บรรยากาศระหว่างทานอาหารค่ำในวันนี้ค่อนข้างแปลกออกไปจากเดิม ใบหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่นั้นเต็มไปด้วยความกังวลหลังจากพูดคุยกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทว่าใบหน้าของเธอกลับดูสงบนิ่งเหมือนปกติ ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอำนาจมากที่สุดในกองพันที่ 3 อย่างผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ผู้ซึ่งมักจะมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับผู้บัญชาการกองพันทหารหญิงที่งดงามคนนั้นกลับนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเธอ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยวางแผนอะไรบางอย่างกับผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้มอบตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอให้กับเซียวหรูเซ่ออย่างไม่มีปริปากคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว แทนที่โจวเหว่ยชิงจะเข้าร่วมในบทสนทนาครั้งนี้ด้วย เขากลับไปนั่งหลบอยู่ที่มุมห้องและเริ่มสปาวามอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แทน แน่นอนว่าอาหารจากโรงอาหารทหารนั้นมีรสชาติแย่กว่าอาหารที่เขากินที่บ้านอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าพวกมันก็ให้รสชาติและความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งเคยใช้เวลาทั้งหมดในวัยเด็กไปกับการอาศัยอยู่ป่าเขาที่สลับซับซ้อน ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อ แม้กระทั่งหญ้าและเปลือกไม้เด็กหนุ่มก็กินมาแล้วเพื่อความอยู่รอด สำหรับโจวเหว่ยชิง แค่มีอะไรให้เติมกระเพาะก็ถือว่าได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดีแล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่แม่ทัพโจวเริ่มฝึกตน ประโยคแรกที่เขาพูดคือ “ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือที่ไหน จงอย่าเลือกกินหรือกินทิ้งกินขว้าง”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็กลับไปที่กระโจมของเขา หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาวูบวาบเกิดขึ้น น่าแปลกที่กระโจมของเขาไม่มีการขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา ในมือของเธอถือแผนที่หนังแกะมาหนึ่งอัน
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือการที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาแสดงท่าทีเยือกเย็นเงียบขรึมอีกครั้ง นั่นช่างดูแตกต่างจากท่าทางอ่อนโยนที่เธอแสดงออกมาในตอนบ่ายอย่างมาก
“เจ้ามัวมองอะไร? ทำไมยังไม่มานี่อีก?” เมื่อเห็นท่าทีเซื่องซึมของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พบว่ามันตลกมาก แต่เธอก็ยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นบนใบหน้าของเธอเอาไว้
โจวเหว่ยชิงเดินไปยังด้านข้างของเธอก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ “ปิงเอ๋อร์ เจ้าความจำเสื่อมเหรอ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยคิดถึงสิ่งที่โจวเว่ยชิงอาจจะพูดออกมาเป็นลำดับแรกเมื่อเจอกันอีกครั้ง แต่เธอกลับไม่คิดว่าเขาจะถามออกมาแบบนี้ ในที่สุดเธอก็ไม่ทนไม่ไหวอีกต่อไปและหลุดหัวเราะคิกคักออกมา “เจ้าโง่”
“เจ้าตั้งใจหลอกข้าอย่างนั้นเหรอ?” โจวเหว่ยชิงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันที เขาเอื้อมมือออกไปอย่างมีเลศนัยก่อนจะกระโจนเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์
“อย่าขยับ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เอ่อ…” โจวเหว่ยชิงหยุดตัวเองไว้ได้ทันในขณะที่ยังอยู่ในท่านั้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโหดเหี้ยม “เจ้ายังอยู่ในระหว่างการทดสอบของข้า ดังนั้นเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องข้าโดยพละการ” ขณะที่เธอพูด มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“ปิงเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนโหดร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!” โจวเหว่ยชิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเขาอีกครั้ง
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงเย็นๆ ในลำคอและพูดว่า “เจ้าพรากสิ่งที่มีค่าที่สุดของข้าไปแล้ว เงาแค้นในใจของข้ายังคงฝังอยู่ลึกมาก เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าข้ายังต้องทดสอบเจ้าอีกนาน”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ทดสอบ? แน่นอนว่าเจ้าต้องทดสอบอยู่แล้ว มาเริ่มทดสอบในเรื่องที่เหมาะสมที่สุดกันก่อนเถอะ” เขาทำท่าทางสบายๆ ไม่กังวลแม้แต่น้อย อย่างน้อยตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เต็มใจที่จะให้โอกาสเด็กหนุ่มได้รับการทดสอบ นั่นเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาครั้งยิ่งใหญ่ เขาสนุกกับความรู้สึกขณะไล่ตามเธอมากๆ อันที่จริงโจวเหว่ยชิงค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว เนื่องจากตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองได้พัฒนาขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำลายมันลงด้วยความใจร้อนของตัวเอง
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรอกตาก่อนจะพูดว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าคนปัจจุบันดูอันตรายมากกว่าตอนที่เจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ไร้ยางอายเสียอีก”
โจวเหว่ยชิงกระพริบตาปริบๆ “งั้นข้าควรจะกลับไปเป็นคนเดิมดีไหม?”
“หึ! ไม่ อย่าทำแบบนั้นจะดีกว่า!” เธอตอบกลับ ขณะที่เธอพูด เธอก็คลี่แผนที่ในมือของเธอลงบนโต๊ะ “อ้วนน้อย ดูนะ พวกเราอยู่ที่นี่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่
ขณะที่เธอขยับนิ้วมือ เธอก็พูดต่อไปว่า “ถ้าเราเดินไปข้างหน้าตามเส้นทางนี้จะมีเนินเขาซึ่งปกคลุมด้วยพุ่มไม้ใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก ภูมิประเทศนั้นค่อนข้างซับซ้อนและยังมีอสูรสวรรค์อาศัยอยู่ด้วย อันที่จริงมีข่าวลือว่ามีอสูรสวรรค์ระดับเทวะปรากฎตัวที่นั่น ด้วยเหตุนี้ บริเวณเนินเขาตรงนี้จึงกลายเป็นปราการธรรมชาติกั้นระหว่างสองอาณาจักรไปโดยปริยาย
เพื่อให้เราสามารถเข้าสู่อาณาจักรคาลิเซได้ มี 3 เส้นทางที่เป็นไปได้คือ ถนนหลักเส้นนี้และเส้นทางเล็กๆ อีก 2 เส้นตรงนี้ กำลังทหารส่วนใหญ่ของกรมทหารทั้ง 3 กรมของเราเน้นเฝ้ารักษาการณ์บริเวณถนนสายหลักเป็นหลัก ในขณะที่เส้นทางเล็กๆ แต่ละเส้นก็จะมีกองพัน 2 กองคอยดูแลตามลำดับ เนื่องจากระยะห่างจากค่ายไม่ไกลนัก หากกองทหารข้าศึกปรากฏตัวขึ้น กำลังเสริมก็จะสามารถไปถึงได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด”
“อาณาจักรคาลิเซมีกองกำลังทหารประมาณ 4 กรมประจำการอยู่ที่นี่ ซึ่งจำนวนทหารทั้งหมดของฝ่ายนั้นมีมากกว่าเรา นอกจากนี้ หากไม่นับหน่วยธนูของเราแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยอื่นๆ ของพวกเขานั้นเหนือกว่าพวกเรามาก กองกำลังทหารทั้ง 4 กรมนั้นประจำการอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็มีกลยุทธ์คล้ายกับพวกเรานั่นก็คือมีการลาดตระเวนรอบๆ เนินเขาและเส้นทางบริเวณนั้นเป็นประจำ หากเราต้องการผ่านพวกนั้นไป ข้าคิดว่าเราควรจะใช้เส้นทางเล็กๆ เพื่อลักลอบเข้าไปจะเป็นการดีที่สุด ในเวลากลางคืนพวกเราสามารถพรางตัวและแอบเข้าไปได้”
โจวเหว่ยชิงมองตามแผนอย่างระมัดระวัง มือของเขาขยับไปมาราวกับว่ากำลังคำนวณบางอย่างอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ นั่นสร้างความประหลาดใจให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างมาก
“อ้วนน้อย เจ้าทำอะไรอยู่?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้หล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่เขาก็สูงสง่าและมีรูปร่างแข็งแรงสุขภาพดี ไหล่กว้าง แผ่นหลังก็ดูองอาจ ร่างกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้ใบหน้าซื่อๆ ของเด็กหนุ่มอาจจะดูธรรมดามาก แต่มันก็ดูสบายตาไปอีกแบบ ในขณะที่เขากำลังจดจ่อและจริงจังกับบางอย่าง โจวเหว่ยชิงช่างดูหนักแน่นและเชื่อถือได้ ก็เหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ว่า ผู้ชายจะดูดีที่สุดก็ต่อเมื่อพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกโกรธแค้นที่ฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ถูกความอ่อนโยนของเขาลบล้างไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นในวันนี้และเวลานี้ เธอจึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
“รอสักครู่” โจวเหว่ยชิงตอบกลับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเรียบง่ายในขณะที่เขายังคงชี้นิ้ววุ่นวายอะไรกับแผนที่อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนที่จะหลับตาลงราวกับว่ากำลังกรุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ ในที่สุดเขาก็พูดกับเธอ “ไปกันเถอะ เหมือนกับที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราไปตามเส้นทางเล็กๆ นี่”
“อืม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับคำ พวกเขาทั้ง 2 คนจึงพาดธนูอุษาม่วงไว้ที่หลัง แขวนแล่งธนูอีก 2 อันที่บรรจุลูกธนู 100 ลูกไว้ ก่อนจะเดินออกจากกระโจม
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้สถานะผู้บัญชาการกองพันของเธอเป็นข้ออ้างในการออกลาดตระเวนเวลากลางคืน เธอเดินวนเวียนอยู่รอบค่ายครั้งหนึ่งก่อนจะแอบย่องออกมาเงียบๆ พร้อมกับโจวเหว่ยชิง
เมื่อพวกเขาออกจากค่ายทหารแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าการรักษาความปลอดภัยของค่ายทหารนั้นเข้มงวดเพียงใด ตลอดทางนั้นมีป้อมยามหลายแห่งที่มองเห็นได้ชัดและมีจำนวนทหารรักษาการณ์ที่ซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ด้วยสถานะของเธอในฐานะผู้บัญชาการกองพัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงแค่บอกกับทหารยามว่าเธอกำลังตรวจสอบการป้องกัน นั่นทำให้ทั้งคู่ยอมให้เธอผ่านด่านป้องกันเหล่านั้นมาได้อย่างง่ายดาย หลังจากทำเช่นนั้น พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางเล็กๆ เส้นทางหนึ่งที่ทอดตรงไปยังค่ายทหารที่ใกล้ที่สุดของอาณาจักรคาลิเซ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเขาก็หยุดเดิน “ด้านหน้าต่อจากนี้ไม่มีป้อมยามรักษาการณ์ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม” หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดจบ เธอก็เริ่มถอดชุดเกราะออกอย่างไม่คาดคิด
โจวเหว่ยชิงกะพริบตา “ปิงเอ๋อร์ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง…”
“อะไรไม่ถูกต้อง?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามขณะที่ถอดเกราะและหมวกของเธอออก เธอมองเด็กหนุ่มอย่างสงสัยก่อนจะพบว่าอ้วนน้อยโจวกำลังพันไม้พันมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกัน จากนั้นเดินบิดไปมาเป็นวงกลม เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงระเรื่อก่อนจะพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ พวกเราจะข้ามขั้นเร็วเกินไปหรือไม่? นอกจากนี้ ตอนนี้เรายังอยู่ในป่าอีก ถ้าพวกเรา ‘การปฏิบัติการภาคสนาม’ อาจจะเป็นหวัดเอาได้นะ”
เงาดำสามเส้นปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทันที เธอพูดด้วยความโกรธปนอาย “สมองของเจ้ามัวแต่คิดอะไรอยู่! เก็บความคิดสกปรกของเจ้าไว้ซะ เราจะแอบมุดเข้าไปค่ายของศัตรูและบุกจู่โจมได้ยังไงถ้าเราสวมชุดเกราะ?”
“เอ๊ะ…” โจวเหว่ยชิงเงยหัวขึ้นแล้วพบว่าเธอถอดชุดเกราะออกไปแล้ว เผยให้เห็นชุดรัดรูปสีดำที่อยู่ข้างใน
……………………………………………………….