เยี่ยยวนผงะ ร่างของเขาแข็งทื่อ
เดี๋ยว!
เขาไม่เคยคิดวิธีนี้มาก่อนหรือ
“ตามที่เจ้าปรารถนา!” เขาตอบด้วยความจริงจัง ราวกับว่าข้าเห็นแก่หน้าเจ้าถึงได้ลองดูหรอกนะ
“…”
ท่านไม่เคยคิดมาก่อนสินะ!
นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่ร่างของอาจารย์ปู่ประกายแสงสีขาว ใบหน้าดุจเทพนั้นเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง รูปหน้าอันหล่อเหลาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นใบหนาหยาบหนา บนหน้าเริ่มมีหนวดเครางอกขึ้น ส่วนสูงเริ่มเตี้ยลง รูปร่างเริ่มขยายออกด้านข้าง หน้าท้องนูนโป่ง ยิ่งกลายร่างยิ่งเหมือน….
ตาโจว!
“…”
ทั้งสองคนไร้คำพูด กลายร่างเป็นตาโจวคืออะไรกัน? ถึงแม้จะเปลี่ยนหน้าตา แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนไปเป็นหน้าตาของคนอื่นได้หรือไม่
“เป็นไง” แต่ว่าคนบางคนนั้นกลับถามออกมาด้วยความจริงจังโดยใช้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา
“เอ่อ…” อวิ๋นเจี่ยวปากกระตุก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเสนอแนะออกมา “อาจารย์ปู่ หรือไม่…ท่านลองแปลงให้เด็กลงหน่อย” ไม่ใช่เลียนแบบหน้าตาของตาโจวเช่นนี้
เขาขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้ารับ แสงสีขาวรอบตัวประกายขึ้นอีกครั้ง หนวดเคราบนใบหน้าหายไปแล้ว ส่วนสูงก็เพิ่มขึ้นมาหน่อย เด็กลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่ถึงชั่วครู่ก็กลายเป็น…
เซ่าเซี่ยน!
ทั้งสองคน “…”
ท่านกำลังล้อข้าเล่น!
“คนนี้ได้หรือไม่”
“เอ่อ…ข้าว่าสามารถสุขุมกว่านี้ ใช่! สุขุม!”
“ได้”
แสงขาวสว่างขึ้น รูปร่างเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากนั้นก็กลายเป็น…
…สวีชิงเฟิง
ทั้งสองคน “…” พาเจ้าสำนักเทียนซือไปทำภารกิจ ต้องการจะประกาศให้โลกรู้ว่าพวกนางเป็นตัวปลอมหรือไง
“อันนี้สุขุมมากเกินไป หรือไม่…เปลี่ยนอีกที?”
“อืม”
คนต่อมา…
เจียวเหิงอี
“เปลี่ยนอีก…”
ไป๋อวี้
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ไป๋อวี้ “…”
สรุปว่านี่คือการแปลงร่างหรือว่าโคลนนิ่งกันแน่เนี่ย?
ดูท่าทางอาจารย์ปู่สามารถแปลงร่างเป็นคนที่ตัวเองเคยเห็นเท่านั้น แต่ราวกับว่าเขาจะสนุกกับการแปลงร่างนี้ แปลงไปแปลงมาอยู่นับสิบคน อีกทั้งแต่ละคนล้วนเป็นคนคุ้นหน้าทั้งนั้น ดูท่าทางเขากำลังจะแปลงร่างกลายเป็นอมนุษย์อยู่แล้ว พวกนางไม่มีวิธี จึงได้พูดห้ามการกระทำโคลนนิ่งของเขาเอาไว้
“ได้! คนนี้แหละ! อาจารย์ปู่หยุดแปลงได้แล้ว คนนี้ดีแล้ว ดีมาก! คนนี้แหละ”
“จริงหรือ” เขาใช้ใบหน้าเหมือนกับจี้เฉิน เอียงคอถามออกมาอย่างสงสัย “คนนี้สุขุมแล้วหรือ”
“สุขุม สุขุมอย่างยิ่ง!” คูณสอง…ไม่กล้าไม่สุขุม!
“ได้!”
ทั้งสองคนถึงได้ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ถ้าปล่อยให้เขาแปลงต่อไปพระอาทิตย์ก็จะตกดินอยู่แล้ว
——————
เมืองผิงตันเป็นเมืองแถบชายแดนทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นทิศทางตรงข้ามกับสำนักชิงหยางอย่างพอดี หากเดินเท้าต้องใช้เวลากว่าสองเดือน ถึงแม้จะใช้ข่ายพลังขนส่งก็ต้องเปลี่ยนข่ายพลังไปมาราวสิบกว่าอัน และต้องใช้เวลากว่าสามวันถึงจะถึง
แต่สำหรับอวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ที่มีอุปกรณ์เสริมแล้วนั้น พวกนางใช้เพียงยันต์ใบเดียว ไม่ถึงสามวินาที อาจารย์ปู่ก็ส่งพวกนางมาถึงหน้าประตูเมืองผิงตันแล้ว การเดินทางไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือตัวอาจารย์ปู่
อวิ๋นเจี่ยวเดาเอาไว้ไม่ผิด ตั้งแต่อาจารย์ปู่เปลี่ยนเป็นหน้าของจี้เฉินแล้ว การกระทำที่เมื่อเห็นหน้าเขาแล้วก็ร้องขออยากแต่งงานอยากถูกต้มกินก็หายไปจนหมดสิ้น ถึงแม้จี้เฉินจะหน้าตาใช้ได้ แต่ก็ทำให้คนหันหน้ามามองเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นกระโจนเข้ามา
อาจารย์ปู่ราวกับได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาดูท่าทางรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาลุกวาวราวกับเด็กขี้สงสัย ดูทางนี้ทีดูทางโน้น สังเกตได้จาก เขามักจะหยุดลงบริเวณหน้าร้านขายซาลาเปา ร้านผลไม้แห้ง ร้านขนม และร้านผลไม้เคลือบน้ำตาล…
หากเพียงแค่ต้องการกินก็แล้วไป ในเมื่อตอนนี้พวกนางมีเงิน แต่เขาดันจ้องมองอาหารของร้านคนอื่นแล้วยังทำหน้ารังเกียจ อีกทั้งในบางครั้งยังพูดออกมาว่า กลิ่นเหม็นเน่า มันเลี่ยน กินไม่ลง ราวกับอาหารหมู…
จากนั้นยังหันหลังมาสั่งอวิ๋นเจี่ยวว่า “เจ้ามาทำ”
อวิ๋นเจี่ยว “…”เอ็มเอ็มพี!
ท่านทำอย่างนี้ต้องถูกตีตายเข้าสักวัน รู้ตัวไหม
เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าของร้านค้าเริ่มดำเทียบก้นหม้อแล้ว พวกนางจึงรีบลากคนออกไป มิเช่นนั้นทั้งสามคนคงได้โดนกระทืบเป็นแน่
“ศิษย์หลาน…” แต่คนต้นเรื่องกลับทำสีหน้าฉงน “ทำไมต้องหนี ของนั้น…”
“ทำ! ทำทั้งหมด! กลับไปแล้วจะทำให้ท่านกินทั้งหมด ตกลงหรือไม่” อวิ๋นเจี่ยวรีบตอบ
บางคนถึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เป็นศิษย์หลานที่ดีจริงๆ มีความสุข!
อวิ๋นเจี่ยว และ ไป๋อวี้ “…” อยากเปลี่ยนอาจารย์ปู่
***
สาขาของสำนักเทียนซือหาได้ไม่ยาก หลังจากพวกเขาเข้าเมืองมาได้ไม่นาน ก็เห็นสัญลักษณ์ของสำนักเทียนซือ เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างห่างไกล ด้านในจึงไม่ค่อยมีคน มีเพียงคนหนึ่งที่ท่าทางราวกับผู้ดูแลกำลังนั่งอยู่ที่ตำหนักหน้า บริเวณด้านข้างห้อยเหรียญทองแดงเอาไว้เหรียญหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า เทียนซือสี่เหรียญ
เมื่อเขาเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา เหลือบมองลายปักดอกไม้บนปกเสื้อของชายชรา ก่อนจะรีบเดินเข้ามาต้อนรับ “ไม่ทราบว่าท่านสหายทั้งหลายมาที่นี่ด้วยเหตุใด”
“พวกข้าเป็นศิษย์สำนักชิงหยาง ได้รับภารกิจจากสำนักเทียนซือ” ชายชราเอ่ยปาก
“ชิงหยาง?” ผู้ดูแลผงะไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันหน้ามามองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง “ท่าน…ท่านคืออาจารย์อวิ๋น?” วันนี้นางไม่ได้สวมชุดของสำนักเทียนซือ จึงทำให้อีกฝ่ายจำไม่ได้ในตอนแรก
“ข้าคืออวิ๋นเจี่ยว” อาจารย์อะไรกัน
“ทำไมท่านถึงเร็ว…” ผู้ดูแลตะลึงมากยิ่งขึ้น ไม่ได้บอกว่าสามวันหรือ จากนั้นถึงได้ตั้งสติได้ ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพูดด้วยสีหน้าดีใจ “อาจารย์อวิ๋นมาก็ดีแล้ว เรื่องในครั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเทียนซือธรรมดาไม่สามารถจัดการได้ พวกข้าถึงได้แจ้งขึ้นไป”
“ภารกิจอะไรกัน”
ผู้ดูแลถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องเป็นเช่นนี้ นอกเมืองผิงตันราวสิบลี้ มีหมู่บ้านหนึ่งชื่อหลี่อัน ช่วงก่อนหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขามาแจ้งว่า ในหมู่บ้านมักจะมีเด็กหาย ทางราชการตรวจสอบอยู่นานก็ไร้ผล จึงสงสัยว่ามีสิ่งสกปรกบางอย่าง ตอนแรกพวกข้าก็ไม่ได้ใส่ใจมาก จึงส่งสหายเต๋าไปดูเพียงสามสี่คน ใครจะคิดว่าสหายเต๋าเหล่านั้น ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย! แม้แต่ยันต์ส่งสารยังไม่สามารถติดต่อได้”
“พวกเขาเป็นเทียนซือระดับไหน” ชายชราถาม
“มีเทียนซือระดับสามเหรียญสองคน ระดับห้าเหรียญหนึ่งคน แล้วก็มีอีกคนเป็น…” ผู้ดูแลชะงักไป เหลือบมองชายชราหนึ่งทีก่อนจะพูด “เป็นระดับหนึ่งดอกไม้”
“เทียนซือระดับหนึ่งดอกไม้ก็หายไปด้วย!” ชายชราตกใจ
“ใช่แล้ว” ผู้ดูแลพยักหน้า “พวกข้าได้ออกค้นหาทั่วทั้งหมู่บ้าน รวมทั้งบริเวณรอบข้างแล้ว ในหมู่บ้านไม่มีแม้แต่เงาของพลังชั่วร้าย แต่เด็กเล็กนั้นหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ ราวสามสี่วันเด็กจะหายไปคนหนึ่ง”
“ตอนนี้หายไปกี่คนแล้ว”
ผู้ดูแลครุ่นคิด “ครั้งที่แล้วบอกว่าหายไปสิบห้าคน ถึงตอนนี้คาดว่าจะมีมากขึ้น”
อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้เงียบไปสักพัก ตามสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องในครั้งนี้ค่อนข้างสาหัสอยู่พวกนางได้ถามต่อเกี่ยวกับรายละเอียด ถึงได้หันหลังเดินออกไป เตรียมตัวไปที่หมู่บ้านหลี่อันดูลาดเลา
“จริงสิ อาจารย์อวิ๋น” เขานึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะหันไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากในตู้ออกมา “นี่เป็นสารภารกิจจากสำนักเทียนซือ ท่านเอาสารฉบับนี้ไปหาหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านหลี่อัน เขาน่าจะรู้รายละเอียดมากกว่า”
ทั้งสองคนพยักหน้า ก่อนจะรับจดหมายมาจากเขาและกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงได้หันหลังเดินออกไปทางหมู่บ้านหลี่อัน