หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่สอบถามเรื่องสำนักศึกษาแล้ว พวกเขาก็เริ่มพิจารณาเรื่องเช่าเรือน

พวกเขาเอ่ยถามเจ้าของโรงเตี๊ยม หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เจ้าของโรงเตี๊ยมก็แนะนำคนผู้หนึ่งให้

สตรีผู้นี้อายุประมาณสี่สิบกว่าปี มีผ้าโพกศีรษะลายดอกไม้สีขาว ใบหน้าเป็นมิตรดูใจกว้าง เพราะนางมักจะยิ้มแย้มตลอดเวลา การพูดจานั้นก็รัวเร็วเป็นอย่างมาก ตามที่เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าว คนที่นี่มักจะเรียกนางว่า ‘ป้าหยาง’

บรรพบุรุษของป้าหยางไม่ใช่คนในเมืองนี้ บิดามารดาของนางมาลงหลักปักฐานที่เมืองผิงหยาง ตั้งแต่นางเกิดมาจนเดินได้ แผ่นดินที่เท้าของนางเหยียบเป็นที่แรกจึงเป็นเมืองนี้

นางอาศัยอยู่ที่นี่มานาน มีเรื่องไหนในเมืองนี้ที่ไม่รู้ มีใครที่ไม่คุ้นเคย แม้กระทั่งสตรีในตระกูลใหญ่นางยังจำได้ โดยปกติแล้วฮูหยินของตระกูลใหญ่มักจะวานให้นางช่วยซื้อขายสาวใช้ให้ หรือหากมีผ้าแบบใหม่ในตลาดนางก็จะนำไปบอกฮูหยินเหล่านั้น และนำไปให้พวกนางได้ชมดู เอ่ยข้อเสนอดีๆ ให้พวกนางซื้อ แล้วป้าหยางก็จะได้กำไรจากส่วนต่าง ส่วนเรื่องหาเรือนให้เช่านี้ เดิมทีสามีของนางเป็นคนทำ ทว่าเขาออกไปทำธุระนอกเมืองเมื่อสองวันก่อน นางไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้เงินในครั้งนี้ จึงมาพบเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่

ป้าหยางพบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน เมื่อนางมองพิจารณาพวกเขา ก็พบว่าแม้ทั้งสองคนจะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ทว่าการพูดจาดูสุภาพเรียบร้อย ไม่เขินอายเหมือนคนที่มาจากครอบครัวเล็กๆ ทั่วไป นอกจากนี้ยังเห็นว่าหน้าตาของคนหนึ่งหล่อเหลา อีกคนก็งดงามไม่ใช่น้อย ซึ่งนางไม่เคยพบเห็นคนเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นมาสองส่วน

นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา น้องชายและน้องสาวสองท่านนี้ช่างมีหน้าตาหล่อเหลาและงดงามยิ่งนัก ข้าเคยเห็นคุณชายคุณหนูจากตระกูลใหญ่มามากมาย กลับไม่เคยเห็นใครสง่างามเท่าพวกเจ้าสองคนมาก่อน”

จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก “พวกเจ้าอยากจะเช่าเรือนแบบไหนหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยอย่างปากหวานด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้าหยาง”

จากนั้นเธอไม่ได้ตอบว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งต้องการเช่าเรือนแบบไหน เพียงพิจารณาชุดกระโปรงที่ตัวเสื้อเป็นคอกลมปักลายดอกเบญจมาศที่มีกลิ่นหอมของฤดูใบไม้ร่วง ก่อนจะเอ่ยชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

“ท่านป้าหยาง ลายดอกเบญจมาศบนชุดของท่านช่างไม่เหมือนใครจริงๆ เนื้อผ้าก็ดีนัก มองปราดเดียวข้ารู้เลยว่าราคาไม่ใช่น้อย ผ้าผืนนี้ท่านซื้อมาจากไหนหรือเจ้าคะ สีสันและลวดลายช่างโดดเด่น รูปแบบชุดก็ช่างงดงามมาก ท่านตัดเองหรือเจ้าคะ”

ความรู้สึกดีที่มีต่อเสวี่ยเจียเยว่จากสองส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็นห้าส่วน

ป้าหยางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขจนปากจะฉีกไปถึงรูหูเลยทีเดียว “ผ้าผืนนี้สามีของข้านำกลับมาจากเมืองหยางโจว ข้ามิได้ตัดเย็บเอง แต่ขอให้ผู้เช่าเรือนคนหนึ่งตัดเย็บให้ นางเป็นช่างตัดชุดในร้าน ฝีมือนางนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยปากหวานกับนางอีกสองสามประโยค ก็ทำให้ป้าหยางดีใจมิใช่น้อย นางไม่เรียกแม่นางเสวี่ยอย่างสุภาพ แต่เรียกชื่อเสวี่ยเจียเยว่อย่างสนิทสนม ความรู้สึกดีนั้นเพิ่มพูนขึ้นมาหลายสิบส่วน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงใช้โอกาสช่วงที่ป้าหยางกำลังดีใจมีความสุขบอกว่าตนต้องการบ้านเช่าแบบไหน

เรื่องนี้เธอได้หารือกับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วเมื่อคืนนี้ เนื่องจากสำนักศึกษาในเมืองผิงหยางนั้นตั้งอยู่ในเขตซีเฉิง ทั้งสองคนจึงอยากจะหาเช่าเรือนแถวเขตซีเฉิง โดยค่าเช่าในพื้นที่เจริญรุ่งเรืองนั้นมีราคาสูงลิ่ว แต่ในที่ห่างไกลความเจริญจะถูกกว่า และพวกเขาต้องการเช่าเรือนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญของเขตซีเฉิง อีกอย่าง… ทั้งสองคนก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง ไม่สามารถอยู่ในห้องเดียวกันไปตลอดได้ จึงอยากได้เรือนที่มีสองห้อง

เสวี่ยเจียเยว่ขอให้ป้าหยางช่วยหาเรือนที่เหมาะสมด้วยรอยยิ้ม หลังจากเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เธอกับพี่ชายจะไปขอบคุณถึงหน้าประตูเรือนของนางด้วยตัวเอง

เพียงได้รับคำชื่นชมสองสามประโยค ป้าหยางก็บอกทันทีว่าเรื่องนี้นางจะรับผิดชอบเอง และจะให้พวกเขาสองพี่น้องได้เช่าเรือนตามที่ต้องการ

สามวันต่อมา ป้าหยางพาพวกเขาไปดูเรือนหลายหลังโดยไม่หยุดพัก ทว่าค่าเช่านั้นสูงเกินไป เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่พอใจเท่าไรนัก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้มีบุรุษอยู่ที่เรือนหลังเดียวกับพวกเขา

เด็กหนุ่มเคยถามเสวี่ยเจียเยว่ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเกิดวันที่สาม เดือนสาม หากนับดูตอนนี้ก็อายุเก้าขวบเต็มแล้ว นับวันแม่นางน้อยก็ยิ่งมีใบหน้างดงาม เขาคิดว่าไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้เทียบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เคยเกิดเรื่องของเสวี่ยหย่งฝูกับเสวี่ยเหล่าซาน เขาจึงระวังชายอื่นอย่างเข้มงวด

หลังจากดูเรือนเช่นนี้อยู่สองสามวัน ก็ไม่มีเรือนที่ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกัน

เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าป้าหยางจะรำคาญพวกเขาได้ ขณะที่เอ่ยกับนาง เธอจึงยิ่งปากหวานขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เอ่ยชื่นชมก็แทบทำให้ป้าหยางเห็นเธอเป็นลูกสาวของตนได้เลยทีเดียว และใส่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้น

สองวันต่อมา จู่ๆ ป้าหยางก็มาที่โรงเตี๊ยมทันทีที่เห็นหน้าพวกเขา นางก็ปรบมือและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เอาละ วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูเรือนหลังหนึ่ง รับรองว่าพวกเจ้าสองคนต้องพอใจแน่”

เสวี่ยเจียเยว่รีบเอ่ยถามทันทีว่าที่ไหน อยู่ไกลจากสำนักศึกษาหรือไม่

เธอมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องสอบเข้าสำนักศึกษาได้สักแห่งอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสำนักศึกษาไท่ชู หรือไม่ก็สำนักศึกษาถัวเยว่ เมื่อเขาได้เข้าเรียนแล้ว ก็ต้องเดินทางทั้งเช้าเย็น จึงอยากจะหาเรือนที่อยู่ใกล้สำนักศึกษา เพื่อให้เขาเดินไม่ไกลตอนไปเรียนและเลิกเรียน

ป้าหยางไม่ได้เอ่ยตอบคำถาม กลับจูงมือเสวี่ยเจียเยว่เดินออกไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปกับข้าก็จะรู้เอง”

เสวี่ยเจียเยว่ทำได้เพียงเดินตามนางไปเท่านั้น โดยมีเสวี่ยหยวนจิ้งเดินตามหลังทั้งสองคนไป

เดินไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เห็นกำแพงเรือนสีเทาอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเดิน มีประตูตรงกำแพงหนึ่งบาน สีดำบนประตูบานนั้นลอกออกไปไม่น้อย

ป้าหยางยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ จากนั้นไม่กี่อึดใจก็พบเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดถึงแปดขวบเปิดประตูออก เมื่อเห็นว่าเป็นป้าหยางนางก็เอ่ยเรียกทันที

ป้าหยางพูดกับนาง “แม่ของเจ้าไปทำงานหรือ ในเรือนมีแค่เจ้ากับน้องชายใช่หรือไม่”

“แม่ของข้าออกไปทำงานเจ้าค่ะ แต่ว่าในเรือนไม่ได้มีแค่ข้ากับน้องชายอยู่เท่านั้น ป้าโจวก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบ

น้ำเสียงของนางนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นดำขลับ ท่าทางดูคล่องแคล่วว่องไวมิใช่น้อย

ป้าหยางพยักหน้า จากนั้นจึงหันไปเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ “พวกเจ้าสองคนเข้าไปชมดูก่อน หากไม่พอใจเรือนหลังนี้ ข้าเองก็จนปัญญาแล้ว”

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินน้ำเสียงของนางดูมั่นใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเรือนหลังนี้พวกเขาทั้งสองจะต้องพอใจอย่างแน่นอน จึงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาและรีบเดินตามป้าหยางเข้าไปด้านใน

พวกเขาพบลานขนาดเล็กที่สวยงาม มีต้นการบูรต้นใหญ่กับต้นหอม-หมื่นลี้ปลูกอยู่ที่มุมลาน มีเรือนหลักขนาดสามห้อง เรือนเล็กฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก คาดว่าด้านในนั้นก็คงไม่มีสิ่งของอะไรมากมาย

ป้าหยางชี้ไปที่เรือนหลังใหญ่สองสามหลังซึ่งอยู่ตรงข้ามกับฝั่งนี้ โดยมีลานกั้นกลาง ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขา “เรือนสองสามหลังนั่นก็คือเรือนของข้า ส่วนเรือนฝั่งนี้มีขนาดเล็กกว่า เดิมทีข้าคิดว่าจะใช้เป็นเรือนของบ่าวรับใช้ และใช้เก็บสิ่งของไปด้วย แต่บ่าวรับใช้ไม่ได้ดั่งใจนัก ข้าจึงไล่ออกไปทั้งหมด ข้าเห็นว่าเรือนเหล่านี้ว่าง เลยคิดว่าจะให้คนเช่าดีกว่า อย่างน้อยก็สามารถเก็บค่าเช่ามาใช้จ่ายในเรือนได้”

จากนั้นนางชี้ไปที่เรือนฝั่งตะวันออกและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เดิมทีเรือนนั้นเป็นเรือนที่คู่สามีภรรยาอาศัยอยู่ด้วยกัน ผู้เป็นสามีทำงานในร้านข้าวสาร ส่วนภรรยาทำงานซักผ้าในตระกูลใหญ่ ค่าเช่าต้องจ่ายสิ้นปีนี้ แต่เมื่อวานจู่ๆ พวกเขาก็มาหาข้าแล้วบอกว่าร้านข้าวสารที่สามีทำนั้นปิดลง สามีของนางหางานทำไม่ได้ พวกเขาจึงหารือกันว่าจะไม่อยู่ในเมืองนี้อีกต่อไป จะกลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านเกิด อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีวันอดตาย แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายต่างสนิทสนมกันดี หากพวกเขาต้องการจะไป ข้าจึงยกค่าเช่าที่เหลือให้ ทั้งสองคนออกไปแล้วเมื่อวานนี้ ข้านึกขึ้นได้ว่าพวกเจ้าต้องการเช่าเรือน และข้าเองก็ชอบเจียเยว่ จึงคิดว่าปล่อยให้พวกเจ้าสองพี่น้องเช่าคงจะดีกว่า”

เสวี่ยเจียเยว่มองดูแล้ว เรือนเล็กนี้คล้ายกับเรือนแถวที่ขนานกับเรือนใหญ่ แม้ตัวเรือนจะเล็ก ห้องก็มีไม่มาก แต่ตราบใดที่ค่าเช่าถูก สำหรับพวกเขาแล้วที่นี่ก็นับว่าดีเกินคาด

เรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งกังวลกลับเป็นอีกเรื่อง “ท่านป้าหยาง ข้าขอถามหน่อยขอรับ เรือนหลักและเรือนฝั่งตะวันตกมีใครอาศัยอยู่บ้างขอรับ”

ป้าหยางชี้ไปที่แม่นางน้อยซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลางเอ่ย “ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ที่ฝั่งตะวันตก แม่กับลูกสาวลูกชาย ลูกสาวชื่อเสี่ยวฉาน อายุเจ็ดขวบ ส่วนลูกชายชื่อหูจื่อ ตอนนี้อายุสี่ขวบ แม่ของพวกเขาข้าเรียกนางว่าแม่นางเฝิง นางทำงานตัดเย็บชุด มีฝีมือเรื่องการเย็บปักถักร้อย ตอนนี้นางทำงานเป็นช่างตัดชุดในร้าน ทั้งยังต้องเป็นแม่คอยเลี้ยงดูลูก”

จากนั้นก็ชี้ที่ชุดบนตัวนางแล้วเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “คราวที่แล้วเจ้าชมว่าชุดของข้าตัดเย็บดีใช่หรือไม่ ก็แม่ของเสี่ยวฉานนี่ละที่ตัดให้ข้า”

เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเสี่ยวฉาน และเห็นว่านางกำลังจับจ้องมาที่ตนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

เธอหันไปเอ่ยถามป้าหยาง “แล้วเรือนหลักมีใครบ้างเจ้าคะ เป็นครอบครัวเหมือนกันใช่หรือไม่ หรือว่าครอบครัวของป้าโจวเจ้าคะ”

เรือนฝั่งตะวันตกหลังเล็กมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่แล้ว และเรือนหลักนั้น เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าคงจะมีอีกครอบครัวอาศัยอยู่เช่นกัน อีกทั้งเมื่อครู่นี้เธอได้ยินเสี่ยวฉานบอกว่าในเรือนนอกจากนางกับน้องชายแล้วก็มีป้าโจวอยู่ด้วย จึงคิดเพียงว่าครอบครัวป้าโจวอยู่ในเรือนหลัก

แต่คำตอบของป้าหยางกลับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง

“มีครอบครัวอาศัยอยู่ที่ไหนกัน เรือนหลักนั้นมีแค่ป้าโจวอยู่คนเดียว”

เรือนหลักมีผู้อาศัยอยู่แค่คนเดียวอย่างนั้นหรือ

เสวี่ยเจียเย่วรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย และมองไปที่เรือนหลักอย่างอดไม่ได้

แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวันและแดดกำลังดี แต่ประตูหน้าต่างในเรือนหลักปิดสนิท หากมองจากด้านนอกก็รู้สึกเหมือนเป็นเรือนที่ถูกทิ้งร้าง ด้านในไม่มีใครอาศัยอยู่สักคน

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เธอถึงได้รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งตัว

เธอลูบแขนของตน จากนั้นก็เอ่ยถามป้าหยาง “ป้าโจวผู้นี้เป็นคนอย่างไรหรือเจ้าคะ”