หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.383 – พบเจอ

 

กู่ฉิงซานกึ่งเดินกึ่งบินลงไปตามผนังหิน

 

ลมหนาวพัดโชยไปตลอดทั้งถ้ำมืด และบ่อยครั้งที่จะมีเสียงลมจากเบื้องล่างกรีดอากาศส่งเสียงหวีดหวิวขึ้นขึ้นมายังเบื้องบน

 

หัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น บังเกิดเงาบางอย่างที่ยากจะลบเลือนออกไปได้

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กแจ้งเตือนสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา

 

“คุณกำลังข้ามผ่านช่องทางสู่ปรภพ”

 

“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยเผ่ามาร โปรดรอให้ระบบทำการตรวจสอบเสียก่อน จึงค่อยผ่านไปอีกครั้ง”

 

“การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ระดับสูงสุดของเผ่ามารที่อยู่เบื้องหน้าคุณคือก้าวสู่เทพขั้นปลาย หากคิดสู้กับมัน โปรดทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลังด้วย”

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และยกดาบขึ้น

 

ภายใต้ขอบเขตเดียวกัน การฆ่าสังหารอีกฝ่ายนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา

 

แม้กระทั่งตัวตนทรงพลานุภาพอย่างขอบเขตประทับเทพ หากต้องปะทะกำลังรบระดับนักดาบนิรันดร์ของกู่ฉิงซาน ต่อให้พบเจอกับพวกมัน 1-2ตัวเขาก็ยังพอจะจัดการกับมันได้

 

และไม่นานนัก การต่อสู้ครั้งที่สองก็จบลง

 

กู่ฉิงซานยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป

 

เขาถือดาบพิภพและเช่าหยินเอาไว้ในมือ ไม่ได้ใช้จิตนึกคิดควบคุมพวกมันอีกแล้ว

 

นั่นเพราะมันช่วยไม่ได้นี่นา ยิ่งเข้าไปลึก เขาก็ยิ่งต้องเน้นป้องกันตัวเองมากขึ้นอยู่แล้ว

 

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ชั่วขณะหนึ่ง กู่ฉิงซานก็หยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน

 

แม้ว่า … ภายในขีดจำกัดในอาณาเขตจิตสัมผัสเทวะของเขาจะไม่มีสิ่งใดก็ตามที

 

แต่กู่ฉิงซานกลับค่อยๆชักฝีเท้ากลับ ปลีกตัวถอยออกมาอย่างเงียบๆ

 

และเขาไม่ยอมหยุดฝีเท้าลงเลยจนกว่าตนจะรู้สึกสงบใจลง

 

เขานั่งยองๆอยู่บนผนังหินอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจจับอย่างรอบคอบ ผลปรากฏว่าตนสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่อ่อนๆของอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืดมิด

 

ความมืดดูราวกับจะกลายเป็นสสารที่มีตัวตน จับต้องได้ แต่กลับเงียบงันและลึกล้ำมิต่างจากความตาย

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถตรวจจับร่องรอยของกลิ่นอายอันลึกลับได้ในที่สุด

 

ใช่ เป็นเจ้ากลิ่นอายที่ว่านี่แหละ ที่มันรบกวนจิตใจของเขา

 

เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะเป็นเกลียว ม้วนเข้าห่อหุ้มกลิ่นอายนั้นอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน

 

โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ความรู้สึกผวาก็เข้ามาแทนที่ในทันใด

 

—ความรู้สึกนี้มันราวกับช่วงเวลาที่กิโยตินถูกปล่อยลงมา

 

ความสยองเกล้าปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน และมันส่งผลกระทบอย่างรุ่นแรงต่อจิตวิญญาณของเขา

 

หากคุณไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน ร่างของคุณคงไร้สิ้นเรี่ยวแรงเพราะมันไปแล้ว!

 

ท้ายที่สุดแล้ว ร่องรอยของกลิ่นอายที่ว่านี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

 

และแน่นอน ที่กู่ฉิงซานยังยืนไหว นั่นเป็นเพราะเขามิได้พบเจอกับมันเป็นครั้งแรก

 

ทั้งคนทั้งร่างของเขาเริ่มสะท้านเป็นเจ้าเข้า

 

เพราะนี่มันกระทันหันมากเกินไป!

 

และเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามีการดำรงอยู่ของตัวตนชนิดใดที่กำลังรอเข้าอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ!

 

กู่ฉิงซานก้มหัวลง

 

เบื้องล่าง

 

ลึกเข้าไปภายในถ้ำอันมืดมิดที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขา

 

ร่องรอยจางๆของกลิ่นอายอสูรกาย พัดโชยมาตามสายลมอีกครั้ง

 

กลิ่นอายนี้ยังคงบุกเข้ามาในประสาทสัมผัสของกู่ฉิงซานอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เขาย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอันไกลแสนไกลที่เคยผ่านพ้นมา

 

“ไม่คาดคิดเลยจริงๆ” กู่ฉิงซานพึมพำเสียงกระซิบ

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง

 

ในที่สุด เขาก็สามารถข่มตน กลับคืนสู่ความสงบได้

 

ช่วงชีวิตก่อนหน้า ในครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับอสูรกาย มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาตลอดมา

 

และเขาไม่เคยลืมเลือนกลิ่นอายของเจ้าอสูรกายตนนี้เลย เขาไม่เคยลืมเลยว่ามันนำพาความรู้สึกอย่างไรมาสู่ตนเอง

 

และไม่ใช่แค่ไม่ลืม แต่เขาจะไม่ยอมอนุญาตให้ตนเองลืมทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวของกับอสูรกายตนนี้เด็ดขาด!

 

เพราะการลืมอดีตของมัน นั่นหมายถึงการทรยศ!

 

แต่แล้วกู่ฉิงซานก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากในอดีต ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นเงียบขรึม

 

เขาเริ่มต้นทำการตรวจสอบและไตร่ตรองว่าจะเปลี่ยนเส้นทางดีหรือไม่

 

เพราะอสูรกายตนนั้น กำลังเฝ้าปกป้องช่องทางเข้าสู่ปรภพแห่งนี้เอาไว้อยู่

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วกลับสรุปได้ว่าไม่มีทางอื่นเลย

 

แต่ในตอนนั้นเอง ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปท่ามกลางความมืดมิด ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งลอยมา

 

“ช่วย .. ข้าด้วย … ”

 

มันเป็นเสียงที่บางเบาราวกับยุงบิน แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์สิ้นหวัง ราวกับว่าจะตายลงในวินาทีต่อมายังไงยังงั้น

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนทันใด

 

พิจารณาจากสถานที่ๆเสียงลอยมา คาดว่าเสียงคนขอความช่วยเหลือนี้ยังอยู่ห่างไกลจากตัวเจ้าอสูรกาย แต่ไม่ห่างจากกู่ฉิงซานมากนัก

 

คราวนี้กู่ฉิงซานไม่ได้มุ่งตรงไปสำรวจข้างหน้า แต่เลือกที่จะถอยหลังกลับแทน ถอยให้ไวที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้

 

ในขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏสองบรรทัดใหม่ขึ้นมา

 

“พวกเรากำลังข้ามผ่านส่วนสุดท้ายของช่องทางเข้าสู่ปรภพ”

 

พร้อมกับตัวอักษณสีเลือดเด้งขึ้นเตือนในทันใด

 

“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยอสูรกาย หากผู้เล่นเข้าไป โชคชะตาของคุณคงมิแคล้วถูกสังหารตกตายลงในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานถอยกลับ ถอยกลับอีกครั้ง ถอยไปจนกว่าจะหยุดลงในจุดที่เขารู้สึกว่าปลอดภัย

 

เขานั่งยองๆลงบนผนังหินในแนวตั้ง และปักดาบเช่าหยินลงบนพื้น

 

“ไปนำคนๆนั้นมา และระวังอย่าให้ถูกพบตัวล่ะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ

 

ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมคำหนึ่ง และเริ่มบินไต่ไปตามผนังหินเบื้องล่างอย่างเงียบๆ

 

ไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าไหร่

 

ในที่สุด ดาบเช่าหยินก็บินกลับมาพร้อมกับคนๆหนึ่ง

 

และดาบเช่าหยินก็ได้หยุดเคลื่อนที่ลงในระยะห่างจากกู่ฉิงซานราวๆ 20 เมตร

 

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปยังฝ่ายตรงข้าม

 

คนๆนี้เปรียบดั่งเทียนที่ถูกหลอมละลาย และทำได้เพียงแค่คลานอยู่กับพื้น โดยไม่อาจแสดงพฤติกรรมปกติใดๆของมนุษย์ได้เลย

 

“ฮู่-โฮ่-โฮ่-โฮ่! ”

 

อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยสภาพสาหัสของเขา ทำให้อีกฝ่ายต้องหุบปากลง มิอาจเอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน

 

“เจ้ายังไม่ปลอดภัยหรอกนะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ

 

พร้อมกับรังสีดาบที่กระพริบไหวตามมาติดๆ

 

รังสีดาบขนาดเล็กนับไม่ถ้วนเริ่มสั่นสะเทือนไปพร้อมๆกัน ตัดหั่นทั้งคนทั้งร่างตรงหน้าจนกลายเป็นแอ่งเลือด!

 

และร่างเงาก็ผุดออกมาจากแอ่งเลือดที่ว่านั่น

 

นี่คือจิตวิญญาณ

 

ทันทีที่จิตวิญญาณปรากฏกาย มันก็ก้มลงมองร่างของตัวเองก่อนเลยเป็นอันดับแรก

 

และเมื่อค้นพบว่าตัวเองได้เสียชีวิตลงแล้ว มันก็เผยถึงความปิติยินดีออกมาในทันใด

 

จิตวิญญาณหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “เจ้าได้ช่วยข้าไว้ได้มากจริงๆ อ้อข้าขอบอกก่อนนะว่าตัวข้าจะถูกส่งกลับไปด้วยเทคนิคมนตราที่ติดตั้งเอาไว้ล่วงหน้าในเร็วๆนี้ ดังนั้นพวกเราคงจะได้พูดกันแค่สั้นๆเท่านั้น”

 

“ด้วยความยินดี ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่กัน? แล้วร่างกายมนุษย์ของเจ้าเล่า?”

 

จิตวิญญาณกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าได้เข้ามาที่นี่อยู่หลายครั้งคราว เพื่อทำการศึกษาเผ่ามารต่างๆ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สายพันธุ์ของเผ่ามารมันมากมายมิอาจคณานับได้ แล้วเจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่เกรงว่าอาจจะบังเอิญเผชิญหน้ากับเผ่ามารที่ตนไม่อาจเอาชนะได้เลยหรือ?”

 

จิตวิญญาณถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าข้าน่ะเป็นพวกลุ่มหลงที่จะศึกษาในสิ่งที่ตนไม่รู้จักจนกระทั่งวิ่นาทสุดท้าย เลยหลงลืมความอันตรายของสิ่งที่ไม่รู้จักนี้ไป”

 

“ขอบคุณที่สังหารข้า เป็นเพราะเจ้า ร่างกายข้าเลยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของอสูรกาย และข้าก็ไม่ต้องการที่ติดหนี้บุญคุณ ดังนั้นจงบอกมาว่าข้าสามารถช่วยเหลืออะไรตอบแทนเจ้าได้บ้าง?”

 

“่เช่นนั้นไหนลองบอกมาจะได้หรือไม่ ว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยร่างมนุษย์ได้อย่างไร?”

 

“หืม? นั่นมันก็แค่วิธีตื้นๆ” ร่างจิตวิญญาณแสดงออกถึงคสีหน้าฉงน

 

“นั่นเพราะข้าไม่มีวิธีที่จะสามารถนำดวงจิตออกจากร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นข้าเลยจำต้องมาที่นี่พร้อมกับกายหยาบ”

 

“อันที่จริงแล้วการนำกายหยาบมาที่นี่น่ะอันตรายยิ่งกว่ามาก เพราะกายมนุษย์มันง่ายเกินไปที่จะถูกทำลายและสังหาร”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับฟัง

 

แต่แล้วร่างจิตวิญญาณดูเหมือนจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง มันเอ่ยออกมาว่า “ข้าคงต้องกลับไปที่โลกของตัวเองแล้ว โลกที่ข้าได้วางภาชนะสำรองสำหรับจิตวิญญาณของข้าเอาไว้”

 

“ในทางกลับกัน เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า ข้าจะบอกความลับแด่เจ้าก่อนจะจากไป”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

จิตวิญญาณพยายามเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “หลังจากที่ข้าได้ทำการวิจัยมาหลายปี ข้าคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกำลังให้การช่วยเหลือเผ่ามารอยู่”

 

“บางสิ่งที่พิเศษ?”

 

“ถูกต้อง มันเป็นการดำรงอยู่อันลึกลับ ที่ช่วยให้เผ่ามารสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”

 

“ซึ่งระดับของมันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ของเผ่ามาร”

 

“แล้วสิ่งที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไรกัน?”

 

“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เจ้าสิ่งนี้จะต้องมีตัวตนอยู่อย่างแน่นอน”

 

ขณะนี้ ใบหน้าของจิตวิญญาณตรงข้ามก็ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัว

 

“ใช่ เจ้าสิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ .. มีอยู่อย่างแน่นอน”

 

เขาเอ่ยพึมพำยาวเหยียด

 

ติ๊ง …

 

บังเกิดเสียงของโลหะกระทบกับพื้นดังขึ้น

 

กู่ฉิงซานมองออกไปและเห็นแค่เพียงตราประทับโลหะขนาดเล็กกลิ้งตกอยู่กับพื้น

 

“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ นี่คือสัญลักษณ์แห่ง ‘ผู้พิทักษ์หอสูง’ ของพวกเรา และพวกเราจะไม่ยินยอมบอกเรื่องนี้กับคนนอก ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณสูงยิ่ง”

 

“เอามันไปซะ และถ้าหากในอนาคตเจ้าพบกับคนของเรา ขอจงแสดงสิ่งนี้ให้เขาดู แล้วพวกเขาจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน”

 

“ข้าคงต้องไปจริงๆแล้ว ลาก่อน”

 

มันเกิดเสียงดังวิ้งงง!ขึ้น แล้วร่างจิตวิญญาณก็หายวับไปจากในจุดที่ลอยอยู่

 

ขณะที่ตราประทับโลหะค่อยๆลอยเข้าหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ

 

กู่ฉิงซานคว้าจับมัน

 

บนตราประทับ ถูกสลักเอาไว้ด้วยหอสูงทมิฬที่ตั้งอยู่บนที่ราบสีแดง

 

กู่ฉิงซานมองดูหอคอยนี้ และจู่ๆเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเล็กน้อย

 

นี่ดูเหมือนจะเป็นประภาคารที่เขาเห็นขณะที่กำลังข้ามผ่านมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปยังโลกของร่างใหญ่นี่นา

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นการดำรงอยู่ที่หยั่งรากลึกอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าใช่หรือไม่?

 

กู่ฉิงซานเก็บตราประทับ และเริ่มขบคิดถึงสิ่งที่ชายคนนั้นได้กล่าวเอาไว้ก่อนที่จะจากไป

 

“บางสิ่งได้ช่วยเหลือเผ่ามารให้พวกมันสามารถวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว-” กู่ฉิงซานเอ่ยใคร่ครวญ

 

และแล้วก็บังเกิดประกายกระพริบไหว เขาพลันจดจำได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วในนิกายร้อยบุปผา

 

ก่อนหน้าการทดสอบประจำปี ครั้งหนึ่งภายในนิกายร้อยบุปผา ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างอยู่กันพร้อมหน้าและกล่าวถึงเผ่ามาร

 

ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจ “ขอบเขตประทับประทับเทพของเผ่ามาร แม้จะไม่บ่อยแต่ก็ถือกำเนิดออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ทางฝั่งมนุษย์ของพวกเรา วันเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปหลายปี กลับปรากฏขอบเขตประทับเทพขึ้นแค่สามคนเท่านั้น”

 

“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าการฝึกยุทธของเผ่ามารเพื่อก้าวขึ้นสู่ประทับเทพมันเป็นเรื่องง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?”

 

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความหดหู่

 

ในเวลานั้นเอง นางเซียนไป่ฮั่วก็กล่าวออกมาว่า “แม้ในด้านปริมาณ ขอบเขตประทับเทพของเผ่ามารจะชนะพวกเราได้อย่างขาดลอย แต่ในด้านความแข็งแกร่งกลับเพียวๆ พวกมันมิอาจสู้ข้าที่ใช้มือเปล่าเพียงข้างเดียวด้วยซ้ำ”

 

“เป่ยหยวนกับซวนหยวนก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

 

“ในความเป็นจริงแล้ว ในด้านความแข็งแกร่งพวกเราเด่นกว่ามันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนของฝ่ายตรงข้ามที่มีมากเกินไป และพวกเราก็ไม่สามารถล้างบางพวกมันได้ในครั้งเดียว ยิ่งไม่กว่านั้นเรายังไม่กล้าที่จะทุ่มเต็มกำลังอีก เพราะหากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น หากหนึ่งในพวกเราคนใดตกตายลง กำลังของเผ่ามนุษย์จะถดถอยลงชนิดตกอยู่ในระดับอันตรายร้ายแรงทันที”

 

“และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราไม่ยินยอมจะออกหน้าลงมือง่ายๆ”

 

นี่คือคำกล่าวเดิมของนางเซียนไป่ฮั่ว

 

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานพึ่งจะเข้านิกายมาได้เพียงไม่นาน และหลังจากที่ได้ฟังเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

ทว่าตอนนี้ เขาอยู่ในถ้ำลึกที่มืดมิด แถมยังได้ยินถึงข้อสงสัยของจิตวิญญาณที่มาจากโลกอื่นอีก

 

จนกระทั่งมันนำพาเขามาประสบพบเจอกับปัญหานี้อีกครั้งในที่สุด

 

“เผ่ามาร … มีบางสิ่งบางอย่างกำลังช่วยเหลือพวกมัน … ” เขาเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ

 

เช่นนั้นแล้วสิ่งใดกันที่อยู่เบื้องหลังพวกมัน?