บทที่ 60 หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาเยือน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

‘พรืด…’ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินไท่ที่กำลังดื่มชาก็พ่นออกมาทันที

หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นพากันแข็งทื่อ และหันไปมองสวี่ชีอันอย่างรวดเร็ว

“คนที่แต่งบทกวีไม่ใช่หยางหลิงหรอกหรือ”

น้องเล็กช่างวอนนัก ขายข้าง่ายๆ เช่นนี้…สวี่ชีอันกัดฟัน “เป็นนามแฝงของข้าขอรับ”

“จริงหรือ”

“จริงขอรับ!”

ทั้งสองคนยังไม่เชื่อ จึงถามว่า “เจ้าไปทำอะไรที่สำนักสังคีต”

สวี่ชีอันนั่งตัวตรง และตอบว่า “ตามประสาชายหนุ่มเชยชมของสวยงามขอรับ”

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามรู้สึกว่ามีเลือดอุดตันในอก อยากอาเจียนออกมาแต่ก็อาเจียนไม่ได้

ไม่กี่วินาทีต่อมา จางเซิ่นก็ลุกขึ้น และชี้ไปที่จมูกของสวี่ชีอัน “เจ้า เจ้า…”

เขาหันไปรอบๆ ห้อง และกระวนกระวายจนไม่รู้จะกระวนกระวายอย่างไร “บทเพลงแต่โบราณ เจ้าใช้กับผู้หญิงค้าประเวณี นางมีค่าหรือ นางคู่ควรหรือ”

ใช่ๆๆ ใช้กับเจ้าก็ดี…สวี่ชีอันแอบสาปแช่งในใจ แต่สีหน้าแสดงท่าทางฟังอาจารย์ตำหนิ

หลี่มู่ไป๋ลุกลี้ลุกลนเช่นกัน “ชมดอกบ๊วยน่ะ ‘หออิ่งเหมยมอบให้ฝูเซียง’ ช่างสามหาว สามหาวเหลือเกิน ทำให้บทกวีดีๆ เสื่อมเสีย”

หากเปลี่ยนเป็น ‘สำนักอวิ๋นลู่มอบให้ท่านมู่ไป๋’ ได้ ท่านก็คงจะหัวเราะเป็นเสียงหมูออกมา…สวี่ชีอันแขวะในใจ

บทกวีสองบรรทัดนี้จะกลายเป็นที่รู้จักชั่วนิรันดร์…ใช้กับผู้หญิงค้าประเวณี เสียเปล่าจริงๆ แต่เรื่องต่างๆ ไม่อาจมองเพียงแค่ผิวเผินได้ หากบทกวีบทนี้ไม่ชนะใจคณิกาฝูเซียง เขาจะเผยข่าวที่เป็นประโยชน์ออกมาได้อย่างไร

จะใส่ร้ายโจวลี่ได้อย่างไร

ไม่ใส่ร้ายโจวลี่ หากรองเจ้ากรมโจวรอดมาได้ล่ะ หากศัตรูทางการเมืองไม่ต่อสู้กับเขาล่ะ

บทสรุปที่รอต้อนรับบ้านสกุลสวี่จะเป็นแบบไหน

เดิมทีบทกวีก็คัดลอกมา จึงไม่รู้สึกเสียใจ อีกอย่าง หากแก้ไขปัญหาปัจจุบันไม่ได้ เสบียงในท้องเยอะขึ้นจะมีประโยชน์อะไร

บทกวีดีเพียงใด หากแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์จริงๆ ได้ มันถึงจะมีประโยชน์

เฉินไท่ถอนหายใจออกมา สำหรับหยางหลิงเป็นนามแฝงของสวี่ชีอัน ตอนแรกเขาก็ตกใจและไม่เชื่อ แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลอยู่

พรสวรรค์ด้านบทกวีเช่นนี้ จะบอกให้ปรากฏขึ้นมาก็ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร

“หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นรับเขาเป็นศิษย์ได้ ข้าก็รับได้เช่นกัน…ในเมื่อมีอาจารย์สองคน เช่นนั้นเหตุใดจะมีสามคนไม่ได้…” ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินแอบตัดสินใจว่า จะหาโอกาสรับนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านบทกวีคนนี้เข้าสังกัดในอนาคต

หลังผ่านช่วงเวลาโจมตีทางวาจา สวี่ชีอันก็ยอมรับผิดอย่างเชื่อฟัง และให้คำมั่นสัญญาว่าหากในอนาคตมีบทกวีดีๆ จะให้อาจารย์ทั้งสองคนแก้ไขและขัดเกลาก่อน

หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นพยายามทำให้ใจเย็นลง

นอกจากความเสียใจที่เสียไปกับบทกวีแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนยังรู้สึกจริงๆ ว่าสวี่ชีอันใช้บทกวีบทนี้กับคณิกาของสำนักสังคีต ช่างเสียเปล่า

สิ้นเปลืองทรัพยากร

สวี่ซินเหนียนยังถือว่ามีสามัญสำนึกอยู่บ้าง เขาออกมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทันเวลา และเปลี่ยนหัวข้อ “น้องหญิงศึกษาที่สำนักมาหลายวัน ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากัน เฉินไท่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องหญิงของเจ้า จิตใจหนักแน่นและทำลายไม่ได้จริงๆ”

จางเซิ่นพูดอย่างจนปัญญา “ในช่วงเวลาสิบวัน อาจารย์ที่สอนน้องเจ้าเปลี่ยนถึงสี่คน”

หลี่มู่ไป๋พูดเสริม “พวกเขาให้คำมั่นว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่สอนเด็กเล็กๆ อีก”

สวี่ฉือจิ้วกับสวี่หนิงเยี่ยน “…”

ณ ลานเล็ก ครอบครัวกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปนาน

อาสะใภ้ต้อนรับสามีกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างมีความสุข อารองก็กอดลูกสาวกับภรรยาอย่างมีความสุขเช่นกัน

เมื่อสวี่หลิงอินเห็นพ่อ ความเศร้าโศกก็ผุดขึ้นมาจากข้างใน นางกอดขาของเขาร้องฮือๆๆ อยู่ครู่หนึ่ง

อารองสวี่รู้สึกสงสารนางไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่าลูกสาวศึกษาที่สำนัก ต้องทนทุกข์ทรมานมาก อาจารย์ของสำนักต้องเข้มงวดมากแน่ๆ

สวี่หลิงเยวี่ยที่สวมชุดผ้าไหมสีเขียวยืนอยู่ข้างๆ เมื่อมองภาพนี้ใบหน้ารูปไข่ที่ซูบลงของเด็กสาวเผยรอยยิ้มสดใสออกมา

นางอายุมากแล้ว ไม่อาจโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อโดยไม่กลัวเกรงเหมือนเสี่ยวโต้วติงได้ และไม่ใช่ลูกชายคนโต จึงไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เหมือนพี่ชาย

เด็กที่ยืนอยู่ตรงกลางมักจะค่อนข้างเขินอาย

“ไม่เจอกันสิบวัน น้องหญิงซูบผอมลงมาก” สวี่ชีอันเดินเข้าไป ดึงมืออันอ่อนนุ่มของน้องสาว และพินิจอย่างละเอียด

รอบเอวเรียวที่รัดเข็มขัดเข้ารูป หน้าอกเริ่มนูนขึ้น รูปร่างกำลังโตของหญิงสาวมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

ดวงตากลมโตบนใบหน้ารูปไข่ ไม่ว่าจะมองใกล้หรือไกลก็ไร้ที่ติ ขาดเสน่ห์ของหญิงสาวเล็กน้อย แต่มีความงามกับไหวพริบอันบริสุทธิ์ของสาวน้อย

สวี่หลิงเยวี่ยชักมือออกอย่างไม่รู้ตัว และอดกลั้นไว้ อุณหภูมิที่ฝ่ามือของพี่ใหญ่ทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้น ตาใสแป๋วเป็นระลอกคลื่น นางตะโกนออกมาเบาๆ “พี่ใหญ่…”

ระหว่างทางที่กลับบ้าน สวี่หลิงเยวี่ยเสนอตัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนว่าอยากขี่ม้า แต่เพราะขี่ม้าไม่เป็น หลังจากได้รับการยินยอมจากพ่อ นางก็ขี่ม้าตัวเดียวกับสวี่ชีอัน

แดดร้อน ลมพัดใบหน้าเย็นเล็กน้อย การขี่ม้าในฤดูหนาว ก็เทียบได้กับการขับมอเตอร์ไซค์ในวันเพ็ญเดือนสิบสองของฤดูหนาว และไม่สวมหมวกนิรภัย

สุดท้ายแล้วสวี่หลิงเยวี่ยก็เป็นผู้หญิง ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอันแน่น มองทิวทัศน์รอบๆ ด้วยดวงตาระยิบระยับ และรู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในอ้อมแขนของสวี่ซินเหนียนก็มีน้องสาวคนหนึ่งเช่นกัน

“พี่รอง ม้าเขย่าจนข้าจะอ้วกแล้ว…”

“เช่นนั้นก็กลับไปในรถม้า”

“ข้าไม่อยาก ข้าอยากขี่คอท่าน”

สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วแน่นด้วยความรำคาญเสี่ยวโต้วติง

อาสะใภ้ที่อยู่ในรถม้าเลิกม่านขึ้น และโผล่ใบหน้าที่สวยและมีเสน่ห์ออกมา

“ท่านพี่ ข้าไม่อยู่บ้านช่วงนี้มีออกไปเที่ยวเล่นหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนกับสวี่ชีอันพูดพร้อมกัน “ไม่มี”

อาสะใภ้มองทั้งสองคนสองสามครั้ง ‘ข้าไม่ได้ถามพวกเจ้า พูดมาก’

สามวันต่อมา วันหยุด

ตอนเช้าตรู่ สวี่ชีอันขยับกระจกหยก ด้านกระจกเผยภาพมายาของหน้าไม้ เกราะคันฉ่องและอาวุธผู่เต่าออกมา ราวกับภาพวาดพู่กันเบลอๆ

กระจกบานนี้ถูกเขานำมาใช้เป็นถุงเก็บของชั่วคราว ใส่ของเข้าไปได้ทุกประเภท

เมื่อมาถึงบ้านใหญ่ และกินข้าวเช้า บนโต๊ะอาหาร สวี่หลิงเยวี่ยเผยสีหน้าคาดหวังออกมา และพูดว่า “พี่ใหญ่วันนี้วันหยุด ออกไปเดินเล่นกับข้าเถอะ”

อารองสวี่นึกถึงเหตุการณ์ที่โจวลี่ขี่ม้าเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา จึงขมวดคิ้วและพูดว่า “วันนี้ข้าก็หยุดเช่นกัน หลิงเยวี่ย พ่อจะออกไปกับเจ้าด้วย”

สวี่หลิงเยวี่ยพึมพำกับตัวเอง และส่ายหน้า “ช่างเถิด จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเวียนหัว”

อารองสวี่ “???”

ตอนเช้าไปหอคณิกาฟังดนตรี ตอนกลางวันกลับบ้านนอนกลางวัน และรอไปตลาดมืดตอนกลางคืน ข้าต้องทะลวงระดับหลอมปราณให้ได้…สวี่ชีอันใจลอย

เวลานี้ เหล่าจางคนเฝ้าประตูรีบมาแจ้งข่าว เขายืนอยู่หน้าห้องโถง “นายท่าน นอกประตูมีเจ้าหน้าที่สองคนมาขอเข้าพบขอรับ”

“เจ้าหน้าที่หรือ” สวี่ผิงจื้อกินโจ๊กข้าว และถามอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าหน้าที่จากที่ใด”

สวี่เอ้อร์หลางถามว่า “พี่ใหญ่ เป็นสหายร่วมงานของเจ้าหรือ”

สวี่ชีอันไม่ใส่ใจ “ไม่น่าจะใช่”

เหล่าจางคนเฝ้าประตูพูดว่า “ข้าน้อยไม่รู้ แต่พวกเขาสวมชุดสีดำ หน้าอกติดฆ้องทองแดงแปลกๆ”

คุณชายทั้งสามของบ้านสกุลสวี่มือสั่น และมองหน้ากันเงียบๆ พวกเขาต่างก็เห็นความตึงเครียดในดวงตาของอีกฝ่าย

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล!

“รีบไปเชิญเข้ามา” สวี่ผิงจื้อลุกขึ้นทันที และเดินไปที่โถงด้านหน้า

สวี่ชีอันกับสวี่ซินเหนียนตามหลังเขาไป ความคิดหมุนวนอย่างรวดเร็ว คิดถึงจุดประสงค์ที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาเยือน

ในราชวงศ์ต้าฟ่ง คำว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ใช่ความนัยที่ดีอะไร มันมักจะพ่วงมากับคำว่าลงโทษ เข้าคุก ค้นบ้านยึดทรัพย์และนองเลือด

แต่ถามใจตัวเองดู ด้วยตำแหน่งของอารองสวี่ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่น่าจะดูถูกเขา

ในไม่ช้า ทั้งสามคนก็ได้พบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มาเยือนที่โถงด้านหน้า

ทั้งสองคนสวมชุดสีดำมาตรฐาน ด้านหลังมีเสื้อคลุมสั้นห้อยลงมา หน้าอกติดฆ้องทองแดงที่สลักคาถาซับซ้อนเต็มไปหมด

อายุของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งสองคนยังน้อย ยังหนุ่มยังแน่น คนทางซ้ายมีสีหน้าเคร่งขรึม และสำรวมกิริยา คนทางขวาตรงข้ามกัน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาหรี่จนกลายเป็นเส้นเดียว

ชายหนุ่มที่ยิ้มจนตาตี่ กวาดตามองคุณชายทั้งสามของบ้านสกุลสวี่ และยิ้ม “ผู้ใดคือสวี่ชีอัน”

สวี่ชีอันก้าวมาข้างหน้า “ข้าเอง”

ชายหนุ่มที่ตาตี่พยักหน้าเล็กน้อย “ตามพวกข้ามา”

สวี่ผิงจื้อขมวดคิ้ว และเอาร่างขวางหน้าสวี่ชีอันไว้ เขาโค้งคำนับ และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้าทั้งสอง หลานชายของข้าทำผิดอะไรหรือ”

ชายหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งขรึมขมวดคิ้ว

อีกคนหนึ่งยิ้มแย้มแจ่มใสและพูดว่า “กลางวันไม่ทำสิ่งที่ขัดมโนธรรม กลางคืนไม่เกรงกลัวหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”

ด้วยวิธีการทำงานของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หากขัดขืนการจับกุม พวกเขาจะชักดาบมาฟันคนในที่เกิดเหตุหรือไม่ สวี่ชีอันวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของอารอง และมองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองคน “ตกลง ข้าจะตามพวกท่านไป”

เขาตามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกจากจวนสกุลสวี่ไป รถม้าจอดอยู่ที่ประตู หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีสีหน้าเคร่งขรึมชี้รถม้า เป็นสัญญาณให้สวี่ชีอันเข้าไป

ชายหนุ่มที่ยิ้มตลอดคนนั้นถอดฆ้องทองแดงที่หน้าอกออก และเคาะอย่างแรง ด้วยเสียงอันดังก้อง เขาพูดเสียงดังว่า “อากาศแห้งวัตถุก็แห้ง ระวังวัสดุติดไฟ!”

ที่ทำการปกครองของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ที่เมืองชั้นใน ซึ่งไกลจากจวนสกุลสวี่มาก จะเดินไปก็ใช้เวลาหลายชั่วยาม ดังนั้นจึงจัดเตรียมรถม้าให้สวี่ชีอันไม่ใช่เพราะเขามีสิทธิพิเศษอะไร เพียงแค่เพื่อประหยัดเวลาเท่านั้น

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่สำรวมกิริยาขับรถม้า ภายในรถม้า สวี่ชีอันกับชายหนุ่มที่ยิ้มอบอุ่นนั่งประชันหน้ากัน

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาหาข้าทำไม เพราะคดีของโจวลี่หรือ เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่รับประกันว่ามันเป็นการก่ออาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ แต่รับประกันได้ว่าราชวงศ์ต้าฟ่งที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ไม่อาจตรวจพบได้ว่าข้าเป็นคนลักพาตัวคุณหนูรองสกุลจาง แม้ว่าจะมีร่องรอย ก็คงไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าเร็วขนาดนี้เช่นกัน…

สวี่ชีอันยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อ เคาะด้านหลังกระจกหยกเบาๆ หยิบตั๋วเงินออกมา และนำออกมาดู ตั๋วเงินสิบตำลึง เขาถอนหายใจ

ยื่นตั๋วเงินให้อย่างจริงใจ และพูดว่า “ข้าน้อยเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ชื่นชมท่านที่ทำงานหนักเพื่อประเทศและประชาชน ข้าขอมอบเงินสิบตำลึงให้ และเชิญท่านดื่มชา หากท่านสามารถบอกข้าน้อยว่าเกิดอะไรขึ้นได้ ข้าน้อยจะรู้สึกขอบคุณอย่างมาก”

สายตาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนนี้จับจ้องอยู่ที่ตั๋วเงิน เขาหรี่ตาและยิ้มใสซื่อ “กฎของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้มงวดมาก ติดสินบนมากกว่าสิบตำลึง โบยห้าสิบที มากกว่าห้าสิบตำลึง เนรเทศ มากกว่าหนึ่งร้อยตำลึง ตัดหัว เห็นได้ชัดว่าข้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อเงินสิบตำลึง”

สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มเขินอายออกมา และกำลังจะเก็บเงิน แต่กลับได้ยินชายหนุ่มตาตี่พูดงึมงำว่า “หากเจ้าอยากเก็บข้อมูลจากข้าที่นี่…ต้องเพิ่มเงิน!”

สวี่ชีอันมอบเงินสามสิบตำลึงให้โดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มยิ้ม ดวงตาหรี่จนกลายเป็นเส้นเดียว เขาเก็บตั๋วเงินสองใบไว้ในอกเสื้อ อีกใบยื่นออกไปนอกม่าน “ได้รับสามสิบตำลึง เจ้ากับข้าคนละสิบตำลึง ที่เหลืออีกสิบตำลึง คืนนี้พวกเราไปร่วมการประชุมชาที่สำนักสังคีตกัน คนละห้าตำลึงพอดี”

ชายหนุ่มที่สำรวมกิริยารับตั๋วเงินไป แล้วส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา

ชายหนุ่มที่ตาตี่ไขว้ขา และยิ้มให้สวี่ชีอัน “แม้ว่ากฎจะสำคัญมาก แต่ตอนที่ทุกคนต่างเพิกเฉยกฎอย่างพร้อมเพรียง หากเจ้าจริงจังเกินไปก็จะถูกกีดกัน”

……………………………………………………