บทที่ 64 ส่งท่านพี่ไปสอบ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หกสิบสี่

ส่งท่านพี่ไปสอบ

เสวี่ยเจียเยว่หิ้วของไปที่บ้านของป้าเฝิงก่อน

ป้าเฝิงเพิ่งกลับมาจากร้านตัดชุด โดยมีผ้าที่คล้ายผ้ากันเปื้อนพันรอบเอว นางกำลังนั่งคัดแยกผักเตรียมทำอาหารเย็นอยู่บนตั่งตัวเล็ก เสี่ยวฉานนั่งช่วยนางอยู่ข้างๆ ส่วนหูจื่อถือลูกตะกร้อเล่นอยู่ข้างๆ

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา ป้าเฝิงก็รีบวางผักในมือและลุกขึ้นยืนทันที

หลายวันมานี้นางได้ยินเสี่ยวฉานพูดถึงสองพี่น้องที่ย้ายเข้ามาเช่าเรือนฝั่งตะวันออกแล้ว ทว่านางออกไปทำงานที่ร้านตัดชุดตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับก็เย็น จึงไม่มีโอกาสได้ไปทักทายพวกเขาเสียที อีกทั้งนางเองก็มีนิสัยเหนียมอาย และไม่รู้แน่ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนเช่นไร ทำให้ไม่กล้าไปพูดคุยกับพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า

เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปในเรือนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยอย่างอัธยาศัยดี “ท่านคือป้าเฝิงใช่หรือไม่เจ้าคะ คารวะป้าเฝิงเจ้าค่ะ”

เมื่อป้าเฝิงเห็นเสวี่ยเจียเยว่ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะวางสองมือไว้ตรงไหนดี และไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร

นางมองพิจารณาเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นางน้อยเป็นมิตรไม่น้อย ความตื่นเต้นจึงลดลงไปมากกว่าครึ่ง จากนั้นนางพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจ้าเป็นคนที่มาใหม่ใช่หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่พิจารณาอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ ข้ากับท่านพี่มาเช่าเรือนฝั่งตะวันออก ต่อไปยังต้องพึ่งพาการดูแลจากป้าเฝิงอีกมากเจ้าค่ะ”

เธอชื่นชมเสี่ยวฉานและหูจื่ออีกสองสามประโยค แล้วมอบไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างให้เสี่ยวฉาน ก่อนจะพูดคุยกับป้าเฝิงต่อ

“ของกินเหล่านี้ไม่นับว่าแพงอะไรมาก ให้เสี่ยวฉานกับหูจื่อกิน ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าและพี่ชายของข้า”

“จะรับไว้ได้อย่างไร” ป้าเฝิงรีบโบกมือปฏิเสธทันที “เจ้ากับพี่ชายของเจ้ามาอยู่หลายวันแล้ว พวกข้ายังไม่ได้ไปเยี่ยมเยียน กลับรับของจากพวกเจ้าก่อนแล้ว พวกข้ารับไม่ได้จริงๆ เจ้าเอากลับไปเถิด”

เมื่อกล่าวจบ นางก็คิดจะคว้าห่อกระดาษใส่ของกินในมือเสี่ยวฉาน ทว่าฐานะครอบครัวของพวกนางนั้นยากจนข้นแค้น เสี่ยวฉานมีโอกาสได้กินของเหล่านี้น้อยครั้ง ตอนนี้นางกอดห่อของกินสองห่อเอาไว้แน่น ไม่ว่ามารดาจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมยื่นให้ ในที่สุดนางก็กอดห่อกระดาษนั้นวิ่งหนีไป

ป้าเฝิงรู้สึกกระอักกระอ่วน ก่อนจะเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยใบหน้าเหยเก “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้แล้วกัน วันหน้าข้าจะเชิญเจ้ากับพี่ชายของเจ้ามากินข้าวที่เรือนข้า”

เสวี่ยเจียเยว่พูดคุยเรื่องทั่วไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวลาออกมาจากเรือนของป้าเฝิง

ป้าเฝิงเรียกเสี่ยวฉานเข้ามาหา ยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มหน้าผากของนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าดูสิ แม่นางเสวี่ยอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี แต่เหตุใดยามที่นางพูดจาถึงได้ดูเหมือนผู้ใหญ่ นางรู้จักมีมารยาทกับคนอื่น แต่ดูเจ้า ทั้งวันก็รู้จักแต่กินเท่านั้น”

แม้ว่าปากจะด่าไปเช่นนั้น ทว่านางก็เสียใจที่ลูกสาวกับลูกชายของตนไม่เคยได้กินของดีๆ จากนั้นนางหยิบห่อกระดาษออกมาจากอ้อมกอดของเสี่ยวฉาน ก่อนจะเปิดออกแล้วหยิบไป๋ถังเกาให้ลูกสาวหนึ่งชิ้น หยิบขนมถังบ๊ะจ่างให้ลูกชายหนึ่งชิ้น ส่วนที่เหลือนางเก็บไว้ในตู้เพื่อเอาไว้กินทีละน้อยในวันอื่น

ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ หลังออกมาจากเรือนของป้าเฝิงแล้ว ก็ก้าวเท้าไปยังเรือนหลัก

ประตูหน้าต่างของเรือนหลักยังคงปิดสนิท เธอจึงเห็นภายในตัวเรือนได้ไม่ชัดเจน

เธอหยุดอยู่หน้าประตู หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เอื้อมมือไปเคาะ พลางแนะนำตัวไปด้วย

“มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าเพิ่งมาใหม่ แซ่เสวี่ย วันนี้ตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนทักทายท่านเจ้าค่ะ”

เคาะประตูได้สักพักใหญ่แล้ว ในเรือนก็ยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ

ทว่าเสวี่ยเจียเยว่มิใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาเปิดประตูเธอก็เคาะต่อ คิดในใจว่าหากเคาะไปสักพักแล้วยังไม่มีใครมาเปิด เธอค่อยกลับไปที่เรือนของตน

ขณะที่เธอยอมแพ้และหมุนตัวกลับนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูแง้มออกเพียงเล็กน้อย และมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“มีเรื่องอะไร”

เสียงของนางแหบแห้งเหมือนเสียงเป็ด ราวกับว่าไม่ได้เปล่งเสียงพูดคุยมาเป็นเวลานานแล้วก็ไม่ปาน

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อได้สติกลับมาก็พบใบหน้าซีดเผือดกว่าปกติครึ่งซีกโผล่ให้เห็นผ่านประตูที่แง้มไว้ คงเป็นเพราะใบหน้าของนางไม่โดนแสงแดดมาหลายปี อีกทั้งแววตาก็แฝงไปด้วยความสงสัยและระมัดระวังตัว ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกเย็นสันหลังวาบ

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่สั่นสะท้านขึ้นมาทันที จากนั้นใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น

“ท่านคือป้าโจวใช่หรือไม่เจ้าคะ ขอคารวะป้าโจว ข้าเป็นผู้เช่าเรือนที่มาใหม่ วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”

เธอพูดจบก็ส่งห่อกระดาษให้ “นี่คือไป๋ถังเกาและขนมถังบ๊ะจ่าง เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าและพี่ชายของข้า ได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ”

น้ำเสียง ท่าที และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นดูจริงใจเป็นอย่างมาก เธอพยายามแสดงเจตนาดีในการมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้

ป้าโจวยังไม่รับของไปทันที กลับมองพินิจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า จากนั้นก็ยื่นมือออกจากประตู

เสวี่ยเจียเยว่สังเกตเห็นว่ามือที่ยื่นออกมานั้นขาวละเอียดและดูเหมือนจะเนียนนุ่ม แทบไม่เหมือนมือของสตรีวัยสามสิบกว่าปีแต่อย่างใด หากบอกว่าเป็นมือของเด็กสาววัยสิบห้าสิบหกเธอก็เชื่อ อีกทั้งยังดูเป็นบุตรีของตระกูลร่ำรวยซึ่งไม่เคยทำงานหนัก ไม่อย่างนั้นคงดูแลผิวให้ขาวเนียนเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

หลังจากรับของแล้ว ป้าโจวก็มองเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

นางปิดประตูทันทีโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และมีเสียงแกร๊กดังขึ้น คงจะเป็นเสียงลงกลอน

เสวี่ยเจียเยว่มองประตูที่ปิดแน่นสนิทอยู่ตรงหน้า หลังจากตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับเรือนของตน

เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงอ่านตำราอยู่ในห้องของตน เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปหาและบอกผลของการไปเยี่ยมเยียนในวันนี้

“ป้าเฝิงเป็นคนขี้อาย นางไม่ค่อยพูดมาก แต่ก็ต้อนรับเป็นอย่างดี ไม่ได้เข้าหายาก ส่วนป้าโจวผู้นั้น…”

เธอขมวดคิ้วก่อนเล่าต่อ “ข้าไม่คิดว่านางจะระมัดระวังตัวกับคนอื่นขนาดนี้ อีกทั้งนางคงมาจากครอบครัวชนชั้นสูง เพราะมือของนางดูขาวและเนียนนุ่มเป็นอย่างมาก คงจะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน”

ทว่าคนที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูงมาเช่าเรือนเช่นนี้…

เธอรู้สึกว่าป้าโจวผู้นี้มีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ก็คิดไม่ออกว่ามันคือเรื่องอะไร

เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยปลอบใจ “เจ้าอย่าคิดมาก ถึงอย่างไรพวกเราก็แค่เช่าอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ หากพวกนางเป็นคนดีต่อไปก็ไปมาหาสู่บ่อยๆ หากไม่ใช่คนดี ก็แค่ไปมาหาสู่น้อยๆ เท่านั้น”

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาพูดถูกต้อง เธอจึงพยักหน้าและไม่นำความแปลกประหลาดของป้าโจวมาคิดอีก

การสอบของสำนักศึกษาในเมืองผิงหยางเริ่มต้นวันที่หนึ่ง เดือนสี่ ข้อสอบของทุกแห่งล้วนกำหนดขึ้นมาเอง ไม่มีข้อใดที่คล้ายกัน และเป็นที่รู้กันดีว่าผู้เข้าสอบส่วนใหญ่จะสมัครหลายแห่งในเวลาเดียวกัน ดังนั้นวันเริ่มสอบของทุกแห่งจึงกำหนดให้แตกต่าง

โดยปกติแล้วสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่จะเริ่มสอบก่อน จากนั้นแห่งอื่นๆ ก็จะเปิดสอบเป็นลำดับถัดไป ส่วนระหว่างสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่ ฝ่ายใดจะเริ่มสอบก่อนนั้น กลับไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เพราะทุกปีสำนักศึกษาสองแห่งนี้จะมีการจับสลากล่วงหน้า

ปีนี้สำนักศึกษาถัวเยว่ได้เปิดสอบเป็นแห่งแรก และได้ยินมาว่าพวกเขาจับสลากได้เป็นแห่งแรกที่เปิดสอบมาสามปีซ้อน ด้วยเหตุนี้สำนักศึกษาไท่ชูจึงต้องจัดสอบในวันที่สองของเดือนสี่

เสวี่ยหยวนจิ้งอ่านบทความในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของทุกสำนักศึกษาอยู่เกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ใกล้จะถึงวันสอบของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู รวมถึงหนึ่งในสำนักศึกษาที่อยู่อันดับรองจากสองแห่งนี้

วันที่หนึ่ง เดือนสี่

วันนี้เสวี่ยเจียเยว่จะไปส่งเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าร่วมการสอบที่สำนักศึกษาถัวเยว่

เรือนของป้าหยางตั้งอยู่ในเขตซีเฉิงฝั่งตะวันตก ทว่าอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญและห่างจากสำนักศึกษาถัวเยว่อยู่ไม่น้อย ทั้งสองคนจึงต้องตื่นแต่เช้าตรู่

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ต้องการให้เสวี่ยเจียเยว่ไปส่ง ทว่าเธอเอาแต่ยืนกรานจะไปให้ได้ เขาจึงทำได้เพียงยอมให้เธอออกไปด้วย

วันนี้ท้องฟ้าครึ้มมีเมฆมาก ดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก เสวี่ยเจียเยว่วิ่งกลับไปหยิบร่มกระดาษน้ำมัน จากนั้นทั้งสองก็เดินเคียงกันมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาถัวเยว่

เมื่อมาถึงก็พบว่ามีผู้คนมากมายยืนรออยู่ด้านนอก

แม้ว่าทุกปีสำนักศึกษาถัวเยว่จะรับผู้เข้าเรียนเพียงสามสิบคน แต่ก็มีคนจำนวนมากมาสมัครสอบ รวมทั้งคนจากนอกเมือง ขณะนี้มีผู้รอสอบอยู่ด้านนอกอย่างน้อยหนึ่งร้อยถึงสองร้อยคนเห็นจะได้ นอกจากนี้ยังมีคนในครอบครัวที่มาส่ง ด้านนอกสำนักศึกษาจึงเต็มไปด้วยผู้คน มีทหารคอยรักษาความเรียบร้อยหลายสิบนาย

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นคนมากมายเช่นนี้ เขาไม่ได้เข้าไปต่อแถวแต่อย่างใด กลับจูงมือเสวี่ยเจียเยว่มาในที่ที่คนน้อยและเอ่ยขึ้น

“อีกประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปด้านใน เจ้ากลับไปได้แล้ว หลังสอบเสร็จข้าจะกลับไปที่เรือน เจ้าไม่ต้องมารับข้าก็ได้”

ที่นี่มีคนมาก หลังจากเขาเข้าไปด้านในแล้ว คงไม่วางใจหากต้องปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่คนเดียว

เสวี่ยเจียเยว่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วแอบถอนหายใจกับตัวเอง เพราะคิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีคนมากมายขนาดนี้ เพื่อไม่ให้เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นกังวล เธอจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย

“เจ้าค่ะ ข้าจะกลับเรือนเดี๋ยวนี้”

เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ข้าจะมองเจ้ากลับไปก่อนค่อยเข้าไป”

เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาที่มองมานั้นอบอุ่น จนยากจะเอ่ยปฏิเสธ เธอไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะขยับเข้าไปหาอีกฝ่าย “ท่านพี่ ท่านก้มหัวลงอีกหน่อยเจ้าค่ะ”

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร แต่ก็ก้มศีรษะลงโดยดี

เสวี่ยเจียเยว่เขย่งเท้าขึ้นแล้วเลียนแบบท่าทางที่เด็กหนุ่มเคยทำ นั่นคือเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพี่ ท่านต้องตั้งใจสอบ ข้าจะกลับไปรอข่าวดีของท่านที่เรือน”

เมื่อกล่าวจบเธอเอียงคอมองเขาด้วยรอยยิ้ม

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นรอยยิ้มในดวงตาคู่งามและลักยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนแก้มเนียน ช่างงดงามดึงดูดใจยิ่งนัก จนทำให้เขาใจอ่อนระทวยราวกับปุยเมฆบนฟากฟ้า

เขายื่นมือไปตบแก้มแม่นางน้อยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตำหนิด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่”

น้ำเสียงของเขาไร้ความไม่พอใจแต่อย่างใด ทางตรงกันข้าม… แววตาของเขากลับอ่อนโยน จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นมาอีก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะตั้งใจสอบอย่างแน่นอน”

ไม่เพียงการสอบเข้าสำนักศึกษาในครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสอบขุนนางในภายภาคหน้าด้วย เขาจะตั้งใจสอบให้ดีอย่างแน่นอน

เขาจะต้องเข้าร่วมสอบได้เป็นขุนนาง จะไม่ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ลำบากเด็ดขาด

เขาจะต้องทำให้แม่นางน้อยสบายใจและมีความสุขในทุกวัน