เฉียนเป่าในชุดคลุมปักลายเดินเอามือเท้าสะเอวแอ่นพุงมาข้างหน้า เผยให้เห็นเข็มขัดหยกสวยเป็นประกาย เหตุผลที่เขาเดินท่านี้เป็นเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาอิจฉาจากผู้อื่นขณะมองเข็มขัดตน เลยต้องอวดเสียหน่อยเพื่อความสบายใจ

“ใครกันที่กล้ามาพูดว่าอาหารร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ไม่อร่อย” เฉียนเป่าไม่พอใจทันทีเมื่อได้ยินว่ามีคนบอกว่าอาหารร้านตนไม่อร่อย

เมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างพี่หญิงใหญ่ชุนแล้วมองตามสายตาของนางไป เขาก็เห็นเซียวเสี่ยวหลงและสหาย

“นี่มันอัจฉริยะแห่งนครหลวงของเราไม่ใช่รึ นายน้อยเซียว ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะขอรับ ตายๆ เทพธิดาเยียนอวี่และองค์หญิงน้อยโอวหยางเองก็มาด้วย ขออภัยที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้มาต้อนรับด้วยตนเอง อ้อ แล้วผู้นี้คือ…”

เฉียนเป่าเป็นคนอยู่เป็น เรียกได้ว่าเป็นนักธุรกิจตัวจริงเสียงจริง เขาเก่งกาจด้านการจัดการผู้คน จนเรียกได้ว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงสร้างร้านอาหารนี้จากร้านเล็กๆ มาเป็นร้านใหญ่โตที่ดีที่สุดในอาณาจักรได้

แน่นอนว่าความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดได้ด้วยคนคนเดียว แต่ความพยายามและพรสวรรค์ของเฉียนเป่าเองก็เป็นส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน

“เรียกเขาว่านายน้อยปู้ก็ได้” เซียวเสี่ยวหลงยิ้มขณะแนะนำปู้ฟางให้รู้จัก เขาไม่กล้าบอกชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของชายหนุ่ม เนื่องจากตอนนี้ร้านใจไม้ไส้ระกำได้โด่งดังไปทั่วเมืองในฐานะคู่แข่งอันดับหนึ่งของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์แล้ว หากเขาประกาศตัวตนที่แท้จริงของปู้ฟางออกไปในขณะนี้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าเฉียนเป่าจะเชิญอีกฝ่ายออกจากร้าน

“นายน้อยปู้รึ” ชายเจ้าของร้านคิดขณะพยายามค้นลิ้นชักความทรงจำในสมองของตน แต่ก็นึกไม่ออกเลยว่ามีผู้สูงศักดิ์ตระกูลใดที่ใช้แซ่ปู้

ทว่าเฉียนเป่าก็ยังยิ้มและผสานกำปั้นกับฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อคารวะปู้ฟาง “รับทราบขอรับ ท่านนายน้อยปู้นี่เอง ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมามาก อาหารร้านเราไม่ถูกปากหรือขอรับ”

“ไม่ใช่ว่าไม่ถูกปาก แต่ทำออกมาได้ผิดวิธีมากต่างหาก ข้าให้ศูนย์คะแนนทุกจาน” ปู้ฟางพูดหน้านิ่งจริงจัง

“ทำออกมาได้ผิดวิธีมากรึ” เฉียนเป่าชะงักเล็กน้อยขณะมองใบหน้าขึงขังของชายหนุ่ม นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอใครอาจหาญขนาดมาวิจารณ์อาหารที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนี้

ตอนที่ร้านอาหารของเขาเพิ่งเปิดใหม่ๆ นั้น มีผู้คนจากร้านอื่นมาเยี่ยมเยียนเพื่อจับผิดคุณภาพอาหารร้านเขาไม่น้อย ตอนนั้นอาหารที่ร้านเขายังมีข้อผิดพลาดจริงเสียด้วย แต่ว่าตอนนี้… ขณะที่ร้านขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เฉียนเป่าก็ใช้เงินไปมากในการจ้างพ่อครัวแม่ครัวจากทั่วทุกสารทิศ ทุกคนล้วนมีอาหารจานเด็ดสูตรประจำของตัวเอง จนทำให้ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์โด่งดังเป็นพลุแตกมาจนถึงทุกวันนี้

“นายน้อยปู้พูดเล่นใช่หรือไม่ขอรับ ท่านไปถามใครในนครหลวงดูได้เลย ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะบอกว่าอาหารร้านเราไม่อร่อย” เฉียนเป่าพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

“ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย อาหารพวกนี้ทำผิดวิธี เจ้าเอาออกมาวางได้เลยข้าบอกได้ทุกจานว่าผิดตรงไหนบ้าง” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ ไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับชายตรงหน้าแม้แต่น้อย

คำพูดของเขาทำให้เฉียนเป่าหรี่ตาเล็กน้อยขณะคิด “ไอ้หมอนี่มันจองหองนัก กล้ามาพูดมั่วๆ เช่นนี้ได้อย่างไร มันมั่นใจขนาดนั้นเชียวรึ”

“ย่อมได้ขอรับ! ในเมื่อนายน้อยปู้ต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะเอาอาหารมาให้พร้อมพาพ่อครัวออกมาคุยกับท่านเองด้วย หากท่านพูดจนพ่อครัวของข้ายอมจำนนได้ ข้าจะยอมรับว่าอาหารร้านเราไม่ดีจริง” เฉียนเป่าพูดเรียบๆ ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป

“จะต่อกรกันซึ่งๆ หน้าจริงๆ รึ” เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เฉียนเป่าอาจจะไม่รู้ว่าปู้ฟางเป็นใคร แต่พวกเขานั้นรู้ดีอยู่เต็มอก หากปู้ฟางกล้าพูดออกมาเช่นนี้แปลว่าเขามั่นใจจริงๆ เนื่องจากทักษะการทำอาหารของชายหนุ่มนั้นเหนือชั้นกว่าพ่อครัวแม่ครัวจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เป็นอันมาก

“ไม่ ข้าไม่ได้อยากให้เจ้ามายอมรับอะไรข้า เอาเช่นนี้ไหมเล่า มาพนันกันดีกว่า หากข้อผิดพลาดที่ข้าบอกทำให้พ่อครัวแม่ครัวของเจ้าเห็นพ้องต้องกันได้จริง เจ้าจะต้องอนุญาตให้ข้าขึ้นไปกินอาหารที่ชั้นสาม แต่หากข้าแพ้ ข้ายินดีจ่ายค่าอาหารพวกนี้เพิ่มขึ้นร้อยเท่า เป็นอย่างไร ตกลงไหม” ปู้ฟางพูดหน้าตาย

ทุกคนสูดลมเย็นเข้าปอดลึก “จ่ายเพิ่มร้อยเท่าเลยรึ เถ้าแก่ปู้นี่ช่างอู้ฟู่เสียจริง! สั่งมาเยอะขนาดนี้ราคาต้องเกินห้าร้อยเหรียญทองแน่ๆ คูณร้อยเข้าไปก็… อย่างน้อยห้าหมื่นเหรียญทองเห็นจะได้!”

หัวใจของชายเจ้าของร้านเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเงื่อนไขของการพนัน สายตาที่เขามองปู้ฟางนั้นไม่ได้มีอาการดูถูกอีกต่อไป

คนที่กล้าเอาเหรียญทองห้าหมื่นเหรียญมาพนันย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ นอกจากนี้เขายังมาพร้อมเซียวเสี่ยวหลง บุตรชายของขุนนางใหญ่อีกต่างหาก ชายตรงหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

เป้าหมายของหมอนี่คือการขึ้นไปที่ชั้นสามของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เช่นนั้นหรือ อยากกินอาหารที่ชั้นสามมากขนาดนั้นเชียว หรือว่าตั้งใจจะมาจับผิดชั้นสามด้วยกันแน่

ในอึดใจนั้น เฉียนเป่าก็คิดสะระตะไปมากมายหลายสิ่ง สุดท้ายเขาก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ยตอบ “ย่อมได้! ตกลงรับคำท้า!”

ปู้ฟางพยักหน้าแล้วส่งสัญญาณให้เฉียนเป่าเลือกอาหารจานใดก็ได้ที่ต้องการนำเสนอ

ชายเจ้าของร้านเอาเมื่อไพล่หลังจากนั้นก็ออกคำสั่ง “พี่หญิงใหญ่ชุน ไปเตรียมปลาคาร์ปหินผัดแห้ง อาหารจานเด็ดของชั้นสองมา!”

ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นพลางคิดว่า “สมแล้วที่เป็นเถ้าแก่! อาหารจานนั้นยอดเยี่ยมเสียจนไม่มีใครหาที่ติได้แน่!”

ปลาคาร์ปหินผัดแห้งเป็นอาหารจานที่ดีที่สุดของชั้นสอง ตอนแรกนั้นจะได้ขึ้นไปขายที่ชั้นสามอยู่แล้ว แต่เถ้าแก่ตัดสินใจว่าที่ชั้นสามจะขายอาหารเพียงสามจานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาหารจานนี้จึงถูกเก็บไว้ที่ชั้นสองต่อไป

กระนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านรสชาติหรือหน้าตาความสวยงาม ปลาคาร์ปหินผัดแห้งก็ยอดเยี่ยมพอที่จะไปขายที่ชั้นสามได้เลยทีเดียว!

“นายน้อยปู้ กรุณานั่งรอสักครู่ขอรับ” เฉียนเป่าพูดด้วยรอยยิ้ม เขาทำท่าเชื้อเชิญให้เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ นั่งลงด้วยเช่นกันเพื่อรออาหารจานเด็ด

ปู้ฟางไม่พูดอะไรแต่นั่งลงรออย่างเงียบๆ

ในขณะเดียวกันนั้นเฉียนเป่าก็พูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาอย่างเป็นกันเอง

ไม่นานนักกลิ่นหอมของอาหารก็อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้ลูกค้าหลายคนที่ชั้นสองหันไปมองต้นตอของกลิ่น

พี่หญิงใหญ่ชุนเดินมาพร้อมจานขนาดใหญ่ซึ่งตลบอบอวลไปด้วยควันสีขาวที่ลอยล่องออกจากจาน คราวนี้นางไม่กล้าเดินโยกย้ายส่ายสะโพก เนื่องจากกลัวว่าจะทำอาหารหก

ชายร่างอ้วนในชุดเครื่องแบบพ่อครัวเดินตามนางมาด้วยสีหน้ามั่นใจในตนเอง

“ปลาคาร์ปผัดแห้งมาแล้ว กินให้อร่อย” พี่หญิงใหญ่ชุนพูดอย่างมีเสน่ห์ขณะก้มตัวลงวางอาหารลงบนโต๊ะ

“เถ้าแก่เฉียน ข้าได้ยินว่ามีคนมาจับผิดที่ร้านรึ ขอมาดูเสียหน่อยว่าหมอนี่จะหาข้อผิดพลาดในอาหารของข้าได้หรือไม่!” ชายอ้วนเดินมาหาเจ้าของร้านแล้วพูดเสียงดัง

ปู้ฟางหันไปมองชายอ้วน แล้วชายอ้วนคนนั้นก็หันมามองเขาราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตนกล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นระริก

“เจ้าคือไอ้คนที่บังอาจมาจับผิดใช่หรือไม่” การคาดคะเนของชายอ้วนนั้นถูกต้องตรงเป้า ขณะมองไปที่ปู้ฟางพร้อมเอ่ยถาม

“พ่อครัวเฉิน นี่นายน้อยปู้ อย่าทำให้เขาตกใจกลัวเลย” เฉียนเป่าพูดพร้อมรอยยิ้ม

ปู้ฟางหน้านิ่งขณะถอนสายตาออกจากชายอ้วน แล้วหันมามองจานปลาคาร์ปหินผัดแห้งตรงหน้าแทน

สีของอาหารจานนี้แจ่มจ้าเตะตาเป็นอันมาก โดยมีทั้งสีทองและสีแดง ชั้นซอสหนาเต็มไปด้วยวัตถุดิบส่งกลิ่นหอมหวานน่ากิน ส่วนปลาที่นำไปทอดกรอบก็มีกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอเช่นกัน

หากดูจากหน้าตาเพียงอย่างเดียว อาหารจานนี้จัดได้ว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ปู้ฟางหยิบตะเกียบท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง เขาจุ่มปลายตะเกียบลงในซอสแล้วเอามาใส่ปาก

เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ กลั้นหายใจ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มเป็นตาเดียว พ่อครัวเฉินและเฉียนเป่าเองก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ดวงตาจ้องปู้ฟางอยู่เช่นกัน

หลังจากที่ชิมซอสเสร็จ ปู้ฟางก็คีบชิ้นปลาขึ้นมาใส่ปาก เขาลิ้มรสมันสักพักจากนั้นก็วางตะเกียบลง

สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยไม่กระดิกตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้นบรรยากาศภายในชั้นสองก็พลันหนักอึ้ง ทุกคนต่างกลั้นหายใจ

…………………