บทที่ 64 ในที่สุดหัวข้าก็เขียวแล้ว

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 64 ในที่สุดหัวข้าก็เขียวแล้ว?
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร อวิ๋นซีพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อลงเดิมพันแล้ว อวิ๋นซีก็ต้องยอมรับผลการเดิมพัน”

พอได้ยินว่าเสิ่นเทียนไม่เอาหินแร่นี่ จางอวิ๋นซีพลันหน้าแดงขึ้นมา

นางเป็นผู้หญิงที่เย็นชาอย่างยิ่งมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคนไม่ยอมคนมาตลอด ครั้งนี้ในเมื่อนางสงสัยความสามารถของเสิ่นเทียน ทั้งยังเดิมพันกับเถ้าแก่ซ่งแล้ว

เช่นนั้นนางก็ยอมรับผลการเดิมพัน จี้มังกรพยัคฆ์นี่เป็นของเสิ่นเทียนตามที่เดิมพันไว้ก่อนหน้านี้

จางอวิ๋นซีไม่สนเรื่องกล้ำกลืนคำพูด นางแค่อยากใช้ของอื่นแลกจี้หยกกลับมา

นางสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องเสิ่นเทียนพลางเอ่ย “สหายเสิ่น โปรดอย่าดูถูกข้า จี้มังกรพยัคฆ์นี้ควรจะเป็นของสหายเสิ่นตามการเดิมพัน อวิ๋นซีแค่หวังว่าสหายเสิ่นจะตัดใจยอมแลกเปลี่ยนกัน อวิ๋นซียินดีใช้ทุกอย่างแลกเปลี่ยน ขอให้สหายเสิ่นบอกราคามาได้เลย!”

……

เสิ่นเทียนมองจางอวิ๋นซีที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความแน่วแน่แล้วก็จนปัญญา

แม่นางคนนี้คงไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง!

ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาค่าตอบแทน ให้เจ้าเอาจี้หยกไปได้เลย เจ้ากลับจะเอาของอย่างอื่นมาแลกหรือ

นี่มันไม่เสียเวลารึไง!

เสิ่นเทียนมองไปนอกหน้าต่าง สายฟ้าบนท้องนภานั้นหายไปแล้ว ปรากฏการณ์พิลึกเหนือฟ้าสวนหมื่นวิญญาณต้องพาผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดมาแน่

ต้องรีบโยนมันหวานลวกมือนี่ไปเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้

เสิ่นเทียนมองจางอวิ๋นซี สายตานั้นทำให้นางหน้าแดงเล็กน้อย

เขาขบคิดแล้วถาม “อะไรก็ได้จริงๆ รึ”

บัดซบ หรือว่าเจ้านี่อยากจะให้ข้าใช้เรือนร่างจริงๆ?

แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ เกี่ยวกับความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เขาจะฉวยโอกาสเอาเปรียบก็ได้แต่ยอมรับแล้ว!

จางอวิ๋นซีถอนหายใจ “ใช่!”

เสิ่นเทียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องการ…หน้ากากบนใบหน้าท่านเซียน!”

หน้ากากขนหงส์ที่จางอวิ๋นซีใส่อยู่นั้น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแพงมาก

น่าจะเป็นของหายากด้วย

ตอนนี้เวลาเร่งด่วน ต้องรีบแลกๆ ไปให้เสร็จแล้วเผ่นหนี

คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้จางอวิ๋นซีงุนงงไปอย่างเห็นได้ชัด

นางสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “สหายเสิ่นมั่นใจรึ”

เสิ่นเทียนพยักหน้า “ใช่ มั่นใจ”

ใบหน้าใต้หน้ากากจางอวิ๋นซีแดงขึ้นมาทีละนิด

ไม่นึกเลยว่าข้าจะเข้าใจคุณชายเสิ่นผิดไป เขาไม่ใช่คนชอบฉวยโอกาสเอาเปรียบ

ต้องการหน้ากากขนหงส์ข้าก็เพื่อจะดูใบหน้าข้าหรือ

หรือว่าอยากเก็บหน้ากากไว้ ภายภาคหน้าจะเก็บไว้ดูยามคิดถึง?

……..

หน้ากากขนหงส์มีความหมายไม่ธรรมดาสำหรับจางอวิ๋นซี มันคือสมบัติวิญญาณระดับสูงสุดที่ได้รับถ่ายทอดมาจากผู้อาวุโสชื่ออวี่หยวนอาจารย์ของนาง

ไม่เพียงแค่สามารถสกัดการตรวจสอบด้วยจิตทุกชนิด แต่ยังอำพรางพลังภายในตัวเองได้

ตั้งแต่จางอวิ๋นซีรับหน้ากากนี้มาแล้ว ก็ไม่เคยถอดออกต่อหน้าคนนอกเลย

แม้แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ คนที่เคยเห็นใบหน้าแท้จริงของนางยังมีน้อยยิ่ง

แต่ตอนนี้ เสิ่นเทียนกลับจะใช้จี้หยกมังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์แลกกับหน้ากากขนหงส์ของนาง

จางอวิ๋นซีใจสั่นไหว ‘คุณชายเสิ่นใช้วิชาจักรพรรดิแลกกับดูหน้าข้าหรือ หรือว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาจะสนใจข้าแล้ว?’

พอเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ จางอวิ๋นซีก็หน้าแดงไปถึงหู

นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วว่า “ได้ ข้าตกลงกับเจ้า!”

เมื่อเอ่ยจบ จางอวิ๋นซีก็ระเบิดกลิ่นอายพลังที่แก่กล้าอย่างยิ่งมาทั้งตัว สายฟ้าสีเงินรวมเป็นพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่ง ห่อหุ้มเสิ่นเทียนกับจางอวิ๋นซีเอาไว้ข้างใน

ส่วนกุ้ยกงกง ฉินเกา เถ้าแก่ซ่ง และพวกหลิวไท่อี่ถูกตัดขาดอยู่ข้างนอก

จางอวิ๋นซีถอดหน้ากากบนหน้าออกช้าๆ ภายใต้แสงสะท้อนสายฟ้าสีเงิน

เนื้อนวลดั่งหิมะ ผิวราวกับหยกขาว คิ้วเหมือนใบหลิ่ว ดวงตาดั่งดารา

ไม่สดใสล่มเมืองเหมือนเสี่ยวหลิงเซียน และไม่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนหลี่เหลียนเอ๋อร์ ไม่เศร้าระทมเคียดแค้นเช่นจิ่วเอ๋อร์

จางอวิ๋นซีมีเอกลักษณ์ไปทางงดงามและเย็นชา ตรงกลางหน้าผากมีความองอาจผึ่งผายของวีรสตรี

แม้ใบหน้าจะงดงามอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้คนไม่เกิดความคิดดูหมิ่นเลย

นี่คือเทพีสงครามที่มีบุคลิกและความสามารถเลิศล้ำ ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ

ถ้าจะให้บรรยายละก็ นางทำให้เสิ่นเทียนนึกถึงหญิงแกร่งหลายท่านนั้น

ฮวามู่หลันที่ออกศึกแทนบิดา มู่กุ้ยอิง[1]ที่เป็นแม่ทัพใหญ่

สตรีเหล่านี้น่าจะเป็นคนแบบเดียวกัน

เสิ่นเทียนกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จางอวิ๋นซีก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“อวิ๋นซีเข้าใจเจตนาท่านชายแล้ว แต่ขอให้อภัยอวิ๋นซีด้วยที่ตอนนี้มีธุระต้องจัดการ อยู่ข้างกายท่านชายไม่ได้จริงๆ สารภาพตามตรง จี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์นี้เป็นสมบัติลับมรดกแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ข้า

ตอนนี้ปรากฏการณ์สะเทือนฟ้า อวิ๋นซีต้องเอาจี้หยกไปเดี๋ยวนี้ ถ้าครั้งนี้อวิ๋นซีส่งจี้หยกกลับแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำหน้าที่ตัวเองเสร็จสิ้นอย่างราบรื่นแล้วจะกลับมาหาท่านชายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น อวิ๋นซียินดีทำตามคำขอของท่านชาย

หากอวิ๋นซีโชคไม่ดี เจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์ละก็”

นัยน์ตาจางอวิ๋นซีฉายแววเศร้าเล็กน้อย “ก็ขอให้ท่านชายตอบตกลงคำขออย่างหนึ่งของอวิ๋นซีด้วย”

คำพูดของจางอวิ๋นซีทำให้เสิ่นเทียนงงเป็นไก่ตาแตก

เจ้าเข้าใจเจตนาของข้าอะไรกัน

ข้าแค่ต้องการหน้ากากเจ้าเอง?

ต้องอธิบายเยอะขนาดนี้เลยรึ

แต่เสิ่นเทียนไม่ได้ใส่ใจคำขอของจางอวิ๋นซีจริงๆ

ถ้าเสิ่นเทียนแย่งจี้หยกนี่ไป บางทีอาจจะเจอกับหายนะไม่คาดฝันจริงๆ ก็ได้

แต่จางอวิ๋นซีเอาไปไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะเดิมทีนี่เป็นโชคลิขิตของนางอยู่แล้ว

ในเมื่อจางอวิ๋นซีมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่อง เช่นนั้นคำขอนี้ก็ถือว่าเป็นน้ำใจคนที่ได้มาเปล่าๆ หรือไม่

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็พูดอย่างถูกต้องชอบธรรม “ขอให้ท่านเซียนพูดมาตรงๆ เลย ข้าจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!”

จางอวิ๋นซีเผยรอยยิ้มงดงาม “ท่านชายไม่ฟังหน่อยรึว่าเรื่องอะไร”

เสิ่นเทียนตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ท่านเซียนมีวาสนากับข้า ข้าจะไม่ปฏิเสธ”

เมื่อได้ฟังคำตอบของเสิ่นเทียนแล้ว นัยน์ตาจางอวิ๋นซีมีความซาบซึ้งใจวาบผ่านเล็กน้อย

นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะจิกนิ้วชี้เรียกโลหิตสีแดงคล้ำออกมาหยดหนึ่ง โลหิตหยดนี้ตกลงบนจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ก่อนซึมเข้าไปทีละน้อย

จากนั้นนางประสานมุทราออกมาเป็นสัญลักษณ์มุทราทีละอัน แล้วจึงหลอมรวมเข้าไปในจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์

ทันใดนั้น จี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์เปล่งแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง

ลำแสงสีทองสามสายสะท้อนเข้าไปหาเสิ่นเทียนอย่างรวดเร็ว

ภายในชั่วพริบตา ลำแสงสามสายนั้นหายเข้าไปในระหว่างคิ้วเสิ่นเทียน ทางด้านเสิ่นเทียนรู้สึกว่ามีข้อมูลมหาศาลโผล่มาในความคิดอย่างน่าอัศจรรย์

นั่นคือมรดกสืบทอดที่ลึกลับอย่างยิ่งสามวิชา เคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมกับวิชาหลอมกายจักรพรรดิอัสนี รวมถึงมรดกต้องห้ามสูงสุดที่หายสาบสูญไปเมื่อหมื่นปีก่อนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ วิชาเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์!

……

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ จางอวิ๋นซีหน้าซีดขาวเล็กน้อย

นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านชาย อวิ๋นซีถ่ายทอดมรดกสามวิชาในจี้หยกมังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ให้เจ้าหมดแล้ว ครั้งนี้หากอวิ๋นซีเจอหายนะไม่คาดฝัน ไม่อาจส่งจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์กลับแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ขอให้ภายภาคหน้าท่านชายเดินทางไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้วคืนมรดกแทนอวิ๋นซีด้วย

หากภพหน้ามีจริง อวิ๋นซีจะตอบแทนบุญคุณยิ่งใหญ่ให้ท่านชายอย่างแน่นอน!”

จางอวิ๋นซีพูดจบ พยัคฆ์ขาวที่รวมขึ้นจากสายฟ้าธาตุทองพลันแตกกระจาย พลังวิญญาณรวมกันเป็นหน้ากากมายาบดบังใบหน้านางอีกครั้ง ก่อนที่นางจะกำจี้หยกมังกรพยัคฆ์ไว้ในมือแล้วทะยานขึ้นฟ้าไป

แปลงกายเป็นสายฟ้าสีเงินสายหนึ่งพุ่งไกลออกไป

นางต้องหนีไปให้ไกลหมื่นลี้ ส่งมอบจี้หยกให้ถึงมือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ให้สำเร็จ

ตอนนั้น นางถึงจะถือว่าทำภารกิจของตนเสร็จสิ้นอย่างแท้จริง

……..

เสิ่นเทียนมองจางอวิ๋นซีที่เหาะไกลออกไป พลางรู้สึกว่าตนเหมือนจะเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

“เฮ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงแทนนางหรอก ห่วงตัวเองเยอะๆ เถอะ!”

เมื่อได้จี้หยกมังกรพยัคฆ์แล้ว วงรัศมีของจางอวิ๋นซีแทบจะกลายเป็นดวงตะวันทองคำ

ดวงชะตาแกร่งระดับนี้ ใครกันจะกล้าปล้นชิงของนาง?

เฮอะๆ คงจะได้ถูกจัดการเป็นกองเถ้าถ่านในทันที!

เสิ่นเทียนยิ้มเจื่อน เก็บหน้ากากขนหงส์ที่จางอวิ๋นซีให้ไว้

เขาหยิบกระจกที่พกเป็นประจำออกมาจากในอกเสื้อ มองไปในกระจกอย่างเฝ้ารอคอย

พริบตาต่อมา เสิ่นเทียนเบ้าตาแดงแล้ว

เสียงเขาสั่นเพราะความตกใจและตื่นเต้น

‘เขียวแล้ว ในที่สุดหัวข้าก็เขียวแล้ว!’

………………………………………………………………

[1] มู่กุ้ยอิง คือยอดหญิงแห่งตระกูลหยาง จากเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง