ตอนที่ 42 พลอยซวยไปด้วยกัน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

หากพูดถึงกระบวนท่าแรก เยวี่ยซู่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป กระบวนท่าที่สองเขาจึงต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี ทว่ายังต้านทานเอาไว้ไม่อยู่

หรือว่าพลังยุทธ์ของมู่เฉียนซีจะถึงระดับห้าแล้ว  พลังวิญญาณระดับห้าทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่ครบสิบหกปี พรสวรรค์นี้หากอยู่ที่แคว้นจื่อเยี่ยถือว่าเป็นความสามารถชั้นหนึ่งแน่นอน เช่นนี้แล้วยังจะเรียกว่าคนไร้ความสามารถได้อีกหรือ ?

“กระบวนท่าสุดท้ายแล้ว รีบประลองให้เสร็จ ๆ ไปจะได้รีบกลับ” มู่เฉียนซีเดินเข้าไปใกล้เยวี่ยซู่ที่ยืนอยู่ตรงมุมด้านข้าง ใช้เท้าถีบเขาเบา ๆ จนตกลงจากเวทีการประลอง

— ผัวะ! —

เสียงดังขึ้นอีกหนึ่งครั้ง เยวี่ยซู่ลอยตกลงมาจากเวที เขาตะโกน “มู่เฉียนซี เจ้าแกล้งข้า!  เจ้าแกล้งข้า!”

เยวี่ยซู่อยากจะร้องไห้จริง ๆ เขารับไม่ได้ที่พ่ายแพ้เช่นนี้

“มู่เฉียนซี เจ้ารังแกคน”

แม้ไม่รู้ว่านางจะมีพลังถึงระดับเท่าใด แต่ดูจากที่นางลงมือ พลังจะต้องสูงกว่าเขาแน่นอน  ใจนางรู้ทั้งรู้ว่าแข็งแกร่งมากกว่าเขา ยังให้เขายอมให้อีกสามกระบวนท่า จะไม่ให้เรียกว่ารังแกคนได้อย่างไร ?

“ก็เจ้าเป็นคนเสนอข้าเองว่ายอมให้ข้าสามกระบวนท่า ข้าไม่ได้ร้องขอเจ้าเสียหน่อย” มู่เฉียนซีโบกมือไปมา พูดอย่างช่วยไม่ได้ด้วยใบหน้าอันใสซื่อ

“พรวด!” เยวี่ยซู่โกรธจนกระอักออกมาเป็นเลือด

“มู่เฉียนซี ชนะ…” แม้แต่อาจารย์ผู้ตัดสินยังมีอาการไม่อยากจะเชื่อ เดิมทีควรเป็นเยวี่ยซู่ที่เป็นฝ่ายชนะ ยังไม่ทันที่เขาจะมีโอกาสได้ลงมือก็พ่ายแพ้ไปเสียก่อน

แน่นอนแล้วว่าชนะติดต่อกัน มู่เฉียนซีจึงมีโอกาสเข้าสนามสอบที่สาม

เพื่อนนักเรียนห้องระดับต่ำต่างไม่กล้าที่จะดูถูกมู่เฉียนซี และไม่มีใครกล้าว่านางว่าเนื้อตัวมีแต่กลิ่นเงินอีกต่อไป  ครั้งนี้ที่ต่อสู้กับโอวหยางซิน คนโหดเหี้ยมแห่งห้องเรียนระดับต่ำ เขากลับถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพคล้ายคนพิการจนดูไม่ได้ ขนาดอันดับหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของห้องเรียนระดับต่ำยังแพ้ในสามกระบวนท่า ใครจะกล้าลองดีอีกเล่า ?

โอวหยางซินถูกส่งตัวกลับมาที่ตระกูลโอวหยาง ศีรษะและกระดูกถูกต่อแล้วเรียบร้อย

ถึงแม้อาการบาดเจ็บจะดูเหมือนหายดีแล้ว มือของเขากลับไม่สามารถยกขึ้นมาได้อีก ส่วนขาก็ขยับไม่ได้  ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้น โอวหยางซินพบว่าการมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัวลงด้วย

ตระกูลโอวหยางได้หาหมอยามาหลายท่าน แม้แต่นักปรุงยาก็หามาแต่ก็ไม่พบวิธีการรักษา นี่มันเกิดเหตุอันใดกัน ?

อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าตอนที่มู่เฉียนซีต่อสู้กับโอวหยางซินนั้น นางส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขา เป็นยาพิษสูตรใหม่ นางจึงนำมาใช้กับตัวเขา เขาเปรียบเสมือนหนูทดลองยา

สิ่งที่นางทำกับเขา มีเพียงแค่แผลภายนอกเท่านั้น ทุกคนสามารถเป็นพยานให้นางได้ อีกทั้งนางเป็นแค่คนไร้ความสามารถ คงไม่สามารถทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ได้ ไม่มีใครสงสัยนาง

นอกจากนี้ ถึงตระกูลโอวหยางจะไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่ก็ไม่กล้ามาวุ่นวายที่ตระกูลมู่ เพราะตระกูลมู่มีคุณชายอวู่ซวงอยู่

“อะไรนะ ? ป่าเทียนหวง” รองอาจารย์ใหญ่ได้รับข่าว ใบหน้าแสดงอาการตกใจหลายส่วน

“เบื้องบนสั่งมา นี่เป็นการสอบสนามที่สามในครั้งนี้ที่จะให้นักเรียนได้เข้าป่าเทียนหวงไปฝึกฝน” บุคคลผู้มารายงานกล่าวอย่างเรียบเฉย

“ทุกครั้งก่อนหน้าไม่ได้ไปสนามล่าสัตว์ของราชวงศ์หรอกหรือ ? ครั้งนี้ทำไมจะต้องยุ่งยากไปถึงป่าเทียนหวง”

สนามล่าสัตว์ของราชวงศ์ ทางราชวงศ์มีการเลี้ยงสัตว์วิญญาณไว้ไม่น้อยเลย ถือเป็นสถานที่อันเหมาะสมให้เหล่านักเรียนไปฝึกฝน  หากแต่ป่าเทียนหวง ที่นั่นมีสัตว์วิญญาณที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากมาย มันค่อนข้างอันตรายทีเดียว

“เบื้องบนบอกมาว่าการไปฝึกฝนที่สนามล่าสัตว์ของราชวงศ์ไม่ค่อยได้ผลลัพธ์อันใด ทั้งยังไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นป่าเทียนหวง เพียงแต่ฝึกฝนด้านนอก นักเรียนก็จะไม่มีอันตราย ทำตามนี้ก็แล้วกัน”

“ขอรับ”

ในวันรุ่งขึ้น รองอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์ทั้งหลาย และนักเรียนร้อยคนที่สามารถผ่านเข้ามาถึงสนามที่สามจำนวนสิบคนนั่งอยู่บนสัตว์วิญญาณที่บินได้ เพื่อบินไปทางสถานที่ที่จะใช้สอบ …ป่าเทียนหวง

ที่ปากทางเข้าป่าเทียนหวง รองอาจารย์ใหญ่ชี้แจงรายละเอียดการสอบ “สถานที่สอบสนามที่สามเป็นป่าเทียนหวง เพียงฆ่าสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งให้ได้หนึ่งตัวและต้องมีผลึกสัตว์วิญญาณ ถือว่าผ่านได้  การสอบในครั้งนี้ใช้เวลาเจ็ดวัน ภายในเจ็ดวัน หากไม่ได้มาซึ่งผลึกสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งมามอบให้ ก็ถือว่าสละสิทธิ์”

สัตว์วิญญาณแบ่งออกได้เป็นเจ็ดระดับ แม้สัตว์วิญญาณระดับหนึ่งจะสามารถจัดการได้โดยผู้ฝึกตนระดับต่ำ แต่ก็ต้องร่วมมือกันเป็นกลุ่ม  มีเพียงผู้ฝึกตนระดับสูงจึงจะต่อกรกับมันด้วยตัวคนเดียวได้

“พวกเจ้าทุกคนจะมีป้ายหยกประจำตัว ถ้าพบเหตุการณ์อันตรายให้กำจนป้ายหยกแตกกระจาย กระนั้นอาจารย์จะไปช่วยพวกเจ้าเอง แต่จะสามารถเลื่อนชั้นไปเข้าห้องเรียนระดับกลางได้ไหมนั้น ต้องดูจากผลสอบในครั้งนี้ของพวกเจ้า” รองอาจารย์ใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง ท่าทางขึงขังไม่เบา

รองอาจารย์ใหญ่ยกมือขึ้นพร้อมกล่าวด้วยเสียงอันดัง “การสอบเริ่มขึ้นได้!”

ถึงแม้พวกเขาจะเป็นนักเรียนที่เก่งกาจของสำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ย แต่การต่อกรกับสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งมิใช่จะต่อกรได้ง่าย ๆ พอเข้าไปในป่าเทียนหวง มีคนไม่น้อยที่จับกันเป็นกลุ่มน้อย ๆ เลือกทำงานกันเป็นกลุ่ม เวลาต่อกรกับสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งจะได้มีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น

ไม่รู้ว่ามีใครเตือนพวกเขา หรือว่าตัวนางในอตีดจะมีคนเกลียดชังมากเกินไป ถึงแม้จะไม่ใช่คนไร้ความสามารถแล้ว ทว่ายังไม่มีใครยอมที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีเบะริมฝีปากหดหู่ใจเล็ก ๆ  ‘ก็ได้… นางตัวคนเดียวได้ ตัวคนเดียวทำอะไรย่อมสะดวกกว่า’

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป่าเทียนหวงนี้เป็นดินแดนที่มีสิ่งของมีค่า ทั้งยังมีสมุนไพรต่าง ๆ มากมาย

มู่เฉียนซีเห็น นางลืมไปว่านางมาสอบ จึงเริ่มตั้งใจเก็บสมุนไพรบางส่วน  ยังมีเวลาอีกตั้งเจ็ดวันมิใช่หรือ ?  นางไม่เชื่อว่าในเจ็ดวัน นางเก็บสมุนไพรไปพร้อมเดินในป่าเทียนหวงไป จะไม่พบเจอสัตว์วิญญาณระดับหนึ่ง

ตอนที่มู่เฉียนซีเก็บสมุนไพรอยู่นั้น พลันพบว่าตนเองกำลังถูกใครหลายคนติดตาม  แววตาของนางพลันเยือกเย็นขึ้น คงมีคนอยากให้นางตายอยู่ที่ป่าเทียนหวงแห่งนี้

มู่เฉียนซียังคงเก็บสมุนไพรอยู่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง คนพวกนั้นก็กำลังปรึกษาหารือกันในที่ลับ

“ลงมือได้ ตอนนี้ไม่มีคน”

“เช่นนั้นก็ไป!”

— ฟิ้ว! —

ชายวัยกลางคนทั้งห้าอายุราวสามสิบสี่สิบรีบพุ่งตัวออกมา มองไปที่มู่เฉียนซีด้วยสายตาดุร้าย “สาวน้อย นำเงินทองสมบัติที่อยู่ในกายเจ้าออกมาเสียเดี๋ยวนี้ แล้วพวกข้าจะปล่อยตัวเจ้าไป”

“เหอะ! กล้าปล้นข้า พวกเจ้าอยากตายเรอะ ?!”

มู่เฉียนซีเคลื่อนย้ายร่างมาข้างหลังของคู่กรณี นำน้ำกลั่นเปลี่ยนเป็นใบมีดน้ำแข็ง แทงเข้ากลางหลังฝ่ายตรงข้ามในฉับพลันทันใด

“ชะช้า! เจ้าอยากตายหรืออย่างไร ?” อีกสี่คนชักกระบี่ชี้มาที่มู่เฉียนซี ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา

มู่เฉียนซีสะบัดมือ นางกล่าว “มังกรวารี  ไป!”

— ตูม! —

คนพวกนี้ที่มีพลังมากที่สุดเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้า ต่ำสุดเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ด ถือว่ามากกว่ามู่เฉียนซีไม่น้อยเลย แต่เมื่อมู่เฉียนซีระเบิดพลังรุนแรงออกมา ก็ทำให้พวกเขารับผลกระทบไม่น้อยเช่นเดียวกัน

“ผู้บำเพ็ญภูตระดับห้า ผู้ใช้ธาตุวารีบัดซบ!” ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเปลี่ยนสี  ตอนที่พวกเขาสติยังไม่มา ใบหน้าอันสวยงามของมู่เฉียนซีก็เข้าใกล้พวกเขาทั้งสี่ แววตาดำขลับดุจน้ำหมึกแผ่ประกายเยือกเย็น

“จบแล้วล่ะ…”

— ฉัวะ!  ฉัวะ!  ฉัวะ! —

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ร่างกายของพวกเขาไม่ฟังคำสั่ง ล้มลงนอนกับพื้นทั้งหมด

“บอกมาว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา ?! ทำมาเป็นปล้นทรัพย์เพื่อสังหาร ลงมือแบบนี้ไม่ดูจะสิ้นคิดไปหน่อยรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน

สายตาของพวกเขาตอนนี้ที่มองมู่เฉียนซีเหมือนมองสัตว์ประหลาด ไหนใครบอกว่านางเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ ?  เหตุใดนางเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารีระดับห้า  ถูกหลอกแล้ว…

“โอ้! โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย พวกข้าแค่มาปล้นเอาทรัพย์สินเพียงเท่านั้น”

“ใช่ ๆ ๆ!” เสียงสนับสนุนดังก้อง

นางมองพวกเขา  กล่าวว่า “พวกเจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงล้มลง ?  เพราะพวกเจ้าโดนยาพิษปลิดชีพปลิดวิญญาณอย่างไรล่ะ  หึ ๆ สักพักจะได้รู้ว่าหนอนหมื่นตัวกัดแทะกระดูกจะรู้สึกเช่นไร คงรู้สึกดีมากแน่ ฮ่า ๆ ๆ”

แต่เดิมพวกเขาสี่คนมีพลังเพียงพอที่จะเอาชนะนาง  พวกเขาไม่น่าประมาทนางเกินไปเลย  โดนยาพิษของนางเข้าให้ ต่อให้พวกเขาร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

เมื่อเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของมู่เฉียนซี พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ที่นางพูดคงไม่จริงใช่ไหม ?

ทันใดนั้น ความรู้สึกประหนึ่งหนอนไต่ขึ้นตามตัว มันแทรกซอนชอนไชเข้าไปที่กระดูกของพวกเขา  หนึ่งตัว… สองตัว…

“อ๊าาาา!” เสียงร้องอันเจ็บปวดดังลั่นในป่าเทียนหวง

พวกเขาเจ็บปวดดิ้นทุรนทุรายเกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้น

“ท่านผู้นำตระกูลมู่ โปรดอภัย โปรดไว้ชีวิตด้วย!”

.