ผู้อพยพคนอื่นในเมืองต่างยังไม่รู้เรื่องราว กำแพงชั้นนอกของโรงเรียนไม่ได้สูงนัก เป็นเพียงกำแพงดินสูงราวหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ถ้ามีคนยืนเขย่งเท้าเอาหน่อย ก็มองข้ามไปได้ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็ทำให้สะดุ้งเฮือกไป ที่สวนหลังโรงเรียนมีศพสองร่างอยู่บนพื้น ในบ้านเต็มไปด้วยแอ่งโลหิต

ผ่านมาหลายปีมากแล้ว เป็นครั้งแรกที่มีคนถูกฆ่าในโรงเรียน!

สถานการณ์แปลกประหลาดพิกลจนเหยียนลิ่วหยวนเป็นห่วงเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่าเดิม

หวังฉงหยางวิ่งกลับเข้าป้อมไป ระหว่างทาง เขาก้มลงอ่านเอกสารแสดงตน ก่อนจะเห็นข้อความข้างในระบุว่า “ป้อมปราการ 178 จางจิ่งหลิน”

หวังฉงหยางสะอึก เขาไม่เคยเห็นเอกสารระบุตัวตนลักษณะแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าเอกสารสมควรระบุเพียงว่าเป็นใคร ทำอาชีพอะไรหรอกหรือ อาจจะบอกวันเกิด รูปภาพ แล้วก็ข้อมูลคร่าวๆ ว่าเป็นใคร

แต่เอกสารระบุตัวตนนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เอกสารระบุทันทีว่าเป็นใครมาจากไหน ตอนนี้หวังฉงหยางนึกไปถึงข่าวลือคนผู้หนึ่งแห่งป้อมปราการ 178 ที่สูญหายไปกว่าสิบปี เขาพลันเร่งรีบมากขึ้น

ทว่ายศของหวังฉงหยางไม่ได้สูงมาก เขาเลยไม่มั่นใจเท่าไรว่าการคาดการณ์ของเขาถูกต้องไหม

หวังฉงหยางไม่ได้ไปยังที่พักของเหล่าผู้ปกครอง แต่ขับรถไปยังที่พักของหลัวหลานโดยตรง จริงอยู่ทุกคนรู้ว่าหลัวหลานเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ทว่ายามในป้อมปราการเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ทุกคนก็จะมุ่งไปหาเขาก่อน แม้แต่ผู้ปกครองป้อมปราการก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้

ที่พักของหลัวหลานตั้งอยู่ในกลางป้อมปราการพอดิบพอดี ตั้งแต่หวังฉงหยางเข้าป้อมปราการมา กว่าจะถึงที่นั่นก็ปาไปเกือบชั่วโมง นี่ขนาดตอนกลางคืนเงียบสงัด ไม่มีคนเดินถนน ไม่มีรถเลยด้วย

ในที่สุดเขาก็มาถึงที่พักของหลัวหลาน หรือจะให้ชัดเจนกว่านั้น ก็คือฐานทัพทหารขนาดใหญ่

หน้าฐานมีอนุสรณ์หินตั้งตระหง่าน มีตัวอักษรสีแดงสลักไว้ ‘เขตทหาร’

มีกองพลน้อยของสมาคมในเครื่องแบบสีดำคอยรักษาความปลอดภัยหน้าทางเข้า ทุกคนต่างมีกระสุนจริงพร้อมยิงอยู่ตลอด ก่อนที่รถของหวังฉงหยางจะเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นว่ามีแสงสปอตไลต์ส่องมาจากกำแพงสูงของเขตทหาร

หวังฉงยางชูเอกสารแสดงตนของตนเองที่หน้าทางเข้า “หวังฉงหยางจากกองกำลังส่วนตัว มีเรื่องด่วนแจ้งเถ้าแก่หลัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับป้อมปราการ 178”

ตอนนี้หวังฉงหยางสัมผัสได้ว่ามีปืนไรเฟิลไม่ต่ำกว่าสิบกระบอกชี้มาที่ตนอยู่ ทหารของสมาคมนายหนึ่งเดินมาหาเขา พร้อมพูดอย่างไม่แยแสว่า “เอกสารแสดงตน!”

ทหารกองกำลังส่วนตัวพบทหารของสมาคมย่อมต่ำกว่า ดังนั้นแม้หวังฉงหยางจะถูกปืนชี้ใส่แบบนี้ เขาก็ไม่กล้าปริปากเอ่ยอะไร

หวังฉงหยางส่งเอกสารของตนและจางจิ่งหลินไป ทหารนายที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกลับเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นสิบนาทีก็ออกมาใหม่ “ตัวตนได้รับการยืนยันแล้ว เข้าไปได้”

ทางเข้าหลักของฐานทัพเปิดให้หวังฉงหยางเข้าไปในที่สุด

แม้ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งจะนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ทั้งวินัยไม่ขาด พลังรบก็สูงยิ่ง ทว่าก่อนหน้านี้ยังไม่มีกฎอัยการศึกเช่นนี้ เป็นเพราะว่ามีผู้มีพลังพิเศษคิดฆ่าผู้ปกครองป้อม หลายองค์กรจึงประกาศกฎอัยการศึกในบรรดาป้อมปราการ

หลังจากหวังฉงหยางเข้าไป ทั้งฐานทัพก็เปิดไฟสว่างโร่ เสียงเดินทัพดังออกมาชัดเจน ชาวป้อมปราการที่อาศัยอยู่ใกล้ฐานทัพพลันสะดุ้งตื่น พวกเขาไม่รู้ว่าในฐานทัพเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงเดินขบวนนั้นย่อมเกิดจากการรวมพลของกองพลน้อย

รถออฟโรดสีดำขับออกจากป้อมปราการ ตามด้วยรถบรรทุกทหารอีกสามคัน ซึ่งมีทหารสามหน่วยอยู่บนนั้น

“พวกเขาจะไปทำสงครามเหรอ” ชาวป้อมปราการเห็นภาพเช่นนี้ผ่านหน้าต่างบ้าน มีคนผู้หนึ่งโพล่งออกมา

“สมาคมตระกูลชิ่งจะไปก่อสงครามกับใครน่ะ แต่ถ้าจะไปรบจริง ก็ไม่น่าเคลื่อนพลไปแค่นั้นมั้ง” มีคนว่าอย่างไม่เข้าใจ “เดาว่าเถ้าแก่หลัวคงอยู่ในรถออฟโรดมั้ง คนผู้นี้ไม่ออกจากฐานทัพมาสองปี คราวนี้เจออะไรทำให้ตกใจเข้าหนอ”

แต่คนที่ตระหนกที่สุดก็คือหวังฉงหยางนั่นเอง เป็นเพราะว่าหลังจากหลัวหลานเห็นเอกสารของจางจิ่งหลินก็กระโดดเด้งขึ้นมาเหมือนไฟลนก้น

ไม่นานนัก ทั้งฐานทัพก็ราวกับเข้าสู่ภาวะสงคราม อาวุธทันสมัยต่างๆ ถูกกรีธาออกมาในฉับพลัน

ตอนนี้หวังฉงหยางมั่นใจแล้วจางจิ่งหลินคือคนที่ตนเองคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้

ถ้าเป็นคนผู้นั้นจริง ไฉนจึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้!

ขบวนรถของสมาคมตระกูลชิ่งมุ่งตรงไปยังประตูของป้อมปราการ พวกเหยียนลิ่วหยวนยังคงรออยู่ในลานของโรงเรียน ทันใดนั้นเขาก็หันไปถามจางจิ่งหลิน “อาจารย์ครับ ก่อนมาทำอาชีพนี้ อาจารย์ทำอาชีพอะไรมาก่อนเหรอ”

เหยียนลิ่วหยวนเข้าใจแล้วตัวตนของคุณจางนั้นสำคัญมาก

จางจิ่งหลินยิ้ม “เคยเป็นทหารน่ะ”

เหยียนลิ่วหยวนนิ่งไป ไม่รู้สึกเลยว่าอาจารย์จางจิ่งหลินจะเหมือนทหารคนไหนที่เขารู้จัก เหยียนลิ่วหยวนถาม “แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่เป็นทหารต่อเหรอครับ”

จางจิ่งหลินเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าแสดงความซับซ้อน หลังจากการตกอยู่ในภวังค์อันเนิ่นนาน ก็ตอบออก “เพราะสงครามมิได้ช่วยมนุษยชาติอันใด”

“อาจารย์จะไปแล้วเหรอครับ” เหยียนลิ่วหยวนถามต่อ

“อืม” จางจิ่งหลินพยักหน้า “ที่นอกด่านมีคนรอฉันอยู่”

ในวินาทีนี้ เหยียนลิ่วหยวนก็เข้าใจได้ทันทีว่าที่จางจิ่งหลินเลือกเริ่นเสียวซู่เป็นอาจารย์สอนแทนนั้น ก็เพราะอยากให้เขาได้กลายเป็นอาจารย์ของโรงเรียนคนใหม่จริงๆ จางจิ่งหลินมีแผนจะเดินทางออกจากเมืองอยู่แล้ว ต่อให้คืนนี้ไม่เกิดเรื่องขึ้น จางจิ่งหลินก็คงอยู่ต่ออีกไม่นานนัก

“ทำไมอาจารย์ถึงจะกลับไปนอกด่านล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถาม

“เพราะโลกใบนี้…เริ่มแปรเปลี่ยนไปแล้วน่ะสิ ฉันต้องไปอยู่กับผู้ที่กำลังรอคอยฉันอยู่” จางจิ่งหลินว่า

“นอกด่านมีอะไรเหรอครับ” เหยียนลิ่วหยวนยิงคำถามไม่หยุด เขากับเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยไปที่นั่น รู้เพียงแต่ว่าอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือไปไกล

เหยียนลิ่วหยวนจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งคุณจางเกิดเหม่อลอยในชั้นเรียน วันนั้นคุณจางมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาทอดแลท้องฟ้า ปากกล่าวออกมาว่า ‘หิมะน้ำแข็งวสันต์นอกด่านยังไม่ละลาย จึงไร้ซึ่งความเขียวขจีใด แลเห็นเพียงพายุทรายแลพสุธาเหลือง แดนหิมะนอกด่านขาวสุดลูกตา หากมวลมนุษยชาติช่างโดดเดี่ยว’

ยามนั้น แม้คุณจางจะอธิบายว่านอกด่านเป็นสถานที่อันเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง เหยียนลิ่วหยวนกลับสัมผัสได้ถึงความหวนนึกถึงมันจากคุณจาง พอนึกถึงเรื่องนี้ได้ เหยียนลิ่วหยวนก็เข้าใจความรู้สึกของคุณจางในยามนั้นแล้ว ที่แท้จางจิ่งหลินมาจากที่นั่นนี่เอง

“นอกด่านมีอะไร…มีบุหรี่แหละมั้ง?” จางจิ่งหลินพูดแกมยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก พวกเขาเล่นแง่อะไรไม่ได้ มีแต่ส่งฉันกลับป้อม 178 อยู่ถ่ายเดียว”

“ครับ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า พลางคิดว่าเป็นแบบนี้เริ่นเสี่ยวซู่คงบ่นจู้จี้ให้เขาตั้งใจเรียนไม่ได้แล้ว เมืองนี้ก็คงไม่มีอาจารย์เหลือสักคนแล้วด้วย

เมื่อคิดได้ว่าไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว เมื่อก่อนคงดีใจ แต่เหยียนลิ่วหยวนตอนนี้กลับไม่ดีใจเท่าไรนัก