ตอนที่ 47 ในใต้หล้าความกตัญญูเป็นคุณธรรมประการแรก
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น
เขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของซั่งกุ้ยเฟย แต่เขามิเข้าใจว่าตนเองที่ต่ำต้อยเยี่ยงนี้ อยู่เพื่อกินและรอวันตาย เหตุอันใดพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยถึงยังคงเลือกเขากัน
แต่เขาก็ต้องตอบ เลี่ยงที่จะตอบนั้นย่อมมิได้
“แม่นางหยูงดงามปานเทพธิดา ศึกษาตำรามาอย่างเต็มเปี่ยม ย่อมเป็นสตรีที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน มิบังอาจเงยหน้ามองพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามิบังอาจเงยหน้า แต่เจ้าก็สบตา” ซั่งกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมาหนึ่งประโยค ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “นั่นก็เพราะแม่นางหยูเวิ่นหวินเป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ง่าย มิได้มีแรงกดดันต่อผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าบุตรีของข้าดีมากอย่างนั้นรึ?”
คำพูดของซั่งกุ้ยเฟยยิ่งหนักขึ้นเป็นสองเท่า ในยามนี้หากฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับว่าดีอย่างยิ่ง เยี่ยงนั้นโดยพื้นฐานเรื่องนี้ก็ได้การตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสียนชินอ๋องและหยูหงอี้ต่างก็หันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน แม้แต่หยูเวิ่นหวิน ในยามนี้ก็มองอย่างคาดหวังเช่นกัน
ตำแหน่งราชบุตรเขยผู้สูงส่ง เพียงแค่พยักหน้าลงในตอนนี้เท่านั้น ก็จะได้มันมาครอบครอง
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน คำนับไปทางพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยอย่างสุภาพ และเอ่ยอย่างช้า ๆ “ขอบพระทัยพระสนมเอกและแม่นางหยูพ่ะย่ะค่ะที่ทรงเมตตา แต่เกรงว่าจะมีบางเรื่องของข้าที่พระองค์ยังคงมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคิ้วขมวด “กล่าวมา”
“ข้าน้อยฟู่เสี่ยวกวนสูญเสียมารดาไปเมื่ออายุ 6 ปี ได้บิดาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ถึงแม้ในวันนี้บิดาของข้าจะยังไม่เลยวัยเลขสี่ แต่ความรักที่มีต่อกระหม่อมนั้นไม่เคยลดลงไปเลย บิดาเมตตาบุตรต้องกตัญญู ‘หนังสือแห่งพิธีกรรม’ ได้บัญญัติเอาไว้ว่า บุตรที่กตัญญูกตเวที จิตใจจะมีความสุข และมิฝ่าฝืนต่อปณิธาน บิดาของข้ามิได้มีความทะเยอทะยาน ทั้งชีวิตนี้ต้องการเพียงให้บุตรชายและหลานของเขาเต็มไปด้วยความสุข หากข้าจากบ้านไป ในใจคงมิมีความสุข ทั้งยังขัดต่อปณิธาน”
“ ‘หนังสือแห่งพิธีกรรม บูชาคุณธรรม’ บัญญัติไว้ว่า คุณธรรมมี 3 ประการ เป็นบุตรต้องกตัญญู มิทำให้เสียเกียรติ และเลี้ยงดูบุพการี บิดาอายุมากขึ้นในทุก ๆ วัน จวนฟู่มีข้าเป็นบุตรชายแต่เพียงผู้เดียว บิดาต้องการให้ข้าเลี้ยงดูเขาในยามบั้นปลายของชีวิต หากข้ามิสามารถกระทำตามความกตัญญูประการที่สามได้… แล้วการศึกษาตำรานักปราชญ์จะมีประโยชน์อันใดกัน ข้าจะเผชิญหน้ากับบิดาได้เยี่ยงไร จะเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าในหลินเจียงได้เยี่ยงไร และข้าจะเผชิญหน้ากับมารดาผู้ล่วงลับไปได้เยี่ยงไร”
“ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ได้ศึกษาตำรานักปราชญ์ รู้แจ้งด้วยคำสั่งสอนของนักปราชญ์ อีกทั้งยังเข้าใจความหมายของความกตัญญูเป็นอย่างดี คำกล่าวของนักปราชญ์มิอาจจะละเมิดได้ หากไถ่ถามตนเองถึงเรื่องความกตัญญู ก็มิสามารถหันหลังให้ได้”
“กระหม่อมขอทูลเกล้าฯ ถวายพระสนม มิใช่ว่ากระหม่อมมิยินยอม แต่กระหม่อมมิสามารถทำได้ พระสนมโปรดประทานอภัย แม่นางหยูเวิ่นหวินโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวออกมามิมีหยุด ถึงแม้จะดูสงบนิ่ง แต่ก็ปวดร้าวอย่างยิ่ง ความหมายของมันนั้นชัดเจนอยู่แล้ว แม้แต่ซั่งกุ้ยเฟยก็หมดหนทางที่จะกล่าวเรื่องของบุตรีของตนขึ้นมาอีก
ในฐานะราชบุตรเขย ย่อมต้องไปเมืองหลวงและพักอยู่ที่จวนขององค์หญิงเป็นระยะเวลานาน
ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ไม่มีราชบุตรเขยแม้แต่คนเดียวที่สามารถพาบิดามารดามาอยู่ด้วยได้
ราชวงศ์หยูให้ความเคารพต่อวิถีขงจื้อ และกตัญญูรู้คุณเป็นคุณธรรมประการแรก จวนฟู่มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หากยังคงบังคับไล่ต้อน ก็จะเป็นการทำลายสวรรค์
เยี่ยงนั้น ซั่งกุ้ยเฟยจึงทำได้เพียงถอนหายใจ
“เจ้าไปเถอะ เรื่องนี้ให้จบลงที่ตรงนี้”
“ขอบพระทัยพระสนมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยลา แต่ก็เห็นน้ำตาของหยูเวิ่นหวินไหลรินอาบลงมาทั้งสองแก้ม
……
…..
“น่าเสียดาย ชายหนุ่มผู้นี้… เข้ากันได้ดียิ่งกับลูกสาวของข้า ตระกูลฟู่ มีบุตรชายเพียงคนเดียวรึ ? ”
เสียนชินอ๋องครุ่นคิดและเอ่ยเสียงแผ่ว “ฟู่ต้ากวนได้ตบแต่งภรรยาใหม่แล้ว ได้ยินว่านางตั้งครรภ์แล้ว กล่าวว่าจะคลอดในเดือนเก้านี้”
ดวงตาของซั่งกุ้ยเฟยเป็นประกาย แต่คิ้วกลับขมวดนิ่ว “หากเป็นบุตรี ก็คงมิมีหวังเช่นเดิม”
เสียนชินอ๋องหันมองซ้ายขวา และกล่าวเสริมอีกว่า “ฟู่ต้ากวนผู้นั้นในวันนี้ยังไม่เลยวัยเลขสี่พ่ะย่ะค่ะ หากพระสนมประสงค์จะทำเรื่องที่ดีงามนี้รวมเข้าด้วยกัน หลังจากที่เดินทางกลับไปยังวังหลวงในครานี้ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่ฟู่ต้ากวน ให้เขาตบแต่งอีกสักสามถึงห้าคน… เขาจะต้องมีบุตรชายเพิ่มอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วที่ขมวดของซั่งกุ้ยเฟยก็คลายออก และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา “ชินอ๋องกล่าวได้สมเหตุสมผล ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีรูปลักษณ์ พรสวรรค์ และความคิดล้วนเหนือชั้น ประจวบเหมาะกับที่ไม่อยากเป็นขุนนาง ทั้งยังต้องใจกันกับหยูเวิ่นหวิน เรื่องนี้องค์จักรพรรดิย่อมเห็นด้วยเป็นแน่ ข้าจะจัดการเยี่ยงนี้”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หยูเวิ่นหวินมิได้มีคัดค้านอันใด นางตัดสินใจแล้วว่าหลังจากที่กลับไปถึงเมืองหลวง จะพูดคุยกับต่งชูหลานดี ๆ อีกครา
หนึ่งเดือนให้หลัง ฟู่ต้ากวนก็ได้รับพระราชโองการครั้งแรกในชีวิต เขาสับสนขึ้นมาทันพลัน ด้วยเหตุนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงมีแม่รองเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน
การรับอนุภรรยาของฟู่ต้ากวนกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสรรเสริญในหลินเจียงไปในทันพลัน นอกจากบิดาและบุตรจวนเสียนชินอ๋องทั้งสองคนแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ถึงสาเหตุนี้อีก
คนอื่นเพียงแค่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาทเพราะหนังสือความฝันในหอแดงเล่มนี้ และพระราชโองการนี้ก็ยิ่งทำให้ตระกูลฟู่มั่งคั่งและร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก
……
…..
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงเรือนก็ดึกดื่นแล้ว ยามที่ก้าวเข้าไปทางประตูวงเดือนของเรือนหลังก็พบว่าโคมไฟยังคงติดอยู่ และฟู่ต้ากวนก็นั่งอยู่ที่นั่นในยามนี้
บิดาและบุตรนั่งลงตรงข้ามกัน “ได้ยินว่าพระสนมเอกเรียกตัวไปพบรึ?”
“อืม องค์หญิงเก้าเองก็ประทับอยู่ที่นั่น”
“มิได้เกิดปัญหาใดขึ้นใช่รึไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า และกล่าวขำ ๆ “จะเกิดปัญหาได้เยี่ยงไร พูดคุยเรื่องหนังสือความฝันในหอแดง และให้ประพันธ์บทกวีเท่านั้น”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นยืน “เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว รีบเข้าไปนอนเสียเถิด”
“ท่านเองก็รีบพักผ่อนเช่นกัน”
ฟู่ต้ากวนเดินไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมองตามแผ่นหลังที่เริ่มห่างออกไป รู้สึกว่าการตัดสินใจกระทำการเหล่านั้นที่หอวั่งเจียงโหลวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
สำหรับหยูเวิ่นหวิน เขายอมรับความสวยของนาง แต่ไม่ได้มีความคิดอื่นใดอยู่จริง ๆ
มิใช่เพราะเป็นสุภาพบุรุษที่มีจิตใจแน่วแน่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเป็นพื้นฐาน
นอกเหนือจากที่รู้จักกันเพียงผิวเผินแล้ว เขาก็ไม่ได้มีจิตใจที่ตรงกับหยูเวิ่นหวิน มิเหมือนกับต่งชูหลาน เขาทั้งสองแลกเปลี่ยนจดหมายกันมาหลายครั้ง และมีการแลกเปลี่ยนทางความคิดกันมาหลายครา ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ทั้งสองฝ่ายต่างตรงไปตรงมา และไว้วางใจกันอย่างยิ่ง จึงได้เกิดความห่วงใยและความคำนึงถึงกันตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงขึ้นชั้นสองไป และเขียนจดหมายให้กับต่งชูหลาน
เนื้อหาในจดหมายครานี้บรรยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในซ่างหลินโจว รวมไปถึงคำถามในภายหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย และคำตอบของเขา เขามิได้ปิดบังแต่อย่างใด เพียงแค่คิดว่าต่งชูหลานควรจะได้รับรู้เรื่องนี้ จะได้หาโอกาสไปให้กำลังใจหยูเวิ่นหวิน เพราะในตอนท้ายหยูเวิ่นหวินก็ร้องไห้ไปแล้ว
เดิมทีก็คิดว่าจะถามต่งชูหลานด้วยว่าสามารถจัดการเรื่องเอกสารอนุมัติการขุดเหมืองให้ได้หรือไม่ ใคร่ครวญไปมา ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะลองไปหาอาจารย์ฉินดูเสียก่อน พลังของผู้อาวุโสท่านนี้ยิ่งใหญ่นัก เพราะแม้แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ก็ยังให้ความเคารพเขา
จากนั้นก็เขียนถึงปัญหาการกำหนดราคาของความฝันในหอแดง กล่าวว่าหากเขียนอย่างต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งร้อยบท กลัวว่าหญิงสาวหลาย ๆ คนจะต้องใช้สินสมรสจนหมด จะโหดร้ายเกินไปหรือไม่
เขาเขียนจดหมายเสร็จแล้วแต่ก็ยังมิง่วง เมื่อมาถึงเรือนก็นั่งสมาธิเพื่อฝึกลมหายใจ แต่ก็ไม่สามารถสงบจิตใจได้ จึงกลับไปยังชั้นสองเพื่อประพันธ์ความฝันในหอแดงต่อ
ซูม่อเองก็ยังมิได้หลับ เขายืนมองอยู่ที่ตึกตรงข้าม ลอบคิดว่าตั้งแต่ที่กลับมาจากซ่างหลินโจวชายผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับความพ่ายแพ้มา แต่เขาในยามนี้กลับนั่งลงที่เบื้องหน้าหน้าต่างและกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน ในตอนที่กำลังจะหันหลังกลับห้อง ทันใดนั้นเขากลับมองขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นก็เคลื่อนไหวร่าง และขึ้นไปยังบนหลังคา
เขาพบเห็นคนชุดดำร่างหนึ่งร่อนลงที่เรือนตะวันตก นั่นคือเรือนที่ชีชื่ออาศัยอยู่ ซูม่อครุ่นคิดและบินตามออกไป ราวกับนกในยามค่ำคืน และร่อนลงที่หลังคาหลังหนึ่ง
ทันใดนั้นไฟในเรือนก็สว่างขึ้น ประตูบานใหญ่ของเรือนเปิดออกเล็กน้อย ศีรษะของสาวใช้ผู้หนึ่งยื่นออกมาทางช่องประตู หันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกมา
สาวใช้ส่งของสิ่งหนึ่งให้กับคนชุดดำ คนชุดดำนั้นได้ออกไปจากเรือนตะวันตก สาวใช้หันหลังกลับเข้าไปในเรือน และปิดประตูทันที
ซูม่อเองก็บินตามไป แต่กลับพบเห็นว่าคนชุดดำร่อนลงไปในจวนที่ออกห่างไปไม่ไกล นั่นคือจวนจาง !