บทที่ 671 นี่เป็นความลับ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 671 นี่เป็นความลับ โดย Ink Stone_Fantasy

“เฮ้อ ไม่รู้ว่าพวกเธอจะเป็นยังไงบ้าง…”

หลิงม่อหันหลังไปมอง แล้วหันกลับมามองเย่เลี่ยนอีกครั้ง

สิ่งที่เขาสนใจ คือดวงตาคู่นั้นของเธอ

ความจริงสิ่งที่หลิงม่อพูดไปเมื่อกี้ เป็นเพียงสถานการณ์คร่าวๆ หลังจากที่จิตใจสงบลงแล้ววิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ได้ใจความว่าดังนี้—

ดวงตาทั้งคู่ของเย่เลี่ยน เหมือนเลนส์กล้องที่สามารถซูมเข้าซูมออกได้ตามสถานการณ์

ขอเพียงอยู่ในครรลองสายตาของเธอ หรือการโจมตีที่อยู่ในขอบเขต 180 องศา เธอล้วนสามารถจับจุดรายละเอียดและองศาได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงทำให้เธอสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด

แน่นอนว่านั่นคือมโนภาพที่สูงสุด จากการพิสูจน์ดูของหลิงม่อเมื่อกี้ ถึงแม้เขาจะวิเคราะห์ได้ถึงขั้นนี้ แต่กลับรู้ว่าปัจจุบันเย่เลี่ยนยังทำได้ไม่ถึงขั้นนั้น

แต่ถึงอย่างไรเธอก็เพิ่งก้าวข้ามผ่านชนชั้นสูงมา ยังมีเวลาให้พัฒนาอีกมาก

“เอาล่ะ พักผ่อนก่อนเถอะ ตอนนี้เธอต้องทำจิตใจให้มั่นคงก่อนนะ”

หลิงม่อประคองเย่เลี่ยนไปหาที่นั่งพัก แต่ทันใดนั้น หางตาเขากลับเหลือบไปเห็นอะไรสีขาวๆ

เขาชะงักเท้าทันที แล้วหันไปมองตรงนั้นอย่างสงสัย

อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ระหว่างที่พิสูจน์กัน เย่เลี่ยนเคลื่อนไหวตัวค่อนข้างมาก ดังนั้นของสิ่งนี้จึงโผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเธอครึ่งหนึ่ง

มองแวบแรก เหมือนจะเป็นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ

นั่นทำให้หลิงม่อถึงกับตะลึงไปทันที หากเจอก้อนเหนียวหนืด กระทั่งเศษเนื้อ หรือไม่ก็สิ่งของแปลกประหลาดอย่างอื่นในกระเป๋าเสื้อซอมบี้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก

แต่ดันเป็นสมุดบันทึก นี่มันออกจะ…

ถ้าสมุดเล่มนี้อยู่กับซย่าน่า หลิงม่อก็ยังพอทำใจให้เข้าใจได้บ้าง

แต่สมุดเล่มนี้กลับมาอยู่กับเย่เลี่ยนเนี่ยนะ!

เย่เลี่ยนเห็นสีหน้าหลิงม่อแปลกไป ตอนแรกก็มองหน้าเขาอย่างงงๆ จากนั้นก็มองตามสายตาของเขาลงมาที่ร่างกายตัวเอง

“ว๊าย!”

เย่เลี่ยนรีบปิดกระเป๋าตัวเองทันที

“นั่นอะไร?”

หลิงม่อยังคงอยู่ในภวังค์ตกตะลึง แต่อย่างน้อยก็ยังมีสติมากพอที่จะถามออกไป

เขาเบิกตากว้างจ้องเย่เลี่ยน เย่เลี่ยนเองก็เบิกตากว้างจ้องมองเขา

ทั้งสองมองตากันครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดเย่เลี่ยนก็เป็นฝ่ายพูดก่อน

เธอยังคงกุมกระเป๋าเสื้ออยู่อย่างนั้น แล้วเลียปากแผล็บๆ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเชื่องช้า “คะ…ความลับ…”

“ห๊ะ?” หลิงม่ออึ้งค้างไปอีกรอบ

แต่อึ้งก็ส่วนอึ้ง พอได้สติกลับคืนมา หลิงม่อกลับยิ้มแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้ดีๆ เมื่อกี้เกือบตกแล้ว”

พูดไป เขาก็แอบชำเลืองมองผ่านกระเป๋าเสื้อที่ถูกเย่เลี่ยนกุมไว้แน่น

น่าสงสัยจริงๆ…

“ถ้า…ถ้าหาก” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดขึ้น “ถึง…เวลา จะเอาให้พี่…ดู”

“ได้สิ” หลิงม่อพยักหน้า

“อื้ม!” เย่เลี่ยนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พร้อมกับพยักหน้าแรงๆ

หลังจากบอกให้เย่เลี่ยนนั่งอยู่ข้างๆ เสี่ยวป๋าย หลิงม่อก็เริ่มเดินไปเดินมาอย่างอยู่ไม่สุข

“ไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว…”

………..

ขณะเดียวกัน ณ ถนนสี่แยกที่ห่างออกไปหลายพันเมตร

ที่นี่เต็มไปด้วยกองซากรถยนต์ที่ชนกันเอง บนแผ่นป้ายบอกทางถนนหลวงที่ขึ้นสนิม ยังสามารถมองเห็นชื่อสถานที่ได้อย่างชัดเจน : เมืองชุ่ยหู เดินหน้าอีก 35 กิโลเมตร

และรอบๆ ซากรถยนต์เหล่านั้น ก็มีซอมบี้หลายสิบตัวกำลังเดินวนเวียนไปมา

ในป่าสีเขียวข้างทางก็มีเงาร่างของซอมบี้พุ่งผ่านเป็นครั้งเป็นคราว ด้านหลังหญ้ารกและกิ่งไม้รุงรังเหล่านั้น บางครั้งก็ยังบังเอิญเหลือบเห็นประกายสีแดงอันดุดันเหล่านั้น

ถนนทั้งเส้นบรรยากาศเงียบกริบ ราวกับว่าซอมบี้ทุกตัวกำลังเดินร่อนเร่ไปมาอยู่ในฉากหนังใบ้อย่างไรอย่างนั้น

แต่หนังใบ้เรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยความน่ากลัวและความประหลาด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยว หรือดวงตาแดงเลือดอันดุร้ายเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและติดขัดเหมือนหุ่นยนต์ของพวกมัน ล้วนเต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่าทั้งนั้น

“โครม!”

ทันใดนั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากข้างบน

ขณะเดียวกับที่ขาทั้งสองข้างเหยียบหลังคาซากรถยนต์ สายไฟที่ถูกกระชากจนขาดก็ตกลงบนพื้น ส่งเสียงดัง “เพี๊ยะ”

ขณะเดียวกัน พอสายไฟฟาดพื้น เศษดินและฝุ่นก็คลุ้งกระจายขึ้นมาอีกระลอก

ซอมบี้ตัวหนึ่งเพิ่งจะหันหน้ามา เงาร่างนั้นก็พุ่งเข้าไปหามันทันที

ซอมบี้ตัวนี้ถูกโบกจนปลิวออกไปกระแทกเข้ากับกระถางดอกไม้ข้างทางดัง “โครม”

คราบเลือดปรากฏบนกระถางดอกไม้…

แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

สัตว์ร้ายเหล่านี้ที่พอเห็นสิ่งมีชีวิตและเลือดเนื้อเมื่อไหร่ก็จะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งทันที เวลานี้กลับยืนอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน

ในดวงตาดุร้ายของพวกมัน สัมผัสได้ถึงความเกรงกลัวรางๆ

“พลั่ก!”

เงาร่างที่อยู่บนหลังคารถกระโดดลงมาอย่างสง่างาม จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

หลังจากกระโดดผ่านระยะทางสิบห้าเมตรอย่างสบายๆ เงาร่างนี้ก็ยกมือขึ้นยันรั้วกั้นแล้วตีลังกาข้ามไป จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนพื้นข้างถนน

ต่อมา เมื่อเงาร่างเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง ก็กำลังมองไปยังสุดถนนอีกฝั่งหนึ่ง

และบนศีรษะของเงาร่างนี้ ก็มีแผ่นป้ายบอกทางห้อยอยู่ : ด้านหน้า ถนนใหญ่ใจกลางอำเภอซินหลาน

“อึกอึก…”

เสียงที่เหมือนทั้งกำลังหัวเราะ และเหมือนกำลังแค่นเสียงเย็นในเวลาเดียวกัน ถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเงาร่าง

“วูบ!”

เสียงยังไม่ทันจบ เงาร่างก็ได้พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้ว

เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งมองเห็นได้เพียงเงารางๆ เงาร่างนี้กำลังพุ่งผ่านกระถางดอกไม้ และซากรถยนต์ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนน โดยทำเหมือนสิ่งกีดขวางเหล่านี้ไร้ตัวตน…

“เฮ้อ…”

หลิงม่อกอดอกเดินไปเดินมา แล้วสุดท้ายก็เดินมาตรงหน้าประตูร้าน พร้อมทอดมองออกไปข้างนอก

ที่นี่คือซอยเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักที่อยู่ข้างนอกนั่น ร้านค้าน้อย ซอมบี้ก็น้อยด้วย

เหล่าซอมบี้ที่มีจำนวนไม่มากอยู่แล้วถูกลากไปกองรวมกันในร้านค้าแห่งหนึ่ง และประตูร้านค้าก็ยังถูกหลิงม่อเอาเสื้อผ้าเห่าอุดรูไว้ด้วย

เขาไม่รู้ว่าวิวัฒนาการของเหล่าซอมบี้สาวจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อย่างไรก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า

ทว่าโชคดี ที่การล่าเหยื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ปลอดภัยมาโดยตลอด

และเมื่อกี้ตอนที่เย่เลี่ยนก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมือง ก็ไม่ได้มีอุบัตอะไรเหตุเกิดขึ้น…

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนขมับถูกกระตุกหนึ่งครั้ง

“หื้ม?”

เขาลองสัมผัสรู้ดูอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบอะไร

ประตูห้องเหล่านั้นยังคงปิดสนิทดังเดิม ความรู้สึกกะทันหันเมื่อกี้ก็ไม่เหมือนผลข้างเคียงที่เกิดจากการอัพเกรดของพวกเธอด้วย…

และในตอนที่หลิงม่อตัดสินใจจะเดินไปตรวจสอบดู เขากลับต้องชะงักเท้าทันที

เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผากของเขา

“อย่าขยับ”

หลิงม่อเหลือบมองไปทางเย่เลี่ยนกับเสี่ยวป๋ายด้วยหางตา แล้วพูดเสียงเบา

“อย่าหันไป”

เขากำชับเสริมอีกรอบ

เย่เลี่ยนที่กำลังจะหันกลับไปมองตามจิตใต้สำนึกพลันนิ่งไปทันที แต่ในวินาทีนี้ ดวงตาของเธอได้กลายเป็นสีแดงขาวไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเสี่ยวป๋ายยังคงนอนหมอบอยู่กับพื้นทั้งตัว หากมองดูดีๆ จะเห็นว่าตัวมันกำลังสั่นเบาๆ

เหงื่อเย็นซึมจนแผ่นหลังเปียกชุ่ม หลิงม่อรู้สึกได้ถึงความเกร็งของร่างกาย รวมถึงอาการตัวสั่น

“ทำไม? ทำไมถึงสัมผัสอะไรไม่ได้เลยล่ะ?”

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังสัมผัสไม่ได้

แต่ความรู้สึกอันตรายนี้ หลิงม่อผู้ที่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนกลับไม่มีทางสัมผัสพลาดอย่างแน่นอน

เขากลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ แล้วเบนสายตามองไปยังกระจกบานหนึ่งในร้าน

เสี้ยววินาทีที่มองกระจก สายตาของหลิงม่อก็สบเจ้ากับดวงตาคู่หนึ่งพอดี

มันเป็นดวงตาที่หลิงม่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ใช่สีแดงสด แต่เป็นสีม่วง

เป็นสีม่วงแบบที่น่าหลงใหล ราวกับสีที่เกิดจากเลือดสดๆ มากมายแข็งตัวรวมกัน แล้วถึงจะเกิดสีอย่างนี้ขึ้นมาได้

และสายตานั่น ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกลึกเข้าไปยังกระดูกดำตั้งแต่หัวจรดเท้าทันที

เขาแทบจะรู้สึกถึงความหวาดผวาทันที โดยไม่ทันตั้งตัว

ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเลย!

“หนะ…หนี…”

หลิงม่ออ้าปาก แล้วเค้นคำพูดสองคำออกมาจากลำคออันแห้งผาก

เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะยื้อได้นานเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย เขาจะปล่อยให้เย่เลี่ยนที่เพิ่งก้าวข้าม และยังมีพื้นฐานไม่มั่นคง ลงมือตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าซอมบี้สาวที่อยู่ในห้องพวกนั้นเลย…

ไม่ หนีไม่ทันแล้ว…

หลิงม่อจ้องดวงตาคู่นั้นอยู่ตลอด และเขาก็รู้สึกได้ว่าดวงตาคู่นั้นก็กำลังจ้องเขาอยู่เหมือนกัน

ทำไมต้องมองเขา? เพราะแปลกใจที่เจอมนุษย์อยู่ท่ามกลางกลุ่มซอมบี้งั้นหรอ?

แค่ดูจากสายตาคู่นั้น หลิงม่อก็มองออกแล้ว ว่าอีกฝ่ายมีสติปัญญา…

“พาพวกเธอหนีไป”

หลิงม่อหอยหายใจหนักหน่วงอย่างยากลำบาก แล้วหมุนกายกลับไปทันที

จะตกใจกลัวเพราะสายตาคู่เดียวไม่ได้ ตอนนี้พลังจิตของเขาพัฒนาขึ้นจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว

ความสามารถในการต้อสู้ครั้งนี้ เขามี!

เสี้ยววินาทีที่เขาหมุนกายหันไป เขาก็อ้าปากตะโกนเสียงดัง “ไป!”

คำสั่งผ่านกระแสจิตพลันถูกส่งออกไปพร้อมกัน เย่เลี่ยนลุกพรวด แต่กลับแสดงท่าทีต่อต้านออกมาทันที

สีหน้าของเธอซีดขาว ดวงตาแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา นิ้วมืองุ้มเข้าหากันเหมือนกรงเล็บเหยี่ยว

ถูกความรู้สึกอันตรายนี้กดดันจนถูกบังคับให้แสดงสัญชาตญาณออกมา แต่เย่เลี่ยนกลับไม่อยากหนี

—————————————————————————–