ตอนที่ 44 ฟ้าหลังฝน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 44  ฟ้าหลังฝน

พยานบุคคล?

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนายหญิงรอง หงหยิงก็รู้สึกสับสน จากนั้นก็เห็นกลับเห็นบ่าวรับใช้ 2 คนเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงชราคนหนึ่ง

เช่นเดียวกับหญิงชราคนนั้นที่ยังมิรู้เช่นกันว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหวังซื่อ นางก็รีบทำความเคารพทันที

“มิทราบว่านายหญิงรองเรียกบ่าวมาด้วยเหตุอันใดเจ้าคะ หรือท่านมีอันใดต้องการให้บ่าวทำหรือเจ้าคะ?”

หวังซื่อขยิบตาให้สาวรับใช้ของตัวเอง  จากนั้นสาวใช้ผู้นั้นก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “เมื่อวานมีของในห้องเก็บสมบัติหายไปสองสามชิ้น เจ้าทำหน้าที่เฝ้าประตู พบเห็นอันใดผิดปกติหรือไม่?”

“บ่าวเฝ้าประตูอยู่ตลอดเวลา มิพบสิ่งใดที่ผิดปกติเลยเจ้าค่ะ”

หญิงชรานั้นพอถูกถามเช่นนี้ก็กล่าวปฏิเสธออกไป และได้นึกถึงหงเถาขึ้นมาในทันที แต่นางจะดึงหลี่ซื่อมาเกี่ยวข้องด้วยได้เยี่ยงไรกัน?

เมื่อหญิงรับใช้ชรากล่าวปฏิเสธออกมาโดยมิลังเล เป็นเหตุให้แววตาของหวังซื่อมีร่องรอยของความเย็นชาผุดขึ้นมา

“ข้าให้โอกาสเจ้า ลองคิดทบทวนดูดี ๆ อีกครั้งสิ”

หวังซื่อเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงข่มขู่ จากนั้นก็เคาะปลายนิ้วลงไปที่โต๊ะเบา ๆ เสียงเคาะก๊อก ๆ ราวกับกำลังเคาะอยู่บนหัวใจของหญิงรับใช้ชราผู้นั้น จากนั้นก็กล่าวเสริมไปอีกว่า “ถ้าหากเจ้ากล่าวความจริงออกมา ข้าจะมิสนใจความประมาทเลินเล่อในการทำหน้าที่ของเจ้า แต่ถ้าหากเจ้ายังมิรู้จักสำนึกผิดก็อย่าโทษว่าข้ามิมีความปราณีล่ะกัน”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวขู่ของหวังซื่อ หญิงรับใช้ชราก็ยังคงคิดที่จะฏิเสธ แต่เมื่อหางตาพลันเหลือบไปเห็นหงหยิงที่ถูกมัดเอาไว้ เป็นเหตุให้ภายในใจของนางรู้สึกเต้นระส่ำระสาย และมิกล้าปิดบังอีกต่อไป แล้วกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า  “เรียนนายหญิงรอง เมื่อวานแม่นางหงเถา สาวใช้คนสนิทของฮูหยินรองไปหาพี่ชายของนางที่เรือนหน้าเจ้าค่ะ เพราะนางเคยมาที่เรือนหน้ามาก่อน

เวลานั้นบ่าวก็มิได้คิดอันใดมาก เอ่อ..มิทราบว่าหงหยิงผู้นั้นทำอันใดผิดหรือเจ้าคะ ? ”

หญิงรับใช้ชราเพียงแค่กล่าวมาแค่มิกี่ประโยค ก็ทำให้ตัวเองสะอาดไร้มลทินได้ทันที เนื่องจากนางอายุมากแล้ว แค่นางอยู่เงียบ ๆ มิสร้างปัญหาอันใด ก็สามารถหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของตนเอง และมันเพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวของนางมีกินมีใช้ ในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดว่านายหญิงรองกำลังจะไต่สวนหาคนผิด นางจะปกป้องหงหยิงเพื่อมาทำร้ายตัวเองด้วยเหตุใดกัน ?

เมื่อหวังซื่อได้ฟังสิ่งที่หญิงรับใช้ชราเล่าออกมา มุมปากก็ชี้ขึ้นเล็กน้อย มือที่เคาะโต๊ะเบา ๆ ก็หยุดลง แล้วเอ่ยถามหญิงรับใช้ชราออกไปอีกคราว่า “เจ้ายังมีอันใดจักกล่าวอีกหรือไม่ ? ”

เมื่อถูกเอ่ยถาม หญิงรับใช้ชราผู้นั้นก็ได้แต่ก้มหน้าและส่ายหัว โดยที่มิกล่าวอันใดออกมาอีก

เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้น ดวงตาที่มีความสง่างามและน่าเกรงขามของหวังซื่อก็กวาดมองไปที่หงหยิงและสั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายไปว่า “ไปนำตัวสาวรับใช้หงเถาที่อยู่ข้างกายหลี่ซื่อมาให้ข้า

จะดูสิว่าใครให้ความกล้ากับสุนัขรับใช้สองตัวนี้ ถึงกล้าขนาดขโมยทรัพย์สินในจวนไปได้ ! ”

สาวใช้ที่อยู่ข้างกายขานรับ ทำความเคารพก่อนเดินออกไป

รอสักครู่สาวใช้คนนั้นกลับมา แต่ที่ผู้ที่ตามกลับมานั้นมิได้มีเพียงหลังหงเถา แต่ยังมีหลี่ซื่อตามมาด้วย เมื่อหลี่ซื่อเดินเข้ามาเห็นท่าทีของหวังซื่อก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “หวังซื่อ เจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดจึงโมโหเดือดดาลถึงเพียงนี้ ? ”

หลี่ซื่อกล่าวถามออกมาด้วยท่าทีจะยิ้มก็มิยิ้ม จากนั้นนางก็หันจ้องมองไปที่หงหยิงที่ถูกมัดอยู่เบื้องหน้า

“บ่าวผู้นี้ทำอันใดผิดรึ เจ้าถึงได้มัดเขาไว้เยี่ยงนี้ ? ”

“หลี่ซื่อ เจ้าอย่าแสร้งทำมาเป็นมิรู้เรื่องอันใดที่นี่”

หวังซื่อกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงดูแคลน และชี้ไปที่หญิงรับใช้ชราผู้นั้น แล้วเอ่ยออกมาว่า “เมื่อวาน สาวใช้คนสนิทของเจ้า หงเถา แอบลักลอบไปที่เรือนหน้าโดยมิคำนึงถึงกฎเกณฑ์ บังเอิญกับที่ของในห้องเก็บสมบัตินั้นหายไปพอดี  เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”

“ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี “

หลี่ซื่อพยักหน้า

“หงเถาไปที่เรือนหน้าตามคำสั่งของข้า แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอันใดกับทรัพย์สินที่หายไปจากห้องเก็บสมบัติรึ ? ”

เมื่อหลี่ซื่อยอมรับออกมาเช่นนี้ แสงแห่งชัยชนะเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของหวังซื่อทันที แต่ต่อหน้ากลับทำสีหน้าท่าทีดูเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างมาก แสดงออกมาให้หลี่ซื่อได้เห็น

“ดี ! หลี่ซื่อ เจ้าคิดว่าเจ้าดูแลควบคุมจวนโหวมาก่อน อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะต้องคิดผลประโยชน์ของจวนโหวนั้นต้องมาก่อน แต่ข้าคิดมิถึงเลยว่า เพื่อที่เจ้าจะได้ใส่ร้ายข้าแล้วนั้น เจ้าจักใช้ให้คนมาขโมยทรัพย์สินของจวนโหวไปได้ ! “

เมื่อหลี่ซื่อได้ฟังคำกล่าวหาที่หวังซื่อกล่าวมานั้น ก็รีบตอบกลับทันทีด้วยท่าทีที่แสร้งมิเข้าใจ

“หวังซื่อ เจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้หมายความเยี่ยงไร เหตุใดข้าถึงฟังแล้วมิเข้าใจ”

หลี่ซื่อกระพริบตา ทำท่าทีเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา

“หึ ! มาจนถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังจะมาเสแสร้งทำเป็นมึนงงก็หาได้มีประโยชน์ไม่”

หวังซื่อยิ้มเยาะ  ชายตามองสำรวจหลี่ซื่อขึ้นลง

“เช้านี้ข้าได้ส่งคนไปที่ห้องหงหยิง และได้พบกับทรัพย์สินที่หายไป  ข้าจึงส่งคนไปเชิญท่านแม่มา ดูสิว่านางจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไรดี”

“เหตุใดต้องจัดการข้า ก็ในเมื่อข้ามิได้ทำเรื่องพวกนี้ ! ”

หลี่ซื่อกล่าวพร้อมกับชักสีหน้าขมวดคิ้ว สีหน้าบึงตึงขึ้นมาทันที และกล่าวเสริมออกไปว่า “เจ้าอย่าคิดว่าท่านแม่ให้เจ้ามาดูแลจัดการห้องเก็บสมบัติแล้ว เจ้าจะมาเป็นนายใหญ่ที่ตัดสินเรื่องราวในจวนโหวได้นะ และยังมาใส่ร้ายข้าตามใจเจ้าอีกด้วย”

หวังซื่อสังเกตเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของหลี่ซื่อ เป็นเหตุให้นางแสยะยิ้มขึ้นมา แล้วกล่าวถ้อยคำเย้ยหยันออกมาว่า “ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นมาเยี่ยงนี้แล้ว ก็ให้ท่านแม่มาเป็นผู้ตัดสินเถอะ”

จากนั้นหวังซื่อ นางก็ให้คนนำตัวหงหยิงและหญิงรับใช้ชราผู้นั้นไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า

หลี่ซื่อทำราวกับกลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง จึงรีบเดินตามหลังนางไปทันที

มินานกลุ่มคนก็มาถึงเรือนชิงเฟิง

ฮูหยินผู้เฒ่าที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาหลายวัน เมื่อวานนางจึงนอนหลับยาว

ในขณะที่พวกหวังซื่อและหลี่ซื่อมาถึงเรือนชิงเฟิง  ฮูหยินผู้เฒ่าก็เพิ่งจะกินข้าวเช้าเสร็จ

“เช้าตรู่เยี่ยงนี้ พวกเจ้ามาทำอันใดที่นี่กัน ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเอนหลังพิงเก้าอี้ มองดูหลี่ซื่อและสะใภ้รองตรงหน้า แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

หวังซื่อและฮูหยินผู้เฒ่าคุ้นเคยกันดี นางจึงเป็นคนแรกที่ก้าวมาด้านหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า

แล้วกล่าวออกมาด้วยใบหน้าอันเศร้าสร้อยว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านมิรู้  เมื่อวานท่านได้ส่งมอบห้องเก็บสมบัติให้แก่ข้าดูแล แต่เมื่อคืนกลับมีหัวขโมย มาขโมยของในห้องเก็บสมบัติไปเจ้าค่ะ”

“เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอข้าส่งคนไปตรวจสอบ กลับพบว่าคนที่ขโมยทรัพย์สินในห้องเก็บสมบัติไปกลับเป็นหงหยิง พี่ชายของหงเถา สาวใช้คนสนิทของหลี่ซื่อเจ้าค่ะ ! ”

เมื่อได้ฟังหวังซื่อกล่าว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างมิพอใจ สายตาคมกริบจ้องมาที่หลี่ซื่อ

“ที่สะใภ้รองกล่าวออกมานั้นเป็นความจริงรึ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปเอ่ยถามหลี่ซื่อด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เฉินเชี่ยถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ ท่านแม่”

หลี่ซื่อแสร้งร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม

“ท่านแม่เจ้าคะ แม้ข้ามิได้อยู่เคียงข้างค่อยปรนนิบัติรับใช้ท่านมานานหลายปี ท่านจึงมิเข้าใจอุปนิสัยของข้า ข้านั้นมิได้มีนิสัยหลอกลวงหรือชอบสร้างเรื่อง เหตุใดข้าจะต้องให้บ่าวไพร่ไปขโมยของด้วยล่ะเจ้าคะ ถ้าทำเยี่ยงนั้นมันมิใช่การหาเรื่องใส่ตัวข้าเองหรอกรึเจ้าคะ ? ”

เมื่อหวังซื่อได้ฟังคำกล่าวของหลี่ซื่อ ที่บอกว่าตนได้ใส่ร้าย นางก็กล่าวตอบโต้กลับไปทันทีว่า “มิใช่เป็นเพราะว่าเจ้าเคียดแค้นที่ข้ายึดอำนาจการดูแลห้องเก็บสมบัติ ไปจากมือเจ้าหรอกหรือ  เจ้าจึงคิดหาวิธีที่จะมาลอบกัดข้า ให้ข้าอับอายขายขี้หน้า”

 เมื่อกล่าวออกไป หวังซื่อก็รอบสังเกตท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วย  ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่านั้นดูมิพอใจ  จากนั้นนางจึงได้ใจแล้วกล่าวต่อไปอีกว่า “ก็รู้เห็นกันอยู่ว่าเจ้าเคลื่อนย้ายของในห้องเก็บสมบัติ จนทำให้ท่านแม่รู้สึกมิวางใจ ถึงได้ส่งมอบให้ข้ามาจัดการดูแล แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าแค้นฝังใจ ถึงคิดหาวิธีเยี่ยงนี้มาทำร้ายข้า”

“หวังซื่อ เจ้ากล่าวขึ้นมาอย่างไร้หลักฐานเยี่ยงนี้  ข้านั้นคือผู้เสียหาย เจ้าอาจจะกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำก็ได้ ผู้ใดจักรู้”

หลี่ซื่อกล่าวแย้งออกมา พร้อมทั้งแสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาตรงขอบตา

“ที่ข้ากล้ากล่าวออกมาก็ย่อมต้องมีหลักฐาน มิเช่นนั้นข้ายังจะมีหน้าอยู่ในจวนนี้อีกต่อไปได้เยี่ยงไร”

หวังซื่อกล่าวตอบออกไปด้วยท่าทางเย้ยหยัน จากนั้นหันไปพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าเจ้าต้องการหลักฐาน ข้าผู้นี้จะเป็นคนเอาหลักฐานมาให้เจ้าเอง”

สาวใช้ที่ฉลาดและมีไหวพริบดีผู้นั้น รีบนำของที่ขโมยมาวางไว้ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าทันที

หวังซื่อชี้ไปที่ของพวกนั้น พลันดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น

“นี่คือของที่ถูกขโมยไปที่ถูกค้นพบในห้องของหงหยิง หลี่ซื่อ เจ้ายังมีอันใดจะกล่าวอีกไหม?”

“เป็นไปมิได้ ! ”

หลี่ซื่อเมื่อเห็นหลักฐานที่อยู่เบื้องหน้าก็กรีดร้องออกมา และพุ่งตัวเข้าไปข้างหน้าอย่างมิเชื่อสายตาตนเอง

แล้วยื่นมือออกไปคว้าปิ่นทองอันหนึ่งออกมามองอย่างพินิจพิจารณา ไม่มีใครทันคาดคิดว่านางจะจับของไว้ไม่แน่น  เป็นเหตุให้ปิ่นทองอันนั้นร่วงตกลงไปที่พื้น และแตกออกเป็นสองชิ้นทันที

ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูของที่หักออกเป็นสองชิ้นตรงเบื้องหน้า จึงหรี่ตาลงมองแล้ว เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยว่า

“สิ่งของนั้นคืออันใดกัน ? ”

เนื่องจากนางเห็นเพียงแสงสีดำส่องประกายออกมาจากรอยหักบนปิ่นทอง และเห็นได้ชัดว่ามิใช่สีที่ทองคำควรมี