บทที่ 75: การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 75: การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าปากของซู่เฟิงอ้า ๆ หุบ ๆ อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้ยินอะไรออกมาจากปากของเขาแม้แต่คำเดียว เขากัดฟันและรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อที่เขาจะได้พูด “คุณ …คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม?”

ทุกคำที่เขาพูดเหมือนต้องใช้ความพยายามมากพอ ๆ กับการยกก้อนหินขนาดใหญ่

ซู่เฟิงจ้องมองเขา เขาใช้เวลาสองวินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าฉินเย่ไม่ได้ล้อเล่น จากนั้นเขาก็เปิดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาทันทีและดึงเข็มทิศออกมา การกระทำของเขาดึงดูดสายตาของหลาย ๆ คนรอบ ๆ ตัว แต่เขาแทบจะไม่สนใจเลยในเวลานี้

อย่างไรก็ตามเข็มบนเข็มทิศยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม

“ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” ซู่เฟิงจับฉินเย่เบา ๆ และถาม

น่าเสียดายที่ฉินเย่กลับไม่ได้ยินคำถามของเขา รวมทั้งเสียงรอบข้างราวกับเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เขาเห็นเพียงริมฝีปากของซู่เฟิงยังคงขยับเพียงเท่านั้น

ตึกตัก ตึกตัก … ฉินเย่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นดังตุบ ๆ ก้องไปทั้งหูตนเอง สิ่งนี้เลวร้ายยิ่งกว่าเหตุการณ์สามวันก่อนหน้านี้เสียอีก

เขารู้ว่าโจวเซียนหลงยังคงส่งเสียงพูดอยู่ด้านบนเวที รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย แต่กระนั้นเขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องอยู่รอบ ๆ ไม่มีอะไรเลย อันที่จริง … เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของคนรอบข้างด้วยซ้ำนอกจากเสียงหัวใจตัวเอง!

“ผีหลอกกลางวันแสก ๆ ชัด ๆ… ” อาร์ทิสกัดฟัน

“ถึงกับปรากฏตัวตอนกลางวันแสก ๆ…ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับเมืองเป่าอันเป็นแน่! ลองคิดดูสิ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากการล่มสลายของนรก…”

อาร์ทิสพูดต่อ “….ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับพลัง บนโลกมนุษย์ทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว… แต่ถ้าพวกเขาเข้าร่วมกองกำลังละก็… ”

“แต่ทำไม … ผีระดับนักล่าอย่างเชาโยวเต๋าถึงสามารถอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ … และในขณะนี้ไม่มีใครคิดจะแย่งชิ้นเนื้อที่ชุ่มฉ่ำนี้ไปจากเขาอย่างเมืองเป่าอันกัน? อีกทั้งการป้องกันของมณฑลอันฮุ่ยต่ำกว่ามณฑลเสฉวนอย่างมาก … ”

“คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือมีบางอย่างที่ผิดปกติกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งมีเพียงวิญญาณแต่โบราณกาลเท่านั้นที่รู้ นี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครกล้าที่จะยึดเมืองเป่าอันด้วยตัวเอง!”

“พวกเขาต้องการจะทำอะไร?” ฉินเย่วางมือไว้ที่เอวของเขาอย่างเคยชิน เขาแน่ใจว่าไม่มีใครนอกจากเขา ที่รับรู้ถึงการปรากฏตัวของวิญญาณพลังหยินที่ลึกลับอีกแล้ว และเป็นไปได้สูงว่า…เขาอาจจะเป็นเป้าหมายของอีกฝ่าย!

แม้ว่าจะไม่มีอะไรอยู่ข้างเอวของเขาในตอนนี้ เขากลับตั้งท่าเหมือนพร้อมชักกระบี่ออกมาทันที ที่เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น

“เตรียมวิ่ง” เสียงของอาร์ทิสลอยผ่านอากาศ ก่อนที่เธอจะพูดจบ โลกอันเงียบงันที่ก็มีเสียงสะท้อนดังบางอย่างดังขึ้นชัดเจนก้องอยู่ในหูของพวกเขา

เหมือนมีบางอย่างเหยียบลงบนพื้นดิน

อย่างเช่น …เสียงรองเท้า

เขาโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อให้ได้ยินว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหน ห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตร มีเสียงเดียวกันนี้เองดังขึ้น

ตึก ตึก

แม้ว่าตอนนี้จะมีผู้คนมากมายรอบตัวเขา แต่มือและเท้าของเขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก

ราวกับว่า … มีบางอย่างกำลังมุ่งตรงมาหาเขา!

ตึก…ตึก…ตึก

เสียงฝีเท้าที่ไม่เร็วหรือช้า ฉินเย่มองไปหา แต่เขาก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ

“ข้ามองไม่เห็น!”

“เป็นธรรมดา … การที่มันสามารถแสดงตัวได้ในเวลากลางวันเช่นนี้… หมายความว่าอย่างน้อยนี้ต้องเป็นร่างอวตารของมัน! เจ้าลองใช้วิธีที่เก่าแก่ที่สุดในบันทึกนั่นดูสิ…จงก้มตัวและมองใต้หว่างขาเสีย! “

ฉินเย่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และก้มตัวลงจนหัวชนกับเบาะข้างหน้า จากนั้นเขาก็มองผ่านขาของเขา!

และนั่นเขาเกือบจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ!

พวกเขานั่งเรียงกันเป็นแถวหลังที่นั่ง

พูดตามหลักเหตุผล เขาควรมองเห็นรองเท้าเมื่อลอดใต้เก้าอี้ถึงจะถูก ทว่าเมื่อเขามองไปที่ใต้เบาะเขากลับไม่เห็นขาที่อยู่ข้างหลังเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็น …ก็คือหัวคน!

ราวกับว่ามีใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขากำลังทำสิ่งเดียวกัน และจ้องกลับมาที่ดวงตาของเขา

ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงแผ่ซ่านทั่วทุกอณูของร่างกาย และพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของหัวใจ

คนที่มองกลับมาที่เขาคือผู้หญิง

ผู้หญิงที่ตายไปแล้ว

ผมของเธอห้อยต่องแต่งไม่เรียบร้อย ใบหน้าซีดเซียวของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำเขียวช้ำม่วง สิ่งที่ควรจะมีดวงตาอยู่ในนั้นกลับลึกโบ๋ ผู้หญิงคนนั้นอ้าปากกว้างอย่างน่ากลัว มันกว้างพอที่จะเห็นหนอนสีดำคลานอย่างบ้าคลั่งจากภายใน ทั้งสองคนอยู่ห่างจากกันไม่ถึงหนึ่งคืบ!

“อึก!” เขาปิดปากพยายามรักษาท่าทางขณะที่ค่อมหลังอยู่แบบนั้น แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงก่อนหน้านี้ดังมาจากด้านข้างเขาเอง

ตึก…

ในที่สุดเสียงก็หยุดลง

และ… หยุดอยู่ข้าง ๆ เขาเสียด้วย

กึก ๆๆๆๆ … นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกที่หนาวเหน็บและน่าขนลุกในส่วนลึกของหัวใจ ฟันของเขากระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขาแทบไม่สามารถบังคับไม่ให้ตัวเองเปลี่ยนร่างเป็นยมทูตและดึงดาบปีศาจของเขาออกมาป้องกันตัว ถ้าไม่ใช่เพราะลูกบอลผนึกของเขาแกว่งไปมาเบา ๆ จากการที่อาร์ทิสกระแทกลูกบอลสะกิดเขาซ้ำ ๆ ในกระเป๋าของเขาเพื่อดึงสติอยู่ เขาก็คงทำไปแล้ว

เขาสังเกตเห็นเสื้อคลุมหลากสีพลิ้วไหวจากปลายหางตา

สิ่งนั้นเหมือนเสื้อหลากหลายสีที่เย็บเข้าด้วยกันอย่างลวก ๆ แม้ว่าจะมีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา แต่วัสดุที่ใช้นั้นดูแย่มากราวกับว่าเสื้อคลุมถูกสวมใส่มานานนับสิบปี

ฉินเย่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่เขากลับมองไม่เห็นเงาบนพื้นของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว!

หนึ่งวินาที สองวินาที … ห้าวินาที … สิบวินาที

สิบวินาทีที่ผ่านไป แต่ความรู้สึกเหมือนผ่านไปเกือบสิบปีสำหรับฉินเย่ จากนั้นในวินาทีที่สิบเอ็ด จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เย็นเฉียบและหนาวเหน็บที่ลูบไล้ศีรษะตน

บางอย่าง … กำลังหวีผมเขาเบา ๆ

นิ้วเรียวเย็นฉ่ำกำลังลูบไล้หนังศีรษะอย่างเบามือ หวีผมบนศีรษะเขาให้อย่างเรียบร้อย ฉินเย่ตัวแข็งไปในพลัน

มีใครกำลังหวีผมของเขา

และนี่คือการปรากฏตัวอย่างท้าทาย ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับตุลาการนรก และผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน!

“ อ่าา … ” เขาหายใจเข้าออกอย่างประหม่าผ่านฟันที่กระทบกัน ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงสิบเอ็ดนาที แต่ทั่วทั้งหลังของเขากลับเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ จนเสื้อชุ่มเหงื่อและแนบไปกับหลัง

หลังจากผ่านไปอีกสามวินาทีให้หลัง ทุกอย่างหายไปอย่างน่าประหลาดใจ เหมือนตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก

และเสียงของโลกรอบตัวเขาค่อย ๆ กลับมาอีกครั้ง

“ คุณสบายดีหรือเปล่า?” เมื่อเขากลับมามีสติสัมปชัญญะในที่สุดเขาก็พบว่ามีผู้ฝึกตนอีกหลายคนยืนอยู่รอบ ๆ และคอยถามเขาอย่างเป็นห่วง

“ฉันไม่เป็นไร … ” ฉินเย่หลับตาและเอนหลังพิงเก้าอี้ หัวใจของเขายังคงเต้นอย่างรุนแรงจากการเผชิญหน้าเมื่อกี้

ซู่เฟิงเหลือบมองเขาอย่างซับซ้อน แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะถาม ในขณะที่เขากำลังจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เพื่อดึงกระดาษทิชชูออกมาให้ฉินเย่ แต่ฉินเย่กลับคว้าแขนเขาไว้ก่อน

ฉินเย่กำมือของเขาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “บอกฉันทีว่าคุณค้นพบคลื่นพลังหยินที่ผิดปกติได้อย่างไร และ…คุณจะจัดการกับระดับพลังงานหยินที่สูงมากเหล่านั้นอย่างไร … ”

สายตาของซู่เฟิงสั่นเทาและเขาก็ตอบทันทีว่า “ คุณ…เมื่อกี้คุณเจออะไรอย่างนั้นเหรอ”

ฉินเย่พยักหน้าเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร

“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะมาพูดเรื่องนี้… ” ซู่เฟิงไอแห้ง ๆ

“คุณลองดูรอบ ๆ คุณสิ”

ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและพบว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา

แม้แต่คณะผู้เชี่ยวชาญบนเวทีกลางก็จ้องมองตรงมาที่เขา บางคนทำสีหน้าไม่พอใจ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเหลือบมองด้วยความสยดสยองขณะที่เขาถามซู่เฟิงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“มีบางอย่างเกิดขึ้นในขณะที่ฉันไม่รู้สึกตัวหรือเปล่า”

“คุณฉิน” ทันใดนั้นเสียงที่สับสนเล็กน้อยของโจวเซียนหลงก็ดังก้องไปทั่วทั้งจัตุรัสที่เงียบงัน

“ทำไมคุณไม่ขึ้นมาล่ะ? หรือว่ารู้สึกตื้นตันใจที่ได้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ ติดสิบอันดับแรกในปีนี้ จนก้าวขาไม่ออกกัน”

ฉินเย่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนด้วยอาการมึนงง ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง ใบหน้าของเขาถูกจับเอาไว้และฉายขึ้นหน้าจอ LED ขนาดใหญ่รวมถึงโทรทัศน์ทั้งหมดในครัวเรือนของประชาชน

“นี่คือเจ้าหน้าที่สอบสวนใช่ไหม”

“เขาหน้าตาดีใช้ได้เลยนี่… แตกต่างจากที่ฉันคิดไว้อีก”

ทันใดนั้นห้องโทรทัศน์ในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

โดยเฉพาะห้องสหภาพนักศึกษาที่เงียบลงทันทีที่เห็นภาพบนจอ

จางหลินฮวาจ้องมองไปที่หน้าจอ ด้วยร่างกายที่จู่ ๆ ก็รู้สึกอ่อนปวกเปียกความคิดแรกที่เกิดขึ้นในใจของเขาคือ นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน!

และความคิดที่สองของเขาคือ พ่อทูนหัว?

“คนคนนี้ … ” หนึ่งในสมาชิกประธานนักเรียน ที่เคยดูประวัติการศึกษาของฉินเย่อุทานด้วยความประหลาดใจ

“คนคนนี้… เป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ใช่หรือเปล่า?”

“ถามจริง?!”

“ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? เรามีเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในของเราจริงเหรอ?”

“ไม่ … ดูเหมือนจะใช่นะ ฉันจำได้ราง ๆ ว่ามาทำงานของเราเมื่อหลายวันก่อน … ”

“ นี่มันอะไรกัน… เรา… เราเคยอยู่ใกล้ชิดกับคนที่น่ากลัวแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ?”

“ เขาอยู่หอไหนกันนะ”

เสียงปรบมือดังกึกก้องรอบ ๆ ฉินเย่ จนหัวใจของเขาเต้นรัว!

เกิดอะไรขึ้น?!

ใครช่วยอธิบายให้เขาฟังที!

เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ถูกปัดเป่าหายไปจนสิ้น เมื่อต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ เขายิ้มแห้งขณะมองไปที่เวทีหลักด้วยแววตาลำบากใจ

“ตกใจจนทำตัวไม่ถูกหรือ” ผู้ว่าเกาคนนั้นสายตาเฉียบคมอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสังเกตเห็นแล้วว่าก่อนหน้านี้ฉินเย่ดูแปลกไป

ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มจาง ๆ และคิดคำพูดขึ้นอีกครั้ง “ ไม่เป็น’ไร ฉันจะอ่านอีกครั้ง”

“ทหารรักษาการณ์ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ S9527 ผลงานที่น่าประทับใจที่สุดของเขาต่อความปลอดภัยของเมืองเป่าอัน รวมถึงเขาเป็นผู้จัดการเขตไล่ล่าเก้าแห่งได้ด้วยตัวคนเดียวเมื่อสองคืนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เข้าร่วมแผนกสอบสวนพิเศษเขาขยันหมั่นเพียรและทำงานหนักมาโดยตลอด ไม่เคยหลบหน้าเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก ดังนั้นเขาจึงสมควรที่จะได้รับรางวัลอันดับสามและคะแนนรวมสองหมื่นคะแนน “

เสียงปรบมือดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเป็นการกระตุ้นให้เขาขึ้นไปบนเวที ในขณะเดียวกันสายตาหลายคู่จากที่นั่งแถวที่สามก็มาถึงร่างของ

‘ผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์’

“ใช่เขาแน่เหรอ?” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเลิกคิ้ว

“ท่าทางเหลาะแหละสิ้นดี”

“อย่าดูถูกเขานักสิ” ซู่เฟิงยังคงปรบมือ และพูดตอบโดยไม่มองหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“แล้วนายสามารถจัดการกับเขตไล่ล่าเก้าแห่งในคืนเดียวได้มั้ยล่ะ”

ชายคนนั้นปรบมือ “ใครจะรู้ว่าไหม? ไม่ว่ายังไงพอถึงเวลาที่สำนึกผู้ฝึกตนเปิดอย่างเป็นทางการ คนอื่น ๆ ที่รู้สึกแคลงใจในฝีมือของเจ้าหมอนั่นจะไม่รู้สึกคันไม้คันมืออยากท้าประลองบ้างเลยหรือยังไง และฉันคิดว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้…นายลองมองดูสิ”

ซู่เฟิงเหลือบมองไปรอบ ๆ แถวสามที่เหลือ

ผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าทุกคนที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีกำลังจ้องมองไปที่ฉินเย่ ด้วยสายตากระหายที่จะเอาชนะ!

ซู่เฟิงยักไหล่และยังคงปรบมืออย่างเหม่อลอย “ดูเหมือนว่าวันข้างหน้าของเราที่สำนักผู้ฝึกตนจะน่าสนใจทีเดียว … ”

ฉินเย่ ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่คนด้านหลังพูด

แต่มีหรือที่เขาจะสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น เพราะแม้แต่ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ถูกกดเอาไว้ลึกสุดของจิตใจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันที่เขาต้องเผชิญน่าหวาดกลัวยิ่งกว่า!

พิธีมอบรางวัล…

เขาต้องได้รับรางวัลต่อหน้าโจวเซียนหลง และกรรมการอีกสองคนของแผนกสอบสวนพิเศษ นั่นคือผู้เชี่ยวชาญระดับตุลาการนรกสามคน …

ตอนนี้เขารู้สึกคล้ายกับดวงจันทร์ที่สว่างที่สุดในหมู่ดาว ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา

ข้าควรทำอย่างไรดี?

ทันใดนั้นเสียงของโจวเซียนหลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ฉันขอเชิญเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ รหัส S9527 ขึ้นมาบนเวทีเพื่อรับรางวัลของเขาได้แล้ว!”

ฉินเย่สัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่แนบกับแผ่นหลังเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงรักษาในใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ ในขณะเดียวกันอาร์ทิสก็อุทานขึ้นมาจากในกระเป๋าของเขาว่า

“ขยันหมั่นเพียรและทำงานหนักมาโดยตลอดหรือ? ไม่เคยหลบหน้าเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากหรือ? เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขากำลังพูดถึงเจ้า รัฐบาลพวกนี้เก่งเรื่องบิดเบือนความจริงจังเลยนะ!!”

“นี่มันใช่เวลาแสดงความคิดเห็นไหมเนี่ย!” ใบหน้าของฉินเย่กระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น

เขาค่อย ๆ เดินไปที่เวทีพร้อมกับพึมพำเสียงลอดไรฟันที่กัดแน่น “ข้ารู้สึกได้ว่าท้องของข้าต้องปั่นป่วน จากการยืนอยู่ใกล้กับตุลาการแน่!”

แม้แต่เขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขากำลังพูดอะไรอยู่ในตอนนี้

มันเร็วเกินไปเหมือนพายุเฮอริเคนที่โหมกระหน่ำ เขาไม่มีที่ให้วิ่งหนี หรือหลบซ่อนได้เลย…

“ให้ตาย เจ้าเป็นคนสอนเจ้ามาโดยตลอดเชียวนะ เจ้าเคยเคารพข้าหรือไม่!” อาร์ทิส ร้องด้วยความโกรธ จากนั้นเธอก็ลดระดับเสียงลงเล็กน้อย

“ชิ้นส่วนของตราจ้าวนรกเป็นสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอดที่สุดในบรรดาสิ่งของทั้งหมดจากนรก มนุษย์ไม่ควรที่จะมองทะลุร่างมนุษย์ของเจ้าได้ นอกจากนี้เจ้ายังมีหลักฐานยืนยันตัวตน … ”

อย่างน้อยก็ช่วยให้คำตอบให้มันชัดเจนกว่านี้ได้ไหม!

ฉินเย่ก้าวไปอย่างช้า ๆ เมื่อมองขึ้นไปบนเวทีกลาง ก็เห็นสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองเขากลับมาเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาราวกับกำลังอดทนไม่ให้ตัวเองสบถออกมาอย่างหัวเสีย จากความเร็วในการก้าวเดินของเด็กหนุ่มที่เร็วกว่าเต่าคลานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทุกคนอาจเข้าใจผิด ข้าไม่ได้อยากทำตัวเด่นจริง ๆ นะ!!

เขาคือยมทูตที่กำลังขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัลจากแผนกสอบสวนพิเศษของมนุษย์ ต่อหน้าผู้ชมกว่าสามล้านคน…ทำไม จู่ ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่า ในไม่ช้าฮัสกี้กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นจ่าฝูงของหมาป่ากันนะ…