บทที่ 77: การรวมตัวของอัจฉริยะแห่งมณฑลอันฮุ่ย

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 77: การรวมตัวของอัจฉริยะแห่งมณฑลอันฮุ่ย

“เหอะ ๆ” โจวเซียนหลงหัวเราะเสียงแห้ง

“นั่นเขาแต่งตัวบ้าอะไรของเขา” ผู้ว่าราชการเกาลดศีรษะลงและถามเบา ๆ แม้ว่าผู้ว่าราชการเกาจะไม่ได้เล่นคิงออฟกลอรี แต่เขาก็สามารถเดาได้จากบรรยากาศในจัตุรัสว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่นายกรัฐมนตรีจ้าวที่ยืนอยู่ถัดจากโจวเซียนหลงกำลังกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ สังเกตได้จากไหล่ที่สั่นเล็กน้อยของเขา

“อุบ ฮ่า ๆ … ” โจวเซียนหลงหลุดเสียงหัวเราะ พอเขาได้ยินเสียงผู้ว่าราชการเกา เขาก็รีบปรับสีหน้าและไอแก้เก้อ

“ฉันไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้…ถึงผมจะไม่รู้รายละเอียดที่คนของผมส่งไปบอกเขามากนัก แต่ฉันคิดว่าคุณหลิวชิงที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้จะสามารถให้คำอธิบายได้”

หลิวชิงที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้ชม “ …… ”

เขาไปรู้ได้ยังไง?!

หลิวชิงไม่คิดที่จะพูดหรืออธิบายและทั้งสิ้น แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น!

ผู้ฝึกตนที่ดูอยู่ด้านหลังเวทีรู้สึกกระอักกระอ่วนปนขำอยู่ในใจ ส่วนประชาชนที่เฝ้าดูอยู่ในบ้านก็ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความรื่นเริง ทันใดนั้นชายในชุดสูทสีดำก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีและกระซิบเบา ๆ ที่หูของโจวเซียนหลง

“หัวหน้าครับ… โปรดดำเนินการต่อไปทีครับ”

“หลังจากตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดสิบสองตัวในเมือง เราพบว่าการตอบรับจากประชาชน… ดีมากอย่างน่าประหลาดใจ”

“เป็นไปได้อย่างไร?!” โจวเซียนหลงถามอย่างแปลกใจ มองชายในชุดสูทสีดำ

“เขาเป็นคนที่มีความสามารถ แต่รูปลักษณ์ของเขาออกจะ…เฉพาะตัวไปหน่อย หรือว่าเด็กสมัยนี้เขาชอบอะไรแบบนี้กันนะ?” โจวเซียนหลงพึมพำ

“หัวหน้า…แม้ว่าจะดูไม่น่าเชื่อ แต่จากการสังเกตการณ์พวกเราพบว่า ทันทีที่เขาปรากฏตัวในชุดนั้น ก็ได้รับเสียงเชียร์และเสียงปรบมือโดยเฉพาะจากเด็กหนุ่มสาว นอกจากนี้…สิ่งนี้ทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดก่อนหน้านี้คลายลงได้ด้วยครับ…”

โจวเซียนหลง หายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งเพื่อควบคุมอารมณ์ของเขา จากนั้นเขาก็หันกลับไปที่กล้อง

“เอาล่ะ ทุกคนนี้เป็นเรื่องขำขันเล็กน้อย และนี้คือสิ่งที่เราจะแสดงให้ดู”

เขาหันศีรษะเล็กน้อยและจ้องมองไปที่ฉินเย่ ยังไม่ไปอีก!!!

ในความเป็นจริงพวกเขาแอบมีจุดประสงค์ ที่จะให้ฉินเย่แสดงความสามารถ ก็เพื่อกระตุ้นให้เหล่านักเรียนของพวกเขา เกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ

และฉินเย่ก็สร้างความประดับครั้งแรกได้ไม่เลว แม้ว่ามันจะห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาต้องการก็เถอะ

ฉินเย่แทบอยากมุดหน้าหนีความเป็นจริง

นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!

มันเป็นความอับอายอย่างที่ใครบางคนต้องซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงมัน!

“อาร์ทิสมินิเธล! หวังว่าเจ้าจะมีคำอธิบายดีพอ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้านะ!” ฉินเย่ไม่ได้กลับไปที่ที่นั่งของเขาในทันที แต่เขาวิ่งไปที่ห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล หยิบลูกบอลผนึกออกมาคำรามใส่อย่างแค้นเคือง

อาร์ทิสมองฉินเย่เรียกนางด้วยชื่อเต็มอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินนัก เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเขาโกรธขนาดไหน

“ข้าจะรู้ได้ยังไงเล่า?!” อาร์ทิสพูดอย่างงุนงง

“อีกอย่างชุดนี้ของเจ้าก็ห่างไกลจากร่างจริงของเจ้าจะตาย”

ฉินเย่เงียบลงในทันที เขาจ้องมองไปที่ลูกบอลผนึกด้วยความโกรธ

ก่อนเขาจะเปลี่ยนร่าง ภาพที่เขานึกถึงคือเทพเจ้าเห้งเจียไม่ใช่เหรอ

แต่เหตุใดเขาถึงกลายเป็นธีโม ไอ้เจ้าตัวดุ๊กดิ๊กน่ารักในเกมไปได้เล่า…

“ช่างมัน … ข้าจะไม่ใส่เครื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นอีกแล้ว…ให้ตายก็ไม่ใส่!” วินาทีต่อมาเขาขบฟันและเสริมคำก่อนหน้านี้

“อย่างน้อยก็จนกว่าข้าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นยมทูตขาวดำ!

หลังจากใช้เวลาหลายนาที ในการควบคุมอารมณ์และปรับสีหน้า ในที่สุดเขาก็กลับไปที่นั่ง และพบว่าการประชุมได้สิ้นสุดลงแล้ว

คณะบุคคลสำคัญยังคงนั่งอยู่ที่เวทีหลัก เมืองทั้งเมืองกำลังจะถูกรื้อถอนและสร้างขึ้นใหม่ และพลเมืองหลายล้านคนจะต้องได้รับความสงบและย้ายถิ่นฐานใหม่ แม้ว่าจะมีการวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ แต่โจวเซียนหลงยังคงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงอ่านเอกสารสำคัญให้จบ

“คุณฉิน” คนที่โทรหาเขาคือผู้ชายในวัยสามสิบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเลขาคนหนึ่ง เขายิ้มอย่างสุภาพ

“ผมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของรองอัยการสูงสุดจางเปากัว เจ้านายของผมเชิญคุณมาทานอาหารกลางวันด้วยกันถ้าคุณว่าง”

“ผมกำลังอยู่ระหว่างการพักฟื้นอาการบาดเจ็บน่ะครับ” ฉินเย่บอกปัดไปตามมารยาท เขายังไม่อยากเจอจางปากัวในตอนนี้เท่าไหร่นัก

“บอกคุณจางว่าผมจะไปเยี่ยมเขาเมื่อผมหายดีแล้ว”

แล้วตอนนี้เขาออกมาเดินเล่นข้างนอกเหมือนเดิมได้ยังไงเนี่ย?

ถ้าเขาออกไปในที่สาธารณะตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกคนจะชี้มาที่เขาและอุทานว่า “ดูสินั่นคือ ธีโม!”

“โอ้ เขาคือคอสเพลย์สุดเทพของธีโม ฉันไปลายเซ็นของเขาดีไหมนะ?”

เขารู้สึกขมขื่นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น

“ร่าเริงหน่อยสิ…เอาอย่างนี้ข้าจะบอกข่าวดีเจ้าดีหรือไม่” เสียงของอาร์ทิสโพล่งขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุผลแปลก ๆ ฉินเย่พบว่าเสียงของเธอร่าเริงผิดปกติ

“… พูดสิ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของอาร์ทิสจางหายไป “ข้าคิดมาระยะหนึ่งแล้ว พลังหยินก่อนหน้านั้น พวกมันไม่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต”

ฉินเย่บังคับให้ตัวเองหันไปสนใจคำพูดของหล่อน แต่ธีโมยังคงกระโดดกระเด้งไปมาในความคิดของเขา เขาพึมพำ

“ข้าก็พลเดาออก… แต่ความหวาดกลัวที่ข้ารู้สึกก่อนหน้านี้ทำให้ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าข้าคิดถูกหรือไม่”

ความคิดนี้ทำให้เปลือกตาของเขากระตุก เขากระซิบเสียงเบา

“พวกผีร้ายจะมีความบ้าคลั่งและกระหายพลังอย่างไม่รู้จักพอ ถ้าสิ่งนั้นเป็นผีร้าย เมืองเป่าอันคงไม่มีมนุษย์อาศัยได้แล้วในตอนนี้”

“แต่มันคืออะไรกันแน่? เมืองเป่าอัน … พวกเราพลาดอะไรบางอย่างไปงั้นหรือ?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกดังขึ้น ขัดความคิดเขา “ คุณฉิน”

มันคือเสียงของซู่เฟิง

“การฝึกอบรมจะเริ่มขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เรายังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะต้องฝึกฝนในสำนักฝึกตนหนึ่งเดือนเต็ม”

“คุณต้องการอะไรกันแน่? ” ฉินเย่ขมวดคิ้ว คำพูดของซู่เฟิงนั้นลึกลับซับซ้อนเกินไป ราวกับมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย

ซู่เฟิงยกแว่นขึ้นและกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้คุณลืม… พฤติกรรมผิดปกติของคุณไปแล้วหรือ?”

ฉินเย่จ้องมองตาไม่กะพริบ “ตอนนี้เลยหรือ?”

“มากับฉัน” ซู่เฟิงพยักหน้า

พวกเขาไม่ได้ขึ้นรถที่จัดไว้ให้ แต่พวกเขาเรียกแท็กซี่และตรงไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

มันเป็นร้านอาหารธรรมดา การตกแต่งก็ดีและห้องพักค่อนข้างหรูหรา ข้อเสียคืออาหารดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไรนัก

ซู่เฟิงบอกกล่าวกับพนักงานต้อนรับ เพื่อนำพวกเขาทั้งสองก็เดินไปยังห้องอาหาร จากนั้นทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเสียงกระตือรือร้นก็ดังขึ้น “ เฮ้ ธีโม”

ขอเตะสักทีได้ไหมเนี่ย!

ความโกรธฝังแน่นในใจเขา ฉินเย่กัดฟัน “อยากมีเรื่องเหรอ?”

มีโต๊ะกลมที่มีที่นั่งแปดตัวตั้งอยู่กลางห้อง มีคนสามคนนั่งอยู่ตรงนั้น คนที่พูดคือชายหนุ่มร่างสูงกว่า 190 เซนติเมตรที่นั่งอยู่ตรงกลาง ดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี เป็นประเภทที่ฉินเย่เกลียดมากที่สุด ที่สำคัญอีกฝ่ายน่ะ…

หล่อ

หล่อมาก

เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มเจ้าสำอาง แต่เขาดูดุร้ายเหมือนเสือชีต้า รับกับดวงตาเรียวคมที่ดูลึกล้ำไร้ที่ติ คิ้วยังดกดำเรียงเป็นเส้น

เขาสวมเครื่องแบบลายพรางเต็มรูปแบบพร้อมรองเท้าบูททหาร ยิ่งไปกว่านั้น … ระดับของพลังงานที่แท้จริงที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขานั้น ไม่ค่อยต่างจากระดับพลังงานของฉินเย่เลย

ส่วนอีกคนเป็น ชายร่างอวบหัวล้านอยู่ทางซ้ายของชายหนุ่ม เขาสวมเครื่องแบบลายพรางเช่นกัน มีหนูขาวเกาะอยู่บนไหล่ของเขาระหว่างที่เขาสูบบุหรี่และเล่นเกมในโทรศัพท์

ผู้หญิงผมสั้นนั่งทางด้านขวาของชายหนุ่ม เธออายุประมาณยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี คิ้วของเธอถูกวาดอย่างบรรจง รวมทั้งเครื่องหน้าที่แต่งออกมาได้อย่างไร้ที่ติ เธอสวมเสื้อกันลมสีเบจทับเสื้อกันหนาวที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์สีขาว เธอเล่นมีดสั้นสีเงินในมือไปด้วย ขณะเลิกคิ้วมองไปที่ฉินเย่

“ฉันจะกล้าสู้กับผู้เชี่ยวชาญที่พิชิตเก้าเขตไล่ล่าในคืนเดียวได้ยังไงกัน” ชายหนุ่มคนเดิมเลิกคิ้วและพูดต่ออย่างมีเลศนัย

“ฉันแค่อยากถามว่า…ตอนนี้คุณอยู่ระดับไหน”

ฉินเย่ต้องข่มความอดกลั้นอย่างแรงกล้า ที่จะไม่ส่งชายหนุ่มไปยังยมโลกเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และคิดว่าความคิดนี้คงไม่ออกไปจากหัวเขาในเร็ว ๆ นี้แน่

ปึก! มีดสีเงินห้าเล่มฟาดลงบนโต๊ะพร้อมกันก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบ หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าน่ากลัว

“หลินฮั่น นายกำลังทำลายวันดี ๆ ของฉันใช่ไหม”

“แล้วจะทำไม? ออกไปดวลกันข้างนอกไหมล่ะ แต่ใครแพ้ต้องเรียกคนนั้นว่าพี่ใหญ่นะ” ชายหนุ่มจ้องกลับและหัวเราะเยาะ

…บรรยากาศเริ่มมาคุ ฉินเย่สังเกตเห็นว่ามีดสั้นทั้งห้าบนโต๊ะทั้งหมด มีด้ามจับเป็นรูปวงแหวน และด้ายเส้นเดียวผูกติดกับด้ามกริชแต่ละอัน หญิงสาวผมสั้นสะบัดนิ้วของเธอเบา ๆ โดยไม่ต้องขยับมีดสั้นทั้งห้าก็ลอยขึ้นไปในอากาศทันทีและพุ่งไปที่ลำคอของชายหนุ่มราวกับงูพิษที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ

“ฉันแค่พูดล้อเล่นเอง! เธอต้องเอาจริงขนาดนี้เลยเหรอ!” หลินฮั่นพูดเมื่อเห็นหล่อนเริ่มโจมตีก่อน

“พอได้แล้ว!” ซู่เฟิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหลืออด

หญิงสาวผมสั้นหายใจฟืดฟาดอย่างหงุดหงิด ขณะที่เธอเก็บมีดสั้นไว้ใต้เสื้อกันลม ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองที่ฉินเย่

“อาจารย์ฉิน … ” เธอส่งเสียงลากยาวออกมาอย่างมีความหมาย

“สำนักฝึกตนใกล้จะเปิดแล้ว ฉันหวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากคุณนะคะ”

“นี่คือหลี่หยุนเซวี่ย และชายร่างท้วมคนนั้นคือโจวฉินเฟิ่ง” ซู่เฟิงผายมือให้ฉินเย่นั่ง

“เธอเป็นตัวแทนระดับ S คนแรกและคนเดียวก่อนที่คุณจะเข้ากลุ่ม ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าหล่อนจะรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นคุณ”

“ฉันไม่คิดหงุดหงิดหรอกนะคะ” หลี่หยุนเซวี่ยแสร้งมองเล็บมือขาวสะอาดของตัวเอง

“ฉันเพียงแค่ไม่เห็นด้วยกับคุณก็เท่านั้น”

“ฉันไม่เคยเชื่อในสิ่งที่ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”

ฉินเย่เช็กระดับคนในห้อง

ทุกคนในห้องนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักล่าวิญญาณ!

เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วซู่เฟิงก็กระแอมไอเบา ๆ และเริ่มพูด “นักล่าวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในมณฑลอันฮุ่ยที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีอยู่ในห้องนี้ นอกจากนี้พวกเราทุกคนยังเป็นตัวแทนระดับ S ที่มีอยู่น้อยแสนน้อย เอาล่ะฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้วกัน ฉันชื่อซู่เฟิง มาจากครอบครัวผู้สื่อสาร”

ริมฝีปากของหลี่หยุนเซวี่ยขยับ “หลี่หยุนเซวี่ย ไม่มีอาชีพ”

ในที่สุดชายร่างท้วมก็วางโทรศัพท์ของเขา “โจวฉินเฟิ่น ฉันไม่มีอาชีพเหมือนกัน ฉันเคยอยู่ที่แผนกสอบสวนพิเศษตั้งแต่เกิด จะเรียกว่าเดินตามรอยเท้าพ่อก็ได้”

หลินฮั่นยิ้ม “ส่วนฉันทำอาชีพนักฆ่า จะบอกว่าเป็นธุรกิจของครอบครัวได้เช่นกัน”

“ฉันฉินเย่ ไม่มีอาชีพ” ฉินเย่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นและยิ้ม

“คุณซู่ผมหวังว่านี่จะเป็นแค่เรื่องส่วนระหว่างเรา”

ซู่เฟิงยิ้มและตอบว่า “ก่อนที่จะเข้าร่วมแผนกสอบสวนพิเศษอย่างเป็นทางการ ฉันจะแนะนำหลักสูตรพิเศษให้คุณอย่างหนึ่ง แต่ฉันต้องบอกว่าแผนการนี้เราจะต้องร่วมมือเป็นทีมเดียวกัน พวกเขาล้วนเป็นคนวางใจได้ นอกจากนี้ผมกลัวว่าเรื่องนี้อาจจะยากขึ้นไปอีกหากเราต้องทำเพียงสองคน”

“เข้าประเด็นเถอะน่า” หลินฮั่นพูดขึ้น ความอดทนของเขาใกล้จะหมดลงเต็มทน

ซู่เฟิงพยักหน้าและมองไปรอบ ๆ โจวฉินเฟิ่นลุกขึ้นจึงยืนทันทีและปิดหน้าต่างทุกบาน เมื่อปิดเสร็จซู่เฟิงก็หายใจเข้าลึกและดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

“พวกเราทั้งสี่คนได้รับมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกัน หลินฮั่นและผมได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัยสิ่งลี้ลับ แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ เราก็ได้รับภาพมาภาพหนึ่ง”

เขาไม่ได้เปิดกระดาษที่พับไว้ตรงหน้าในทันที แต่เขายังคงอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ จริง ๆ แล้วภาพวาดนั้นเป็นแบบพิมพ์เขียวของอาคารหลังหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วพิมพ์เขียวเหล่านี้ จะถูกส่งมาให้เราตรวจสอบก่อนที่จะส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม… หัวหน้างานของฉันได้ระงับพิมพ์เขียวนี้ไว้แล้ว”

“บังเอิญฉันเป็นมือขวาของหัวหน้างาน ทำให้ฉันได้รับสิทธิพิเศษในการดูพิมพ์เขียว และตามที่พวกเขาอ้างเรื่องระงับการตรวจสอบพิมพ์เขียวอันนี้ว่ามีอยู่สองข้อด้วยกัน”

เขาชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ประการแรกมันไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของเรา งานวิจัยทั้งหมดถูกยกเลิกเพราะไม่ได้ประสิทธิภาพ จนทำให้ต้องถูกตีกลับมา”

“ประการที่สอง … ” เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ และลดระดับเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ

“พิมพ์เขียวนี้อาจเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่สำคัญมาก จนต้องมีการหารือว่าเราควรทบทวนมันอีกครั้ง”

“ฉันสังเกตเห็นว่าพิมพ์เขียวนั้นแปลกประหลาดจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นฉันจึงแอบทำสำเนาภาพวาดนั้นขึ้นมาเอง และในตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่า … นี่ก็คือพิมพ์เขียวอาคารหลักของสำนึกผู้ฝึกตน!!”

เขากางกระดาษบนโต๊ะออก เพียงฉินเย่มองเพียงแวบเดียวสายตาของเขาสั่นสะท้านทันที

“นี่ … คืออาคารหลักของสำนึกผู้ฝึกตนเหรอ?”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ แต่เพราะว่า…อาคารหลังที่ว่านั้นสร้างขึ้นมาจากโครงกระดูกทั้งหมด!

อาคารได้รับการออกแบบด้วยสไตล์จีนโบราณ คานกระดูกมีความหนาและใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ มองแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าใช้กระดูกประเภทใดสร้าง อาคารสูงถึงเจ็ดชั้น ทั้งที่มองภายนอกไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามีตั้งเจ็ดชั้น!

ชายคาที่ยกขึ้นมีความสวยงามและมีลักษณะเฉพาะ แต่ด้วยเหตุผลแปลก ๆ เมื่อมองไปที่พิมพ์เขียวของอาคารทำให้ฉินเย่กลับรู้สึกสั่นสะท้านในใจ

“นี่คือ … ” ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาดังขึ้น

“เจดีย์เจ็ดดาวปราบมาร?!”

“แดนมนุษย์กำลังจะสร้างเจดีย์เจ็ดดาวปราบมารในเมืองเป่าอัน? พวกเขาพยายามจะปราบปรามอะไรกันแน่? หรือพวกเขารู้อยู่แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสถานที่นี้? แล้วมันคืออะไรกันแน่!”