เสียงของหนานกงเยี่ย เหมือนน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาสูง ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
พนักงานทุกคนต่างก็หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง พวกเขากำลังรอดูว่าเธอจะทำยังไงต่อ ในบริษัทหนานกงมีข่าวลือเกี่ยวกับหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงมานานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันและไม่มีใครกล้าคาดเดาด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงทำให้ทุกคนสงสัยมาก
แต่ว่า เหลิ่งรั่วปิงกลับอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน เธอไม่ได้ทำเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ คนในบริษัทต่างก็คิดว่าเธอคงจะรีบยืนขึ้น แล้ววิ่งไปตักอาหารมาให้หนานกงเยี่ย แต่ในทางกลับกัน ใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงไร้ซึ่งรอยยิ้ม เธอนั่งกินข้าวของตนเองต่อ
เหมือนเวลาหยุดเอาไว้
สีหน้าของก่วนอวี้เริ่มไม่สู้ดี เวลานี้คุณชายเยี่ยตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก! ถ้าเขายังตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้ เช่นนั้นความซวยต้องมาเยือนทุกคนแล้ว
หนานกงเยี่ยเองก็อยู่เหนือความคาดเหมายของทุกคน เขาไม่ได้ทำอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ ไม่ได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่กลับค่อยๆ โน้มตัวลงพิงเก้าอี้ มองดูเหลิ่งรั่วปิ่งอย่างมีเลศนัย จากนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง “ไปตักอาหารมาให้ผม”
เวลานี้ เหลิ่งรั่วปิงได้ตักอาหารคำสุดท้ายเข้าปากแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นแล้วคลายยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเธอมีสง่าเหมือนนางฟ้าในภาพวาด เสียงของเธอนั้นหวานเหมือนน้ำผึ้ง “เลขาก่วนคะ คุณหนานกงสั่งให้คุณไปตักอาหารสองรอบแล้วนะคะ คุณไม่ได้ยินหรอคะ”
หา? ก่วนอวี้ที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ตอนนี้เขามึนงงไปทันที จากนั้นก็เข้าใจทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ก่วนอวี้เล่นไปตามน้ำ “ขอโทษด้วยครับคุณชายเยี่ย ผมใจลอยไปหน่อย รีบไปตักให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
พูดจบ ก่วนอวี้ก็รีบวิ่งไปตักอาหารทันที พ่อครัวที่สวมชุดพ่อครัวสีขาวเหมือนใจลอยออกไป รีบทำตามคำสั่งของก่วนอวี้ในทันที พ่อครัวตักอาหารช้อนแล้วช้อนเล่า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก่วนอวี้ยกถาดอาหารกลับมา เขาวางมันไว้บนโต๊ะแล้วพูดอย่างนอบน้อม “คุณชายเยี่ย เชิญรับประทานได้เลยครับ” จากนั้น เขาก็ไปกินมื้อเที่ยงของตนเองบนโต๊ะที่อยู่ไกลออกไป
หนานกงเยี่ยไม่ยอมเริ่มทานอาหาร เขาเอาแต่นั่งอยู่ท่าเดิม มองดูเหลิ่งรั่วปิงเงียบๆ นัยน์ตาของเขาฉายรอยยิ้มกว้าง ผู้หญิงคนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งน่าสนใจ ทุกการกระทำของเธอสะกดใจเขาเข้าเต็มๆ เธอขัดคำสั่งเขา ทั้งยังทำตัวแข็งกระด้าง แต่เขากลับพอใจมากและยินดีที่จะลิ้มลองความรู้สึกนี้
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหาร เขาที่เพิ่งกินมื้อเที่ยงได้แค่คำเดียว เสียงของเหลิ่งรั่วปิงก็ดังขึ้นข้างหูของเขา “คุณหนานกงค่อยๆ กินนะคะ ฉันขอตัวก่อน”
เหลิ่งรั่วปิงทิ้งกระดาษทิชชู่ที่เธอใช้เช็ดปากลงถังขยะ จากนั้นยิ้มอย่างสง่างาม เธอเหมือนนกนางแอ่นที่กำลังโบยบินในฤดูใบไม้ผลิ เหลิ่งรั่วปิงเดินออกไปจากโรงอาหาร
ตะเกียบของหนานกงเยี่ยยังคงคาเอาไว้ที่ปาก ไม่ว่ายังไงเขาก็กินข้าวไม่ลงแล้ว การที่เขามากินข้าวในโรงอาหารเป็นเรื่องธรรมดา? เธอกำลังคิดอะไรอยู่ คิดว่าเขาอยากมากินข้าวที่โรงอาหารมากหรือไง
ผ่านไปห้านาที หนานกงเยี่ยทิ้งตะเกียบลงพื้น เขายืนขึ้นแล้วปรายตามองก่วนอวี้ “กินอิ่มหรือยัง”
คำพูดที่สุดแสนจะธรรมดา แต่กลับเย็นยะเยือกจนทำให้ก่วนอวี้แทบสำลักอาหาร เขาอิ่มหรือยัง เขาพึ่งกินข้าวเข้าไปสองคำ เขาจะอิ่มหรอ เขาอิ่มแล้ว! ถ้ายังไม่อิ่มก็ตายแน่ ดังนั้นไม่ว่าจะตามทฤษฎีหรือตามข้อปฏิบัติ เขาก็ต้องอิ่มอย่างไม่ลังเล!
ก่วนอวี้มองดูอาหารที่ยังไม่ทันได้กิน เขารีบลุกขึ้นยืน “อิ่มแล้วครับ คุณชายเยี่ย”
สีหน้าของหนานกงเยี่ยหนาวสะท้านเหมือนเกล็ดหิมะ แววตาของเขาเย็นยะเยือกเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง เขากวาดตามองก่วนอวี้ แล้วเดินออกไปจากโรงอาหาร ก่วนอวี้รีบเดินตามเขาออกไป ดูท่าชีวิตในวันนี้ของเขาคงไม่ดีแน่
หลังจากที่หนานกงเยี่ยออกไป โรงอาหารก็กลับมาครึกครื้นเหมือนเดิม พนักงานรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ จากนั้นก็เริ่มซุบซิบนินทากัน พวกเขาคิดคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่คนที่อยู่ไม่เป็นสุขที่สุดก็คือผู้จัดการของโรงอาหาร เขาตกใจจนขาอ่อนไร้เรี่ยวแรง ความคิดของเขาคือ คุณชายเยี่ยมาตรวจโรงอาหาร เขาสั่งอาหารแต่กลับไม่กินแม้แต่คำเดียว ทั้งยังเดินออกไปด้วยความโมโห เห็นได้ชัดว่าหนานกงเยี่ยไม่พอใจกับบริการในโรงอาหาร เขาคงต้องอบรมพ่อครัวในโรงอาหารเสียใหม่
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่านับวันหนานกงเยี่ยก็ยิ่งบ้า เขาเป็นคนหยิ่งยโสและเย็นชาไม่ใช่หรอ ทำไมวันนี้ถึงปัญญาอ่อนแบบนี้ สั่งให้เธอไปตักอาหารให้เขาต่อหน้าพนักงาน เหลิ่งรั่วปิงไม่เข้าใจความคิดของเขาจริงๆ เวลานี้เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้ เธอเหยียบรองเท้าส้นสูงเสียงดัง แล้วสาวเท้าใหญ่ๆ เดินเข้าไปในลิฟท์ กดไปยังชั้นห้องทำงานของตนเอง เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง เธอไม่อยากนึกถึงการกระทำสิ้นคิดของเขา
หนานกงเยี่ยที่ถูกทำให้โมโหกลับมา แน่นอนว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ดีมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินข้าว แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้ว กลับมาถึงห้องทำงาน หนานกงเยี่ยกดดูกล้องวงจรปิด ภาพในกล้องวงจรปิดเวลานี้เหลิ่งรั่วปิงกำลังเริ่มทำงานอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้า และเริ่มตั้งใจทำงานของตนเอง
ก่วนอวี้ที่น่าสงสาร เขาเริ่มต้นการทำงานช่วงบ่ายด้วยความหิวโหย คนที่กำลังมีความรัก แค่ดื่มน้ำก็อิ่มใจอิ่มกายแล้ว กวนอวี้ที่น่าสงสารตั้งแต่เล็กจนโตเขายังไม่เคยรู้เลยว่ารสชาติของผู้หญิงเป็นยังไง หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาคอยติดตามรับใช้หนานกงเยี่ยอย่างขยันขันแข็ง ก่วนอวี้งานยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาจึงไม่มีเวลาออกเดท ต่อให้ไม่ยุ่ง เขาก็ไม่มีวันคบกับผู้หญิงคนไหน เพราะคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดคืออวี้หลานซี น่าเสียดาย ความรักของเขาเป็นได้เพียงแค่การแอบรักข้างเดียว เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ชอบเธอ
ประมาณบ่ายสามโมง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็รู้สึกหิวแล้ว หนานกงเยี่ยบอกให้ก่วนอวี้ไปสั่งอาหารจากร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ขณะที่ก่วนอวี้กำลังจะสั่งอาหารนั้น เขาก็พูดขึ้น “สั่งสองชุด”
“?” ก่วนอวี้ไม่เข้าใจ ทำไมต้องสั่งสองชุด
“ส่งไปให้เธอหนึ่งชุด” หนานกงเยี่ยจับตาดูเหลิ่งรั่วปิงมาโดยตลอด เธอตั้งใจทำงานมาก เหลิ่งรั่วปิงทำงานโดยไม่หยุดพัก เขาเห็นว่าตอนเที่ยงเธอเองก็ไม่ได้กินอะไรมากมาย จึงคิดว่าเวลานี้เหลิ่งรั่วปิงน่าจะหิวแล้ว
ก่วนอวี้เข้าใจขึ้นมาทันที เขาหมุนตัวเดินออกไป อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอยู่ในลิฟท์ คุณชายเยี่ยของเขาตกหลุมรักคุณเหลิ่งแล้ว คุณชายเยี่ยไม่เคยเป็นห่วงใครหน้าไหนมาก่อน
ก่วนอวี้ดีใจที่หนานกงเยี่ยเจอคนที่ตนเองรัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานี้หนานกงเยี่ยเหนื่อยมาก เขาได้รับแรงกดดันจากธุรกิจของครอบครัว ทำให้หลายปีที่ผ่านมานี้เขาแทบจะไม่ยิ้มเลย ทว่านับตั้งแต่เจอกับเหลิ่งรั่วปิง ก่วนอวี้รู้สึกว่าบอสของตนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
น่าเสียดายที่ความรักในครั้งนี้ไม่สมบูรณ์แบบ การคบกันในครั้งนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงหนานกงเยี่ยก็เป็นคนยอมเสียสละทุกอย่าง ขณะที่หนานกงเยี่ยกำลังเสียใจและคิดมาก ทว่าทางด้านเหลิ่งรั่วปิงกลับสุขสบาย ตอนที่อยู่ด้วยกันเธอเองก็ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ หลังจากที่เลิกกันเธอก็ดูไม่เสียใจเท่าไหร่ด้วย เหลิ่งรั่วปิงมาและไปเหมือนผีเสื้อ เธอไม่ทิ้งร่องรอยและความรู้สึกอะไรเอาไว้เลย
เฮ้อ คุณชายเยี่ยเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่ เขาสามารถกำหนดความเป็นความตายของผู้คนนับไม่ถ้วน เขาเย็นชาและสูงส่งเหมือนราชา ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมเหลิ่งรั่วปิงได้ หัวใจของเธอยากที่จะครอบครอง
ถึงแม้ก่วนอวี้จะรู้สึกเศร้า แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพราะถึงอย่างไรหนานกงเยี่ยก็ยังคงเป็นราชา ที่ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเรื่องของหัวใจ
เหลิ่งรั่วปิงเอาแต่ทำงาน ผู้ช่วยทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ พวกเธอตั้งใจทำงานที่เหลิ่งรั่วปิงสั่งทุกงาน ภายในห้องทำงานจึงอยู่ในความเงียบ
การมาของก่วนอวี้ เป็นการทำลายความเงียบ
เมื่อผู้ช่วยทั้งสองคนเห็นก่วนอวี้เดินเข้ามา พวกเธอก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพ
ก่วนอวี้ดูเข้าถึงง่ายขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าให้ผู้ช่วยทั้งสองคน จากนั้นคลายยิ้มแล้วเดินไปหาเหลิ่งรั่วปิง ก่วนอวี้วางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะของเหลิ่งรั่วปิง “เป็นคำสั่งของคุณชายเยี่ยครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นมองก่วนอวี้ จากนั้นปรายตามองกล่องอาหารหรูหราพวกนั้น มีลมเบาๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจของเธอ มันเหมือนกับการกลับมาของฤดูใบไม้ร่วง เธอนึกถึงคำพูดของหนานกงเยี่ยในตอนเช้า “กินให้เยอะๆ เดี๋ยวผมเลี้ยงจนอ้วนจะได้เอากลับไปที่วิลล่าหย่าเก๋อ”
เหลิ่งรั่วปิงสบถด่าในใจ หนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว!
ก่วนอวี้นึกว่าเหลิ่งรั่วปิงจะซึ้งใจ ทว่าใครจะไปคิดสีหน้าของเธอกลับ…ทำให้คนเสียแรง เธอกำลังโมโห? คุณชายเยี่ยอุตส่าห์หวังดี อีกทั้งยังคอยมองดูเธออยู่ตลอดเวลา ถ้าเหลิ่งรั่วปิงพูดอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมา เย็นนี้ชีวิตของเขาคงแย่แน่ๆ
ด้วยเหตุนี้ ก่วนอวี้จึงรีบคลายยิ้ม “คุณเหลิ่งครับ เป็นความหวังดีของคุณชายเยี่ยครับ”
หวังดี? หึ อยากจะเลี้ยงเธอให้อ้วน เขาจะได้ดื่มดำกับเธอนะสิไม่ว่า?
เหลิ่งรั่วปิงสูดลมหายใจเข้า เธอยังคงยิ้มอย่างสง่างาม “รบกวนบอกคุณหนานกงด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับความหวังดี”
“ฟู่!” ก่วนอวี้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หลังจากที่ก่วนอวี้ออกไปจากห้องทำงาน เหลิ่งรั่วปิงดันกล่องอาหารไปด้านข้าง จากนั้นบอกกับผู้ช่วยทั้งสองคน “คุณหนานกงเป็นห่วงพนักงาน ฉันไม่หิว พวกเธอเอาไปกินเถอะ”
ผู้ช่วยทั้งสองคนดีใจมาก อาหารราคาสูงแบบนี้พวกเธอไม่เคยกินมาก่อน “คุณเหลิ่ง คุณใจมากเลยค่ะ!”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ เธอไม่แม้แต่จะชายตามองกล่องอาหาร จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ผู้ช่วยทั้งสองคนกินอย่างเอร็ดอร่อย
หนานกงเยี่ยที่กำลังกินอาหารอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตอนแรกเขายังอารมณ์ดี แต่จู่ๆ ก็นิ่งไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโมโห ผู้หญิงคนนี้ ทำร้ายจิตใจคนเก่งจริงๆ เขาอุตส่าห์หวังดีสั่งอาหารให้เธอ แต่เธอกลับไม่สนใจ โยนให้คนอื่นกินโดยไม่แม้แต่จะมอง คิดว่าเขาไม่มีหัวใจหรือไง
ตอนแรกหนานกงเยี่ยรู้สึกหิวมาก เขาจึงอยากจะกินข้าว แต่ตอนนี้เขาโมโหจนอิ่มไปหมดแล้ว หนานกงเยี่ยโยนตะเกียบทิ้ง จากนั้นต่อสายไปยังห้องทำงานของเหลิ่งรั่วปิง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาหาผมที่ห้อง”
เหลิ่งรั่วปิงเพิ่งวาดเส้นตรงไปสองเส้น หนานกงเยี่ยก็โทรเข้ามา เขาพูดสั้นๆ เพียงแค่ห้าคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็วางสายไป เธอโมโหจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว หนานกงเยี่ยประสาทจริงๆ
แต่ว่า เธอจะพอใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงยังไงเขาก็เป็นเจ้านาย ส่วนเธอก็เป็นแค่พนักงาน ในเมื่อเขาเรียกเธอ เธอก็ต้องไปหา
ด้วยเหตนี้ เหลิ่งรั่วปิงสบถคำด่าในใจสั้นๆ สองคำประสาท แล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน
เธอยืนอยู่ตรงประตูห้องทำงานของหนานกงเยี่ย เคาะประตูสามครั้ง หลังจากได้รับอนุญาตก็เดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของหนานกงเยี่ย เขานั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ ท่าทีของเขาดูเกียจคร้านมาก ทว่านัยน์ตาของเขากลับเย็นยะเยือกเหมือนคมมีด ตอนที่เห็นเธอเดินเข้ามา เขาดูโมโหมากกว่าเดิม
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว เธอยืนตัวตรง แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณหนานกง เรียกฉันมาพบมีธุระอะไรหรอคะ”
หนานกงเยี่ยหมุนปากกาในมือเล่น เขามองไปที่หน้าของเหลิ่งรั่วปิง พูดออกคำสั่ง “มานี่!”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ขยับ เธอพูดอย่างรักษาระยะห่าง “ยืนอยู่ตรงนี้ฉันก็ได้ยินชัดเจนดีค่ะ”
หนานกงเยี่ยแสยะยิ้ม หยิบเอกสารออกมา “มาดูเอกสารฉบับนี้หน่อย”
เหลิ่งรั่วปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาเขา ทว่าเมื่อเธอเดินเข้าใกล้ เขากลับคว้าตัวเธอเข้าไปกอด ตามด้วยจูบเธออย่างเอาแต่ใจ