บทที่ 64 พ่อลูกโดนด้วยกัน!

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 64 พ่อลูกโดนด้วยกัน! Ink Stone_Fantasy

ร้านเป้ยเฟิงเซวียนถูกตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายล้อมไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้เข้าออกได้แม้แต่คนเดียว นี่เป็นคำสั่งขั้นเด็ดขาดที่หลูเซิ่งต๋าสั่งผู้ใต้บัญชาของเขา

ฉินเหิงถูกทำร้ายจนสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย ไม่เหลือเค้าเดิม หลูเซิ่งต๋าย่อมรู้ถึงน้ำหนักความสัมพันธ์ของที่นี้ เมื่อหลูวั่งลูกชายของตนแอบส่งข้อความให้เขา หลูเซิ่งต๋าก็รีบนำทหารติดอาวุธหลายสิบนายมาควบคุมสถานที่เกิดเหตุในทันที

หลูเซิ่งต๋าเข้าใจแจ่มแจ้งว่าฐานะของตระกูลฉินในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ต่อให้มิอาจเทียบได้กับสามตระกูลใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของจีน แต่ก็มีฐานะเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง น้อยคนที่กล้าแตะต้องตระกูลฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายฉินเหิงที่โอหังเหิมเกริมมาตลอดจนต้องร้องออกมาอย่างอนาถราวกับหมูถูกเชือด

ดังนั้นหลูเซิ่งต๋าคิดว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เย่เทียนเฉินจากไปได้โดดเด็ดขาด ต่อให้เย่เทียนเฉินมีความสัมพันธ์กับเฉินเซิงซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคง ก็เกรงว่าจะไม่สามารถหาเรื่องตระกูลฉินได้ รวมกับที่เดิมทีหลูเซิ่งต๋าก็ไม่ชอบใจเย่เทียนฉินอยู่แล้ว ก็แค่ตัวตลกของเมืองหลวง ลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลที่ตกต่ำก็เท่านั้น ครั้งที่แล้วยังกล้าฆ่าคนของตนในสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ไม่เห็นเขาที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะอยู่ในสายตาเลย หลูเซิ่งต๋าคับแค้นชิงชังอยู่ในใจ ต้องการหาโอกาสเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้หลูเซิ่งต๋าคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินทำร้ายฉินเหิงจนมีสภาพเช่นนี้ ย่อมมิอาจรอดชีวิตไปได้แน่ ส่วนตนเองที่นำคนมาจับตัวเย่เทียนเฉินและส่งไปให้ตระกูลฉินลงโทษ ย่อมสามารถผูกสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉินได้ ถึงตอนนั้นอาจจะสามารถปืนป่ายกิ่งไม้ใหญ่อย่างตระกูลฉินได้ ทำให้อิทธิพลของตระกูลหลูของตนยกระดับไปอีกขั้น ส่วนเรื่องที่หลูวั่งลูกชายของตนถูกฉินเหิงทำร้ายนั้นก็ช่างมันเถิด

“เย่เทียนเฉิน คุณไม่คิดว่าตัวเองโอหังเกินไปหรือ?” หลูเซิ่งต๋ามองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมพลางกล่าว

“โอหัง? ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่ ไม่ได้กวนใคร ไม่ได้หาเรื่องใคร ลูกชายคุณสิมาซุบซิบนินทาอยู่ที่นี่ ต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ใส่ร้ายป้ายสีให้ผมได้รับความเสียหาย ส่วนฉินเหิงยิ่งแล้วใหญ่ พาลูกน้องนักสู้คิดจะมาหาเรื่องผมถึงที่ ผมก็แค่ตอบโต้เล็กๆ น้อยๆ ก็แค่นั้น ผมอยากจะถามผู้อำนวยการหลูสักหน่อย ตกลงแล้วใครกันแน่ที่โอหัง?”

“เฮอะ คุณไม่คิดว่าคำพูดของตัวเองจะเกินไปหน่อยเหรอ? คุณคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะเทียบกับฉินเหิงได้ ตระกูลเย่ของคุณสามารถยกขึ้นมาพูดพร้อมๆ ตระกูลฉินได้หรือ?” หลูเซิ่งต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน

เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าครู่หนึ่ง เขารู้ว่าหลูเซิ่งต๋ายืนอยู่ฝั่งของตระกูลฉิน มิฉะนั้นคงไม่รีบนำกำลังตำรวจติดอาวุธมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ สำหรับเรื่องกระบวนการทางราชการของคนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจหมดเปลือก ผู้อาวุโสตระกูลเย่เคยกุมอำนาจมาก่อน ส่วนเย่หงบิดาของเย่เทียนเฉินก็เป็นข้าราชการมาโดยตลอด คนในวงการราชการ สามารถเชื่อถือได้แค่สามส่วน ไม่อาจเชื่อถืออีกสี่ส่วน หันหางเสือไปตามทิศทางลมเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็ทำเป็น

วันนี้เย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงจนครึ่งเป็นครึ่งตาย หลูเซิ่งต๋าและหลูวั่งสองพ่อลูกก็แอบยินดีอยู่ในใจ แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ทั้งยังหันปากกระบอกปืนเข้าช่วยตระกูลฉิน ในเมืองหลวงที่เป็นสถานที่ที่เป็นดั่งรังเสือรังมังกร จะหน้าด้านก็ไม่เป็นไร จะทำตัวต่ำช้าไร้ยางอางก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญก็คือต้องมีชีวิตรอดต่อไปและสามารถปีนป่ายขึ้นไปได้

“หลูเซิ่งต๋า ถ้าหากเป็นผมถูกฉินเหิงอัดจนนอนกองอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าคุณคงไม่มาหรอกใช่ไหม? ผมมีคำบางคำที่จะบอกให้คุณฟัง เป็นสุนัขของตระกูลฉินไม่ดีแน่ โบราณกล่าวไว้ว่า ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ แล้วตีเจ้าของต้องดูสุนัขด้วยหรือ?” เย่เทียนเฉินกล่าวเรียบๆ

“แก…เย่เทียนเฉิน ไปกับพวกเราซะดีๆ ไม่งั้นหามาโทษที่ฉันต้องจับกุมแก” หลูเซิ่งต๋าถูกเย่เทียนเฉินทำให้โมโหจนแทบกระอักเลือด คำรามใส่เย่เทียนเฉินด้วยท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่มีมาดของผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแม้แต่ครึ่งส่วน

“ฉันแนะนำให้แกพาลูกชายสุนัขของแกไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่ามาโทษที่ฉันจะลงมือ”

เย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ชาติก่อนเขาเป็นคนที่อืดอาดยืดยาดคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้เสพติดการฆ่าและไม่โอ้อวด แต่สำหรับคนถ่อยต่ำทรามและคนที่ชอบแส่หาเรื่อง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยกลัว

หลูเซิ่งต๋าและหลูวั่งสองพ่อลูกคู่นี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก เป็นคนต่อหน้าทำอย่างหนึ่งลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง มีฝีมือในการหันหางเสือตามกระแสลมเป็นอย่างมาก เพียงแต่เมื่อก่อนคนเช่นพวกเขาไม่ได้หาเรื่องมาถึงตนเอง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงลงมือไปนานแล้ว

“เป็นสุนัขของตระกูลฉินของฉัน ก็เป็นสุนัขเทพ ไม่รู้ว่ามีกี่คนอยากจะเป็นสุนัขให้ตระกูลฉินของฉัน ใครกล้าหาเรื่องตระกูลฉินของฉัน อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปเห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ได้อีกเลย”

ตอนที่เย่เทียนเฉินและหลูเซิ่งต๋ากำลังปะทะฝีปากกันอยู่นั้น ท่ามกลางทางเดินก็มีเสียงที่ยะโสโอหังเป็นอย่างมากดังขึ้น ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคนของตระกูลฉินที่ไล่ตามมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครในตระกูลฉิน

หลูเซิ่งตามองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปยังทางเดินในตัวตึก ตอนนี้เอง ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่งด้านล่าง ท่าทางอายุประมาณห้าสิบปี ใบหน้ามืดครึ้ม ราวกับว่าใครเห็นเขาก็ต้องเกรงกลัวอย่างไรอย่างนั้น คนคนนี้ก็คือฉินเทาหยวนบิดาของฉินเหิง

หลังจากที่ฉินเทาหยวนได้รับแจ้งจากคนรับใช้ของตระกูลฉิน ก็รีบตามมายังเป้ยเฟิงเซวียนด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากเขาเดาได้ว่าฉินเหิงลูกชายของตนอาจจะไปสร้างความยุ่งยากให้เย่เทียนเฉิน เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ตกลงแล้วใครกันแน่ ที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ กล้ามาลงมือทำร้ายลูกชายของตนอย่างโหดเหี้ยม สงสัยคงจะเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ สินะ

“พี่เทาหยวน ในที่สุดพี่ก็มาแล้ว ผมจับตัวผู้ต้องหาไว้แล้วครับ พี่เทาหยวน พี่ว่าจะทำอย่างไรดี?” หลูเซิ่งต๋าเห็นฉินเทาหยวนเดินขึ้นมา ก็รีบยิ้มเข้าไปต้อนรับขึ้นมาพลางกล่าว

“งั้นเหรอ? งั้นก็ดี ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าไอ้ลูกเต่าตัวไหนที่สายตามือบอด กล้าลงมือกับลูกชายของฉัน คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ!” เทาหยวนคำรามอย่างวางอำนาจเต็มที่

ได้ยินคำพูดของฉินเทาหยวน หลูเซิ่งต๋าก็แอบยิ้มกับตัวเอง เขารู้ว่าฉินเทาหยวนและฉินเหิงเป็นคนประเภทเดียวกัน พ่อลูกคู่นี้ต่างก็เย่อหยิ่งและอวดดี ตอนนี้ฉินเหิงถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ฉินเทาหยวนมาเองกับตัว ส่วนตัวเขาเองก็ขวางเย่เทียนเฉินไว้ที่เป้ยเฟิงเซวียนแห่งนี้ ต่อจากนี้ไปมีเกมสนุกๆ ให้ดูแน่แล้ว อย่างน้อยสถานการณ์ก็มีประโยชน์ต่อตระกูลหลูของตน ทั้งยังไม่มีข้อเสียอีกต่างหาก

ความจริงแล้ว หลูเซิ่งต๋าไม่รู้ว่า ไม่ใช่เพราะตนเองนำตำรวจติดอาวุธหลายสิบคนมาทำให้เย่เทียนเฉินหนีไปไม่ได้ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินกำลังรอคนของตระกูลฉินมาต่างหาก ถ้าเย่เทียนเฉินต้องการจากไป ด้วยขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันของเขาในตอนนี้ ตำรวจติดอาวุธหลายสิบนายขวางเขาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“พี่เทาหยวน เป็นเย่เทียนเฉินที่ทำร้ายหลาน จะลงโทษอย่างไรดี เอาตามที่พี่พูดเลยครับ!” หลูเซิ่งต๋าชี้ไปที่เย่เทียนเฉินพลางกล่าว

ฉินเทาหยวนเดินมาเบื้องหน้า เห็นเย่เทียนนเฉินที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจอยู่บนโซฟาก็ขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเย่เทียนเฉิน แม้ว่าเคยได้ยินชื่อเย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ส่วนตระกูลเย่โดยเฉพาะบิดาของเย่เทียนเฉินที่แข่งขันกับเขาในงานราชการทุกด้าน ก็ทำให้ฉินเทาหยวนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า คนที่ลงมือทำร้ายลูกชายอย่างรุนแรงจะเป็นเย่เทียนเฉินไปได้

เห็นเย่เทียนเฉินสูบบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจโดยไม่มองมาทางตนเองเลยสักนิด ไฟโกรธในใจของฉินเทาหยวนก็พลันโหมกระหน่ำ สิ่งสำคัญก็คือตัวเขาเองอวดเบ่งตัวเอง คิดว่าตระกูลฉินของตนเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง ตัวฉินเทาหยวนเองก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้น้อย เมื่อพบตนเองจะต้องเคารพนอบน้อมและต้องมีสีหน้าที่โอนอ่อนเชื่อฟัง ไหนเลยจะมีใครที่กล้าทำเหมือนเย่เทียนเฉินเช่นนี้ ซ้อมลูกชายของตนแล้วยังนั่งจิบชาอย่างสบายอกสบายใจอยู่อีก

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” ฉินเทาหยวนที่เดินมาข้างๆ เย่เทียนเฉินกล่าวถามเสียงเย็น

“ถูกต้อง คุณเป็นใคร? มาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่า? ผมยุ่งมาก กำลังรอคนอยู่” เย่เทียนเฉินกล่าวตอบโดยที่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองฉินหยวนเทา

“เฮอะ คนหนุ่มสาวเก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนจริงๆ แกรู้ไหมว่าแกจะตายเร็วๆ นี้แล้ว? แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” ฉินเทาหยวนเปิดปากถามอย่างโหดเหี้ยม

“ไม่รู้ ผมไม่สนใจจะรู้ด้วย ผมบอกแล้ว ผมกำลังรอคนอยู่ ถ้าคุณไม่มีธุระก็ไปดื่มชาด้านโน้นเถอะ อย่ามากวนผม วันนี้อารมณ์ผมค่อนข้างดีทีเดียว!”

หลังจากที่ฉินเทาหยวนมาถึงแล้วเหล่าคุณชายที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุต่างก็พากันยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยืนสังเกตอยู่ข้างๆ ไม่มีใครพูดออกมาสักคนเดียว เหล่าคุณชายเสเพลที่ชอบซุบซิบมาตลอด ตอนนี้ต่างก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ หากพูดไปหนึ่งประโยค เกรงว่าฉินเทาหยวนคงถลกหนังพวกเขาแน่ พวกเขามิอาจหาเรื่องได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่า การปรากฏตัวของฉินเทาหยวนก็ไม่อาจเปลี่ยนนแปลงท่าทีของเย่เทียนเฉินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้เย่เทียนเฉินโอนอ่อนผ่อนตาม กระทั่งสายตาของเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มองไปที่ฉินเทาหยวนเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลายคนตกใจจนคางแทบหลุด ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้เจ๋งจริงๆ หรือว่าทำเป็นเจ๋ง

“ดี ดี ดี งั้นฉันจะบอกแกให้ ฉันชื่อฉินเทาหยวน เป็นพ่อของฉินเหิง แกกล้าลงมือกับฉินเหิง มีแต่เส้นทางแห่งความตายเท่านั้นที่แกจะไปได้” ฉินเทาหยวนโกรธจนหัวเราะออกมาพลางกล่าว

มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มไม่แยแสสายหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นมา หมุนตัวไปมองฉินเทาหยวนพลางกล่าวว่า “ที่แท้แกก็เป็นพ่อของไอ้เศษขยะนี่นี่เอง โตมาเหมือนแกจริงๆ ฉันกำลังคิดว่าแกจะเป็นโคตรขยะรึเปล่า?”

“แก…”

“ลูกชายแกอยู่ตรงโน้น กำลังนอนหลับอยู่บนพื้น ฉันว่าแกไปดูกับตาสักหน่อยจะดีกว่า มีเลือดอยู่เต็มหน้า อย่าทำให้เสียโฉมซะล่ะ” เย่เทียนเฉินขัดฉินเทาหยวนที่โกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ตอนนี้ฉินเทาหยวนถึงมองไปยังฉินเหิงที่อยู่ที่พื้น เห็นเพียงฉินเหิงที่สลบเป็นตายไปนานแล้ว มีเลือดเต็มหน้า ใบหน้าก็เปลี่ยนรูปร่างไปบ้าง แล้วยังมีรอยรองเท้าประทับอยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกคนกระทืบไปหลายครั้ง กระทืบจนกระดูกบนใบหน้าหัก เป็นเย่เทียนเฉินที่ทำ

“ไอ้ลูกเต่า วันนี้ใครก็ช่วยแกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงพ่อของแกเย่หงเลย ต่อให้ไอ้แก่เย่หย่วนซานมาเอง ฉันก็จะให้มันดูให้ดีๆ ว่าฉันจะฆ่าตระกูลเย่แก…”

เพี๊ยะ!

น่าสงสารที่คำพูดของฉินเทาหยวนยังไม่ทันจบ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าสะบัด พวกหลูเซิ่งต๋าตกตะลึงจนสูดหายใจเย็นยะเยือก กล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินอัดฉินเหิง อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ผลที่ตามมาแม้จะหนักหนา แต่ก็อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ว่าเย่เทียนเฉินถึงกับกล้าลงมือกับฉินเทาหยวน ทำให้ผู้คนใกล้ตกใจจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว ฉินเทาหยวนเป็นใคร? เป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉิน เป็นคนกุมหางเสือของตระกูลฉินในปัจจุบันนี้ หากกวาดสายตาดูทั่วทั้งประจีน คนที่กล้าลงมือตบหน้าฉินเทาหยวน เกรงว่าจะมีแค่เย่เทียนเฉิน

“ลูกของแกพูดมาก แกก็เสือกพูดมากอีก คนตระกูลฉินของแกพูดมากซะเหลือเกิน อย่างกับแมลงวัน ทำให้ผู้คนรำคาญจริงเชียว ฉันคงทำได้แค่ตบสักหน่อย เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีไม้ตีแมลงวัน…” เย่เทียนเฉินยักไหล่ ส่ายหัวมองฉินเทาหยวนที่ถูกตนเองตบหน้าจนลงไปกองกับพื้นพลางกล่าว

…………………………………….