“พัน…พันธสัญญาระหว่างกันอย่างนั้นหรือ”
หมัวซาพยักหน้า เป็นเชิงว่านี่คือความจริง
“เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเลยว่าระหว่างพวกเรามีพันธสัญญากันอยู่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ
“เพราะข้าปิดบังเอาไว้เองแหละ” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาอย่างประเมินแล้วลอบตกตะลึงในใจ เขาปิดบังการทำพันธสัญญาระหว่างคนทั้งสองเอาไว้ ทำให้ตนไม่มีความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งมายังโลกแห่งนี้ได้ไม่นานก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทว่าเขาไม่เพียงแต่จะทำได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นเพียงแค่สภาวะที่มีวิญญาณอันไม่สมบูรณ์อีกด้วย ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเขาจะเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและน่าหวาดหวันเพียงใดกัน
“ถ้าเขาร้ายกาจยิ่งกว่านี้ มั่นใจได้เลยว่าเขาต้องทำสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้แน่” ซือหม่าโยวเย่ว์คาดการณ์ในใจ “ถ้าหากมีพันธสัญญากับตน เช่นนั้นก็มิใช่ว่าตนมีหลักประกันที่ร้ายกาจอย่างยิ่งแล้วหรือ ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรจากตัวเขามากยิ่งขึ้นก็เป็นได้”
หมัวซาเห็นลูกตาซือหม่าโยวเย่ว์กลอกไปมาจึงรู้ว่าเธอกำลังมีความคิดแปลกประหลาดอันใดอยู่ แต่เขาคร้านที่จะสนใจ จึงหลับตาลงชั่วขณะหนึ่งแล้วหลังจากนั้นค่อยลืมตาขึ้นมองเธอก่อนจะเอ่ยว่า “เอาละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ชั่วครู่แล้วจึงพบว่ามีสายสัมพันธ์สายหนึ่งระหว่างตนกับหมัวซาขึ้นมาจริงๆ
“พวกเราทำพันธสัญญากันตั้งแต่ตอนไหนหรือ” จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายอยู่
อีกฝ่ายเป็นมารตนหนึ่ง นอกจากนี้ยังอยู่ในสภาวะวิญญาณอีกด้วย แล้วพวกเขาไปทำพันธสัญญากันได้อย่างไร
“ตอนที่เจ้าทำลายค่ายกลลวงวิญญาณ ไม่รู้ว่าเจ้าทำพันธสัญญากับศิลาวิญญาณได้อย่างไร ข้าที่อาศัยอยู่ในนั้นก็ย่อมถูกทำพันธสัญญาไปด้วยอยู่แล้ว” พอหมัวซานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วสีหน้าก็ดำทะมึนราวกับคลองน้ำเน่าอย่างไรอย่างนั้น “ว่าอย่างไรเล่า ตอนนี้ให้ข้าเข้าไปตรวจได้แล้วกระมัง ไปดูสักหน่อยว่าที่แท้ผนึกของเจ้านั้นมันเรื่องอันใดกันแน่”
เมื่อพูดถึงผนึกในร่างกาย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จริงจังขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าภายในร่างกายนี้จะมีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้คืออะไร เป็นใครกันที่ผนึกเธอเอาไว้ และผนึกเอาไว้ทำไม
“มาสิ”
เธอพยักหน้าให้หมัวซา ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าไปในร่างกายตนอย่างไร กำลังคิดจะถามอยู่พอดี หมัวซาก็แปลงกายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าไปผ่านหว่างคิ้วของเธอเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ ในขณะที่เขาเข้าไป เธอก็รู้สึกว่าร่างกายหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกจนร่างสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
“เหตุใดอุณหภูมิร่างกายของเจ้าคนผู้นี้จึงได้หนาวเย็นเช่นนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์อดบ่นประโยคหนึ่งมิได้ “หากยังไม่ออกมาอีก ข้าคงถูกแช่จนกลายเป็นแท่งหวานเย็นเป็นแน่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถึงขีดจำกัดที่ร่างกายซือหม่าโยวเย่ว์ทนรับได้ หมัวซาก็ออกมาจากหว่างคิ้วของเธอในที่สุด พอเขาออกมาแล้วเธอก็รู้สึกว่าความหนาวระลอกนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง ที่แท้แล้วผนึกนั่นคืออะไรกันแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซามองตนด้วยสายตาซับซ้อนจึงเอ่ยถาม เมื่อเห็นเขาไม่เอ่ยปากพูดจึงบอกว่า “ในร่างกายของข้าผนึกระเบิดลูกหนึ่งเอาไว้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ระเบิดหรอก แต่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ” หมัวซาอยู่กับซือหม่าโยวเย่ว์มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงรู้แล้วว่าระเบิดที่เธอพูดถึงคือสิ่งใด
“เป็นระเบิดจริงๆ หรือ!” สีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์กลายเป็นเศร้าโศกขึ้นมา “ข้าก็แค่พูดเดาออกมาส่งๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะทายถูกเสียอย่างนั้น”
“ข้าบอกว่ามิใช่ระเบิดอย่างไรเล่า” หมัวซาพูด
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดข้าก็ต้องรู้ให้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากแล้วพูดว่า “ว่ามาสิ สิ่งที่ผนึกอยู่ในร่างกายข้าคือสิ่งใด”
“ร่างมารสว่าง” ตอนที่หมัวซาพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็สั่นเครืออยู่บ้าง คล้ายกับรู้สึกตื่นเต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความสงสัยเพราะคำพูดสี่พยางค์นี้ของเขา ดังนั้นจึงมิทันได้สังเกตเห็นความตื่นเต้นของเขา
“ร่างมารสว่างคือสิ่งใด เหตุใดจึงต้องผนึกมันเอาไว้ด้วยเล่า”
“ถ้าหากไม่ผนึกเอาไว้ เกรงว่าร่างกายของเจ้าคงจะระเบิดตั้งแต่เจ้ายังไม่ทันอายุสองขวบแล้วล่ะ”
“น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยายามมองหาเศษเสี้ยวของการพูดเกินจริงบนใบหน้าของเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว “เช่นนั้นที่แท้แล้วมันคือสิ่งใดกันแน่”
“โลกแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นโลกแห่งแสงสว่างและโลกแห่งความมืดมิด เรื่องนี้เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง” หมัวซามองซือหม่าโยวเย่ว์
“แค่มองข้ากับท่านก็รู้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าหมัวซาจะต้องพูดอย่างยาวนานแน่ จึงหยิบเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ แล้วตนจึงนั่งลงค่อยๆ ฟัง
หมัวซาเห็นการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อดหน้าดำคร่ำเครียดมิได้ เจ้าคนที่ยังเป็นกังวลไม่คลายเมื่อครู่นี้ ยังคิดจะหาเก้าอี้มานั่งฟังได้อย่างไรกัน
“คนของโลกแห่งแสงสว่างจะมีคุณสมบัติทางร่างกายที่หลายแสนปีมิอาจพบพานอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วคุณสมบัติทางร่างกายชนิดนี้คือร่างกายจะมีไอพลังชนิดหนึ่งอยู่ภายใน ไอพลังขุมนี้ทำให้ความเร็วในการฝึกยุทธ์ทวีความเร็วสูงกว่าปรมาจารย์วิญญาณธรรมดาทั่วไปหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีจุดคอขวดน้อยมากอีกด้วย ทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองอันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง คุณสมบัติทางร่างกายชนิดนี้ถูกเรียกว่าร่างแห่งแสงสว่าง”
“ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์อ้าปากกว้าง “ถ้าหากได้พบพานร่างกายเช่นนี้เข้า ก็มิได้เท่ากับว่าใช้สูตรโกงหรอกหรือ!”
“เฉกเช่นเดียวกัน ในโลกแห่งความมืดมิด ผู้ที่มีพลังแห่งความมืดมิดจะถูกเรียกว่าร่างแห่งมาร หากมีชนิดใดชนิดหนึ่งในนี้ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีอย่างที่สุดไม่ว่ากับใคร” หมัวซาพูด “แต่เจ้าไม่เหมือนกับพวกเขา”
“ท่านบอกว่าข้าเป็นร่างมารสว่าง คงมิได้จะบอกว่าข้ามีคุณสมบัติทางร่างกายทั้งสองชนิดหรอกกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
หมัวซาส่งสายตาที่บอกว่าเจ้าฉลาดมากให้เธอปราดหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “มิผิด ร่างกายของเจ้ามีไอพลังทั้งสองชนิดจริงๆ อันหนึ่งแทนแสงสว่าง อีกอันหนึ่งแทนความมืดมิด เดิมทีไอพลังสองชนิดนี้ตรงข้ามกัน แต่ตอนนี้รวมเป็นหนึ่งอยู่ภายในร่างเดียวกัน แล้วเจ้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นเล่า แล้วยิ่งในตอนนั้นเจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กทารกอยู่เลย การโจมตีเล็กๆ ล้วนหมายเอาชีวิตเจ้าได้ทั้งสิ้น”
“มิน่าเล่า เลยต้องผนึกเอาไว้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงมองตรงไปยังหมัวซาแล้วถามว่า “ตอนนี้ผนึกคลายลงแล้ว เช่นนั้นข้าก็มิได้ใกล้ตายแล้วหรอกหรือ”
“ตอนนี้คงจะยังหรอก” หมัวซาพูด “แต่ก็มิได้หมายความว่าในภายภาคหน้าจะไม่ตายนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาพลางยิ้มอย่างสดใสแล้วพูดว่า “ท่านจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอนเลยใช่หรือไม่”
หมัวซาขมวดคิ้วมุ่น “รู้ได้อย่างไร”
“ในเมื่อมีการทำพันธสัญญากันระหว่างพวกเรา เช่นนั้นถ้าหากข้าตายไปแล้ว ท่านก็คงมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วสิ แต่บนใบหน้าของท่านไม่มีแวววิตกกังวลอยู่เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “ไว้ค่อยว่ากันเถิด เพียงครู่เดียวท่านก็มองออกแล้วว่าข้าเป็นร่างมารสว่าง แสดงว่าต้องเคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่ตัวท่านเอง ท่านก็ต้องเคยสัมผัสมาก่อนแล้ว”
สายตาของหมัวซาที่มองซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยในเวลาเพียงชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะมีหัวคิดกับเขาด้วย
“คุณชายเช่นข้ารู้ตัวดีว่ามีเสน่ห์เกินต้านทาน แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องมองข้าเช่นนี้หรอกนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้มือปัดผมหน้าม้าที่ไม่มีอยู่จริงทีหนึ่ง ทำเอาหมัวซาอดที่จะกลอกตามิได้
“ท่านยังไม่ได้บอกเลยนะว่าท่านเป็นแบบไหน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าก็เคยเป็นเหมือนเจ้านี่แหละ” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อยประโยคหนึ่ง
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะพอเดาได้แล้ว แต่พอได้ยินหมัวซาพูดก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง
“เช่นนั้น เช่นนั้นท่านกลายเป็นเผ่ามารไปได้อย่างไร”
หมัวซาเหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดว่า “ตอนข้ายังเล็ก ข้าก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ข้ามิได้เติบโตที่เผ่ามารหรอกนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาแล้วก็รู้สึกว่าบนร่างของเขาแผ่ความเศร้าโศกอันเข้มข้นออกมา
………………