข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟย “ก่อนหน้านี้ไทเฮารีบร้อนไปยังตำหนักหลีอ๋อง จากนั้นฝ่าบาทก็มีรับสั่งเรียกให้หลีอ๋อง ชายาหลีอ๋อง รวมถึงเสียนเจาไท่เฟยเข้าวัง จนเมื่อหลีอ๋องกลับไปแล้วฝ่าบาทก็มาหาพระสนมที่นี่ทันทีเพคะ บ่าวจึงยังไม่ทันได้รายงานเรื่องเหล่านี้” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “เรียกหลีอ๋องให้เข้าวังหรือ แล้วงานแต่งงานของหลีอ๋องเล่า” นางกำนัลตอบว่า “บ่าวกำลังจะรายงานพระสนมเรื่องนี้ งานแต่งงานยกเลิกเสียแล้วเพคะ ได้ยินว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงพาตัวองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกไปจากงานด้วยความโกรธจัด ดูเหมือนว่าในตำหนักหลีอ๋อง…จะเกิดเรื่องขึ้นในที่พักของสตรีเพคะ…”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วพร้อมโบกมือไปมา “ส่งจดหมายกลับไปที่บ้านข้า เชิญท่านแม่ให้รีบเข้าวังมาโดยเร็ว” ถึงแม้นางจะเป็นที่โปรดปราน แต่ด้วยเพราะตัวอยู่ในวังจึงทำให้ทราบข่าวภายนอกช้ากว่าคนอื่นเสมอ

 

 

“บ่าวรับคำสั่งเพคะ พระสนม…ทางฝั่งฝ่าบาท…”

 

 

ริมฝีปากรูปกระจับขอบหลิ่วกุ้ยเฟยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีอันใดหรอก คงถูกไทเฮาทำอันใดให้โกรธเข้ากระมัง อีกเดี๋ยวค่อยคิดหาวิธีให้ฝ่าบาทระบายความกริ้วออกมาก็ได้” นางกำลังแย้มยิ้มขึ้น “พระสนมรู้พระทัยฝ่าบาทเป็นที่สุดเลยเพคะ เพียงแต่…นายท่านให้คนมาส่งข่าวว่า ให้พระสนม…ระวังองค์ไทเฮาไว้ด้วยนะเพคะ ถึงอย่างไร…” ถึงอย่างไรไทเฮาก็เป็นสตรีที่จัดการบรรดาพระสนมผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงของอดีตฮ่องเต้เสียจนสิ้น นางไม่เพียงมีพระโอรสถึงสององค์ แต่ยังจัดการสตรีเหล่านั้นรวมถึงพระโอรสทั้งหลายจนสิ้นซาก สุดท้ายจึงได้ยกลูกชายของตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นไทเฮาย่อมไม่ใช่สตรีที่สามารถรับมือได้โดยง่ายเป็นแน่ หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้ ไทเฮาทรงเก่งกาจจริงๆ นั่นล่ะ เพียงแต่…ข้าก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ” ไทเฮาเป็นคนที่ฉลาดและเก่งกาจก็จริง แต่สิ่งที่พระนางทำพลาดที่สุดก็คือ พระนางไม่เคยเข้าใจเลยว่าบุตรชายของตนกำลังคิดอันใดอยู่

 

 

พระนางคิดจริงๆ หรือว่าม่อจิ่งฉีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถทานทนความต้องการที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือของพระนางได้ ขอเพียงเป็นบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน เป็นใครก็ย่อมไม่อาจทานทนได้ เพียงแต่บางคนนั้นไม่ยอมทน และบางคนที่ไม่ทนไม่ได้เท่านั้น

 

 

 

 

ตำหนักติ้งอ๋อง

 

 

ณ ลานฝึกในมุมที่อยู่ลึกและลับตาคนที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีกำลังจ้องมองชิงหลวนกับอาจิ่นใช้วิชาตัวเบากระโดดบินไปบินมาต่อหน้าตนเองด้วยสีหน้าบึ้งตึงที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ชิงซวงที่ใช้วิชาตัวเบาไม่เก่งเช่นเดียวกันถึงกับยืนลอบหัวเราะอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง แม้แต่ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังอดมุมปากกระตุกจึ้นน้อยๆ ไม่ได้ เยี่ยหลีไม่เข้าใจเอาเสียเลย ด้วยร่างกายของนางที่มีความสัมพันธ์และการปรับสมดุลของร่างกายได้ดี ทั้งยังมีร่างกายที่เหมาะแก่การฝึกวิชาการต่อสู้อย่างที่ม่อซิวเหยาเคยพูด เหตุใดนางจึงเรียนวิชาตัวเบาไม่สำเร็จเสียที แม้แต่เสาดอกเหมย[1] หรือเสาอันใดนั่นนางก็ฝึกได้จนคล่องแคล่วแล้ว ประหนึ่งยืนอยู่บนพื้นราบ แม้แต่วิชากำลังภายในที่คนยุคปัจจุบันเห็นว่าเร้นลับเสียยิ่งกว่าเร้นลับนางยังฝึกจนสำเร็จแล้ว เหตุใดนางจึงยังบินไม่ขึ้นเสียที ยังโชคดีที่ม่อซิวเหยาตั้งใจไปหาชุดวิชาฝึกวิชาตัวเบาที่เหมาะกับสตรีมาให้ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหน ตอนนี้แม้แต่ชิงซวงยังเรียนจนดูทะมัดทะแมงแล้วเลย แต่นางกลับ…ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นเลย

 

 

อันที่จริง หากในสนามรบจริงๆ แล้ว เยี่ยหลีรู้สึกว่าจะใช้วิชาตัวเบาเป็นหรือไม่นั้นไม่ได้ต่างกันมากนักเพราะถึงอย่างไรกำแพงที่สูงหนึ่งจั้ง ต่อให้นางไม่มีวิชาตัวเบาก็สามารถปีนขึ้นลงได้อย่างสบายๆ เพราะถึงอย่างไรการอำพรางตัว นางก็ไม่เห็นว่าคนที่มีวิชาตัวเบาขั้นสูงจะทำได้ดีกว่านาง และหากเป็นการต่อสู้ระยะใกล้ วิชาตัวเบายิ่งไม่มีประโยชน์เข้าไปใหญ่ เพียงแต่…การมีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดไปไหนมาไหนได้เป็นความฝันของคนจีนที่มีความฝันอยากมีวิชากำลังภายในมิใช่หรือ ในเมื่อมันมีอยู่จริง และด้วยหลักการที่ว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามแล้ว เหตุใดนางจึงจะไม่ศึกษาไว้เล่า

 

 

“อาหลี เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่หรือ” เยี่ยหลีมีท่าทีร้อนใจอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ม่อซิวเหยามีมารยาทจึงไม่ได้หัวเราะเยาะนาง แต่แค่มองประกายในดวงตาเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ไม่อยากขำ เพียงแต่กลั้นไว้ไม่ขำออกมาเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองทั้งสามคนที่วิ่งวุ่นไปทั่วสนามฝึกอย่างโกรธๆ “ดูท่าข้าจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาตัวเบา”

 

 

“การฝึกวิชาตัวเบาไม่ได้จำเป็นต้องมีพรสวรรค์สักเท่าไร” วิชาตัวเบาขั้นสูงเท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สามารถศึกษาจากคัมภีร์ลับวิชาตัวเบาได้ อย่างเช่นคุณชายเฟิงเย่ว์ หานหมิงซี ที่มีฝีมือการต่อสู้ธรรมดาๆ กำลังภายในครึ่งๆ กลางๆ หากเขาไม่ได้มีวิชากำลังภายในที่ล้ำเลิศกว่ายอดฝีมือมากแล้ว เขาคงได้ตายไปไม่รู้กี่รอบแล้วเป็นแน่

 

 

นี่ไม่ถูกตามหลักวิทยาศาสตร์เสียเลย เยี่ยหลีรู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับนางเต้นตุบๆ เรื่องนี้เกินกว่าขีดความสามารถของร่างกายมนุษย์มาก เหตุใดจึงไม่ต้องใช้พรสวรรค์ และไม่ต้องมีกำลังภายในชั้นยอดกัน ที่สำคัญที่สุดคือ…คนเราไม่สามารถบินได้

 

 

“ตอนเจ้าใช้วิชาตัวเบาในหัวเจ้าคิดอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างใช้ความอดทน

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ก็บอกเล่าความคิดในหัวนางให้ม่อซิวเหยาฟังอย่างละเอียด ม่อซิวเหยาฟังจบก็ดูทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ “อาหลี หากเจ้าคิดเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าไม่มีทางฝึกวิชาตัวเบาสำเร็จ ระหว่างที่เจ้าใช้วิชาตัวเบา เจ้าก็เอาแต่บอกตัวเองว่าคนไม่สามารถบินได้เช่นนี้หรือ” เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเหมือนการสะกดจิตตัวเอง คนธรรมดาทั่วไปในยุคนี้ย่อมไม่มีความกังวลในเรื่องนี้ แต่เยี่ยหลีไม่มีเหมือนกับคนอื่น ถึงแม้นางจะเคยเป็นทหารชั้นดี ถึงแม้ผู้คนสามารถนั่งเครื่องบินไปบินอยู่บนฟ้าได้ หรือแม้แต่การขึ้นไปยังชั้นอวกาศ แต่อย่างน้อยคนในยุคนั้นก็มีความคิดฝังหัวที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้ นั่นก็คือมนุษย์เราไม่สามารถบินขึ้นไปด้วยร่างกายตนเองได้ ดังนั้นจิตใต้สำนึกของเยี่ยหลีจึงมักมองหาของอันใดมาเหยียบให้เป็นแรงส่ง เมื่อหาของสิ่งนั้นไม่พบและร่างกายก็ลอยห่างจากพื้นดินจนจิตสำนึกของนางบอกว่าถึงขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์แล้ว จิตใต้สำนึกก็จะสั่งให้ร่างกายเข้าสู่การปกป้องคนเองจากนั้นร่างกายก็จะตกลง

 

 

“อาหลี วิชาตัวเบาไม่ใช่วิชาที่สามารถทำให้ลอยขึ้นไปเฉยๆ ได้ มันต้องอาศัยแรงส่งเช่นเดียวกัน แต่หากเทียบกับคนที่ไม่มีวิชาตัวเบาแล้ว แรงส่งที่ต้องใช้นั้น น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากเป็นเพียงกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง หรือของเล็กๆ อย่างอื่น ขอเพียงเจ้าสามารถควบคุมมันได้ดีพอ”

 

 

เยี่ยหลีมองหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ม่อซิวเหยาจึงได้แต่ยิ้มออกมา เขายกมือขวาตบเข้าที่ที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็น แล้วจู่ๆ ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปยังสนามฝึกที่อยู่ไม่ไกลออกไป หลังจากตกตะลึงอยู่เพียงครู่ นางก็จับจ้องไปยังร่างของเขาอย่างไม่วางตา เห็นเพียงเขาใช้มือแตะเข้าที่เสาไม้เสาหนึ่งในลานฝึก จากนั้นก็หมุนตัวออกไปอีกที่หนึ่ง แล้วก็เป็นกิ่งไม้ข้างสนามฝึก ตาข่ายที่เยี่ยหลีขึงไว้ แล้วสุดท้ายก็กลับลงนั่งบนเก้าอี้รถเข็นอีกครั้ง “เห็นชัดหรือยัง” ม่อซิวเหยาถามยิ้มๆ ก่อนยืนดอกไม้สีเหลืองไข่นกพิราบที่เด็ดมาจากกิ่งไม้ส่งให้นาง

 

 

“นี่มันไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย!” เยี่ยหลีกัดฟันพูด พร้อมกับจ้องมองม่อซิวเหยาด้วยสายตาดุดัน นี่เป็นคนที่เดินไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ ใช่หรือใช่หรือ อันที่จริงแล้วนางเป็นคนที่เดินไม่ได้เสียมากกว่ากระมัง

 

 

“หืม” ม่อซิวเหยามองนางด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

“ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีรับดอกไม้มาจับเล่นในมือ “ข้าขอลองไปคิดดูก่อน”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้าคิดว่าอาหลีคิดมากเกินไปแล้ว หรือไม่เจ้าลองจินตนาการดูว่าตนเองตกลงไปจากหน้าผาที่สูงหนึ่งร้อยจั้ง ไม่มีอันใดให้ยึดจับ หันไปทางไหนก็ไม่มีอันใดที่สามารถใช้เป็นแรงส่งได้” เยี่ยหลีมองเขานิ่งๆ นางเคยกระโดดจากความสูงหนึ่งร้อยฉื่อ ไม่สิหลายร้อยฉื่อลงมาจริงๆ หากแค่นั้นก็เพียงพอจริง…ทหารพลร่มทุกคนคงกลายเป็นยอดฝีมือด้านวิชาตัวเบาไปแล้ว “ข้ารู้แล้ว ข้าจะลองดู”

 

 

การลองดูของเยี่ยหลี คือการให้อาจิ่นพาตัวนางกระโดดขึ้นไปยังแท่งไม้สูงยี่สิบเมตรที่ตั้งอยู่ข้างสนามฝึก จากนั้น…กระโดดลงมา!

 

 

ครั้งที่หนึ่ง นางตกลงมาจากความสูงประมาณสิบเมตร เยี่ยหลียังโชคดี นางถูกกิ่งไม้เกี่ยวไว้เล็กน้อยก่อนที่จะตกลงยังบ่อทรายข้างสนามฝึก

 

 

ครี้งที่สอง นางสามารถพุ่งตัวเป็นแนวนอนไปไม่ได้ประมาณครึ่งสนามซ้อมครึ่งเล็ก แล้วหาจุดที่จะเป็นแรงส่งต่อไม่ทัน จึงตกลงมาจากความสูงประมาณห้าเมตร นางปกป้องร่างการตนเองได้ดีพอควร จึงมีรอยแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

ครั้งที่สาม ช่วงที่นางเสียการควบคุม ทำให้ขนเข้ากับเสาไม้ในสนามฝึก เจ็บจนทนไม่ได้อยู่เป็นนาน

 

 

ครั้งที่สี่…

 

 

ครั้งที่ห้า…

 

 

ม่อซิวเหยานั่งอยู่ริมสนาม มองหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เงียบๆ ลอยขึ้น แล้วก็ตกลงอีกครั้ง จากนั้นสำรวจตนเองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอันใดก็กระโดดลอยขึ้นอีก และก็ตกลงมาอีก ม่อซิวเหยาไม่ได้เอ่ยห้ามปราม มองดูนางที่ล้มแหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็เริ่มต้นลองใหม่ ในแววตาที่ราบเรียบปรากฏเป็นแววตาแบบหนึ่งที่รุนแรงและไม่เคยมีมาก่อนขึ้นแวบหนึ่ง ในดวงตาลึกล้ำคู่นั้นมีเพียงร่างเพรียวบางที่ตกลงมาแล้วกลับขึ้นลุกยืนใหม่อีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

[1] เสาดอกเหมย หรือ เหมยฮวาจวง เป็นเสาไม้ที่ใช้สำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของจีน